ตอนที่ 36
ลมปราณมารอสูร
“ถูกต้อง เป็นเช่นนั้นจริง พวกเราทั้งสี่ยังได้สนทนากับนางอยู่หลายประโยค นางกล่าวว่าจะสืบหาตัวผู้ที่แอบอ้างอารามอเทวตาปลอมตัวเป็นแม่ชีสองนางก่อกวนเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อน ส่วนเรื่องชุมนุมชาวยุทธ์ในครั้งนี้นางเข้าร่วมชุมนุมด้วยอย่างแน่นอน แต่จะลงชิงตำแหน่งผู้นำด้วยหรือไม่ นางยังไม่ตัดสินใจ แต่เราทั้งสี่คนคาดคิดเอาไว้ว่าการกลับคืนสู่ยุทธภพของนางในครั้งนี้ คงต้องการสืบหาความจริงในอดีตพร้อมกับคิดบัญชีกับผู้ที่มีส่วนทำให้นางถูกขับออกจากสำนักอย่างแน่นอน”
ผู้ที่กล่าววาจาเป็นหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย พอกล่าวจบนางมารเยือกเย็นส่งเสียงเฮอะพร้อมกับกล่าวว่า
“คิดจะสืบสาวหาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีตเช่นนั้นรึ? ขนาดนางมีความสามารถสูงส่งวิชาทำนายทายทักของนางยังช่วยกระไรมิได้ แล้วนี่เหตุการณ์ล่วงเลยผ่านไปถึงยี่สิบปีแล้ว นางจะมีปัญญาสืบสาวหาผู้มีส่วนร่วมได้เช่นไร”
จากนั้นกล่าววาจาต่ออีกว่า
“ส่วนแม่ชีสองนางที่ออกมาก่อนกวนเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อนแท้จริงเป็นข้าพเจ้านางมารเยือกเย็นเอง ส่วนอีกคนเป็นคนสนิทของข้าพเจ้านามอั้งเซี๊ยะเปาซึ่งยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ท่านทั้งสี่คนคงยังมิเคยรู้จักดังนั้นข้าพเจ้าจะแนะนำให้นางได้รู้จักท่านทั้งสี่ด้วยจะดีหรือไม่?”
ทั้งสี่เมื่อทราบว่าที่แท้เป็นฝีมือของนางมารเยือกเย็นกับคนของนางเองที่ปลอมตัวเป็นแม่ชีของอารามอเทวตา ดังนั้นส่งเสียงกล่าวตอบโดยพร้อมเพรียงกันว่า
“หากเป็นเช่นนั้นล้วนวิเศษโดยแท้ พวกเราทั้งสี่เมื่อทราบว่าเป็นฝีมือของท่านเหยาจึงไม่มีข้อสงสัยประการใดอีกแล้ว เมื่ออีกคนเป็นคนกันเองมีหรือที่เราทั้งสี่จะมิยินดีที่จะได้รู้จัก เชิญท่านเหยากล่าวแนะนำให้เราทั้งสี่ได้รู้จักเถิด”
แล้วนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนจึงแนะนำคนทั้งสี่ให้แก่อั้งเซี๊ยะเปาได้รู้จัก หลังจากพูดคุยได้สักพักหนึ่งมีคนของสำนักมารสวรรค์วิ่งตรงเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงรายงานว่า
“เรียนท่านเจ้าสำนัก ด้านล่างมีขบวนเกี้ยวด้านหลังมีผู้ติดตามจำนวนหลายคนกำลังขึ้นเขามา ดูจากการแต่งกายไม่คล้ายชาวยุทธ์เท่าใดนักพอจะคาดเดาได้ว่าเป็นคนของราชสำนัก มิทราบว่าท่านเจ้าสำนักจะออกไปต้อนรับด้วยตัวเองหรือไม่?”
นางมารเยือกเย็นโบกมือต่อผู้ที่เข้ามารายงานแล้วกล่าวว่า
“ท่านหลบออกไปก่อน ท่านมหาเสนาบดีหลิวซุ่นกงกงมาด้วยตัวเองมีหรือที่ข้าพเจ้านางมารเยือกเย็นจะไม่ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง พวกท่านทั้งสี่เชิญไปนั่งพักผ่อนพร้อมจิบสุรารับประทานอาหารรอคอยยังด้านโน้นก่อน ข้าพเจ้าขอตัวออกไปต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติสักครู่ เชิญพวกท่านทั้งสี่ตามสบายเถิด”
กล่าวจบนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนพร้อมด้วยอั้งเซี๊ยะเปาพุ่งร่างออกไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว ปล่อยบุคคลทั้งสี่นั่งดื่มสุรารอคอยยังโต๊ะรับแขกที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ เมื่อคล้อยหลังนางมารเยือกเย็นกับอั้งเซี๊ยะเปา ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“ทุกท่าน พวกเราทั้งสี่ล้วนมาถึงแล้ว หลิวซุ่นกงกงเองกำลังจะมาถึง พวกท่านคิดว่าคนของอารามอเทวตาจะเดินทางมาร่วมงานหรือไม่? อีกทั้งสำนักมารลี้ลับที่ยังไม่เปิดเผยชื่อซึ่งส่งมารน้อยนามขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงออกมาข่มขวัญชาวยุทธ์ฝ่ายธัมมะเมื่อหลายวันก่อน วันนี้เป็นวันสำคัญที่เหล่ามารทั้งหมดมารวมตัว พวกท่านคิดว่าสองเจ้าสำนักที่ข้าพเจ้ายายเฒ่ากำลังกล่าวถึงจะเดินทางมาร่วมงานหรือไม่”
“อารามอเทวตาข้าพเจ้าไม่ค่อยมั่นใจนักว่าจะมาร่วมงานหรือไม่ แต่สำนักลี้ลับที่ยังเป็นปริศนาคิดว่าวันนี้ผู้เป็นเจ้าสำนักจะต้องเดินทางมาร่วมงานอย่างแน่นอน ทุกท่านอดใจรอคาดว่าอีกไม่นานสำนักแห่งนี้คงต้องปรากฏกายออกมาอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราทุกคนคงจะได้ทราบกันเสียที ว่าที่แท้สำนักลี้ลับแห่งนี้มีชื่อเรียกหาว่ากระไร อีกทั้งผู้ที่เป็นเจ้าสำนักและเป็นอาจารย์ของมารน้อยผู้นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร”
ผู้ที่กล่าววาจาออกมาเป็นตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยต่อคำพูดของตาเฒ่า ขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยนางมารเยือกเย็นกับขบวนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าว่าเมื่อใดจะมาถึง แต่ผ่านไปเป็นเวลานานยังมิเห็นวี่แววทำให้บุคคลทั้งสี่รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ขณะที่กำลังจะลุกจากโต๊ะเพื่อออกไปดูว่าไฉนป่านนี้ขบวนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าจึงยังไม่เข้ามา พอดีนางมารเยือกเย็นพร้อมกับอั้งเซี๊ยะเปาก้าวเท้ามุ่งตรงเข้ามาเสียก่อน
“ท่านเหยาเกิดอะไรขึ้น? พวกเราเห็นท่านหายไปเสียนานจนรู้สึกเป็นห่วง แล้วมิทราบว่าท่านหลิวซุ่นกงกงกับขบวนของท่านเล่า ตอนนี้อยู่ที่ใดไฉนจึงไม่เข้ามาพร้อมกับท่านเหยาด้วย”
ผู้ที่กล่าวถามเป็นอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง เมื่อเห็นนางมารเยือกเย็นกับอั้งเซี๊ยะเปาสองคน แต่มิเห็นขบวนของหลิวซุ่นกงกงจึงรีบเอ่ยถามออกไป นางมารเยือกเย็นแสดงสีหน้าเป็นปกติแล้วกล่าวตอบว่า”
“มิมีอันใดพวกท่านมิต้องเป็นห่วง ขบวนของท่านหลิวกงกงท่านเดินทางกลับไปแล้ว พอดีท่านมีงานเร่งด่วนในราชสำนักต้องกลับไปสะสาง จึงเดินทางมาเพียงเพื่ออวยพรข้าพเจ้าและกล่าววาจาไม่กี่ประโยค ท่านหลิวกงกงยังกล่าวว่าน่าเสียดายมาถึงแล้วมิได้เข้ามาสนทนากับพวกท่าน เอาไว้โอกาสหน้าคงได้พบเจอกันและร่วมงานกันอย่างแน่นอน”
“หากเป็นเช่นนั้นพวกเราล้วนเบาใจ ตอนนี้ค่ายพรรคสำนักมารน้อยใหญ่ต่างทยอยเดินทางมาคับคั่ง ที่พวกเรายังรอคอยอยู่มีอารามอเทวตากับสำนักลี้ลับเท่านั้น มิทราบว่าที่ผ่านมาท่านเหยาได้พบเจอกับเจ้าสำนักแห่งนี้มาบ้างหรือไม่? หากท่านเคยพบเจอมาก่อนขอจงบอกกล่าวให้พวกเราได้รับทราบด้วย”
ผู้กล่าววาจาคือหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย นางมารเยือกเย็นพร้อมด้วยอั้งเซี๊ยะเปาเมื่อนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“พวกท่านทั้งสี่แก่ชราปูนนี้แล้วยังทำใจร้อนเช่นกาลก่อนมิมีผิด อารามอเทวตาข้าพเจ้าไม่มั่นใจว่าจะมาร่วมงานหรือไม่ แต่อีกหนึ่งสำนักซึ่งยังเป็นปริศนาสำหรับพวกท่านต้องมาปรากฏตัวอย่างแน่นอน ถูกต้องข้าเองย่อมทราบว่าสำนักแห่งนี้มีชื่อเรียกหาว่ากระไร อีกทั้งผู้ที่เป็นเจ้าสำนักทั้งข้าพเจ้าและพวกท่านย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ที่ผ่านมาผู้ที่เป็นเจ้าสำนักเคยเดินทางมาพบข้าพเจ้าอยู่หลายครั้ง ข้าพเจ้าเองยังมิอยากบอกกล่าวรายละเอียดออกไปในตอนนี้ ปล่อยให้พวกท่านกระวนกระวายใจเล่นน่าจะสนุกกว่า พวกท่านมิต้องใจร้อนไปอีกไม่นานพวกท่านทั้งสี่จะได้ทราบเองว่าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ใด”
เมื่อได้รับฟังคำตอบจากนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ยิ่งทำให้บุคคลทั้งสี่เพิ่มความอยากรู้ขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว แต่เมื่อนางมารเยือกเย็นบอกว่ารอคอยอีกไม่นานบุคคลที่กำลังจะกล่าวถึงคงมาปรากฏกาย ดังนั้นคนทั้งสี่จึงข่มความรู้สึกกระหายอยากรู้เอาไว้อย่างยากเย็น
ฉับพลันทันใดนั้นเองบนหลังคาสำนักที่อยู่หลังถัดไป เกิดเสียงเป่าปากเป็นบทเพลงเย็นเยียบสะท้านทรวงดังมากระทบโสต คนทั้งสี่รีบหันหน้าไปยังทิศทางของเสียงในทันที ร่างคนยังไม่ทันปรากฏแต่ที่เห็นนั่นคือคลื่นลมก่อตัวเป็นเส้นสายสีขาวเจิดจรัส คลื่นลมหอบนั้นก่อตัวคล้ายดั่งพลังไร้สภาพชนิดหนึ่ง ก่อนที่คนทั้งสี่จะทันรู้ตัวว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น นางมารเยือกเย็นส่งเสียงกล่าวเตือนขึ้นก่อนว่า
บุคคลผู้ที่พวกท่านต้องการพบมาถึงแล้ว ที่เห็นเป็นคลื่นลมไร้สภาพนั่นคือพลังปราณมารอสูรอันร้ายกาจ ส่วนเสียงบทเพลงที่ได้ยินเป็นบทเพลงอสูรกล่อมวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัว พวกท่านหากมิอยากถูกธาตุไฟเข้าแทรกหรือลมปราณแตกซ่าน จงรีบใช้ลมปราณสกัดกั้นป้องกันตัวเองเอาไว้ บุคคลผู้นั้นเพียงต้องการทดสอบความสามารถของพวกท่านเท่านั้นเอง
คนทั้งสี่เมื่อได้ฟังมิกล้าชักช้ารีบเร่งเร้าพลังลมปราณขึ้นคุ้มครองร่างกายและโสตสัมผัสการรับรู้ เพียงชั่วพริบตาเดียวแผ่นกระเบื้องบนหลังคาหลายสิบแผ่นถูกพลังไร้สภาพนั่นยกลอยขึ้นโดยไร้น้ำหนัก จากนั้นพลังสายนั้นชักนำแผ่นกระเบื้องเหล่านั้นพุ่งตรงเข้ามายังโต๊ะซึ่งคนทั้งสี่นั่งอยู่ด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า ขณะที่คนทั้งสี่จะขยับตัวนางมารเยือกเย็นชิงกล่าวขึ้นก่อนว่า
“พวกท่านเป็นแขกมิต้องลำบาก ข้าพเจ้านางมารเยือกเย็นเป็นเจ้าบ้านขอคลี่คลายเรื่องราวนี้เอง”
กล่าวจบนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนสะบัดโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ก่อเกิดเป็นพลังไร้สภาพคล้ายดั่งเปลวอัคคีขนาดมหึมาพุ่งออกไปอย่างเร่งร้อน จากนั้นเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้างดังสนั่นพร้อมกับเศษกระเบื้องปลิวว่อนกระจัดกระจาย จากนั้นเสียงเพลงพลันเงียบลงปรากฏเสียงหัวร่อดังก้องขึ้นมาแทน ผู้คนภายในงานรีบหันไปมองเป็นตาเดียว เหนือหลังคาร่างของบุคคลผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นพร้อมกับเหินร่างแผ่วเบาข้ามหลังคานั้นตรงมายังโต๊ะซึ่งคนทั้งสี่และนางมารเยือกเย็นนั่งอยู่
“ฮาฮา ศิษย์น้องห้าวิชาซุกเปลวไฟในแขนเสื้อของท่านช่างร้ายกาจนัก เห็นทีคราวนี้พี่รองคงมิอาจรังแกท่านได้ง่ายดายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว พวกท่านทั้งสี่มาแล้วเชิญตามสบายมิต้องเกรงใจ เมื่อครู่ต้องขออภัยทุกท่านหากบทเพลงของข้าพเจ้าทำให้ระคายหูไปบ้าง ข้าพเจ้าเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเจ้าสำนักอสูรโลกันตร์ขอคาราวะทุกท่านในที่นี่”
กล่าวจบร่างในชุดยาวรัดกุมสีขาวสลับดำทิ้งร่างลงใกล้ ๆ กับ นางมารเยือกเย็น พอมองชัดเจนคนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ราวเจ็ดแปดเชี้ยะ นอกจากรูปร่างสูงใหญ่แล้วยังดูแข็งแรงกำยำทั่วร่างเปล่งรังสีอำมหิตชนิดหนึ่งรุนแรงจนรู้สึกน่ากลัว สายตาที่มองลอดผ่านช่องหน้ากากอสูรออกมาส่องประกายเจิดจ้าน่าขนลุกสำหรับผู้พบเห็น คนทั้งสี่เมื่อหายตกตะลึงรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับประสานมือทักทาย นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนรีบสะอึกเข้าไปแล้วประสานมือทักทายพร้อมกล่าวว่า
“พี่รอง ในที่สุดท่านยอมปรากฏตัวต่อชาวยุทธ์ ข้าพเจ้าได้ข่าวเรื่องที่ศิษย์ของท่านสร้างผลงานทำให้ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือขอแสดงความยินดีด้วย มีศิษย์เก่งย่อมส่งเสริมชื่อเสียงสำนักและอาจารย์ มิทราบว่าวันนี้มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงมิได้เดินทางมาด้วยดอกรึ?”
“ดูเหมือนท่านรวมถึงบรรดาชาวยุทธ์ต้องการให้ข้าพเจ้าปรากฏตัวสินะ? ขอบใจสำหรับคำชื่นชมต่อศิษย์ข้าพเจ้า วันนี้มารน้อยมิได้เดินทางมาด้วยเนื่องจากยังบาดเจ็บนิดหน่อย แต่เจ้ามิต้องห่วงไปหรอกอาการมิได้หนักหนารักษาวันสองวันคงหายสนิทแล้ว น่าเสียดายหากขอทานเฒ่าไม่สอดมือเข้ามาแส่ ป่านนี้เจ้าสำนักทั้งสามได้ไปท่องเที่ยวยมโลกนานแล้ว”
ที่แท้เจ้าสำนักอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันคือศิษย์หนึ่งในห้าของสำนักตำหนักหมื่นเทพที่ล่มสลายไปเมื่อยี่สิบปีก่อนนั่นเอง หลังจากทักทายกับเจ้าสำนักทั้งสี่แล้ว เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเดินทักทายบรรดาเหล่ามารที่มาร่วมงานทั้งหลาย ทุกคนเมื่อทราบว่าเจ้าอสูรโลกันตร์เป็นผู้ใด ต่างส่งเสียงสนับสนุนให้เป็นตัวแทนเข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ควบคู่กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน
เมื่อนั่งลงร่วมโต๊ะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเอ่ยถามถึงบุตรีของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนขึ้นมาว่า
“น้องห้าข้าพเจ้าไม่เห็นบุตรีของท่านอยู่ในงานมิทราบว่านางอยู่ที่ใด? ไม่ได้เจอหน้านานเชียวป่านนี้คงเป็นสาวสะพรั่งงดงามเหมือนท่านตอนสาว ๆ เป็นแน่แท้ ศิษย์ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงรบเร้าข้าพเจ้าหลายครั้งว่าอยากเจอหน้านางสักครั้ง ครั้งนี้นอกจากเดินทางมาเกี่ยวกับงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินแล้ว ข้าพเจ้ายังมีเรื่องราวของเด็ก ๆ ต้องการจะพูดคุยกับท่านด้วย”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนได้ยินเช่นนั้นส่งเสียงกล่าวตอบไปว่า
“น่าเสียดายยิ่งนักวันนี้ท่านมามิได้เจอหน้าเยี่ยนผิง นางมิได้อยู่ภายในสำนักก่อนหน้านั้นข้าพเจ้าให้นางเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ป่านนี้คงท่องเที่ยวอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ กระมัง เด็กคนนี้ซุกซนทำตัวคล้ายบุรุษ ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นนางทำตัวเช่นอิสตรีมาก่อน เรื่องที่ท่านจะพูดคุยเก็บเอาไว้ก่อนเถิดรอให้เด็กทั้งสองพบหน้ากันก่อนแล้วเราค่อยพูดคุยกัน ตอนนี้เรามาวางแผนการเกี่ยวกับงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่กำลังจะมาถึงกันก่อนจะดีกว่าหรือไม่?”
เมื่อนางมารเยือกเย็นกล่าวเช่นเจ้าอสูรโลกันตร์จึงมิกล่าววาจาเกี่ยวกับเรื่องนี้สืบต่อ ทั้งหมดจึงพูดคุยสนทนาเกี่ยวกับแผนการในวันชุมนุม และได้ข้อสรุปว่าทางด้านมารอธรรมจะส่งตัวแทนเข้าชิงตำแหน่งชาวยุทธ์สองคนด้วยกัน หนึ่งคือนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน สองเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ส่วนคนอื่น ๆ จะคอยให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
“นับว่าน่าเสียดายที่แผนการยืมมือขอทานของเยี่ยนผิงล้มเหลว มิเช่นนั้นแล้วนางมารเยือกเย็นคงมีขุมกำลังเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวทีเดียว เวลาผ่านเป็นครึ่งค่อนวันมิมีเงาร่างของนางชีเทวราชชิ้วโส่วปรากฏตัว ดังนั้นทุกคนจึงลงความเห็นว่านางคงไม่เข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน แต่ทุกคนไม่ค่อยเป็นกังวลเท่าใดนัก เนื่องจากทราบดีว่านางชีเทวราชชิ้วโส่วยังคงโกรธแค้นชาวยุทธ์ฝ่ายธัมมะอยู่มิคลาย ครั้งนี้แม้นางไม่เข้าร่วมกับฝ่ายมารอธรรมแต่มิได้อยู่ฝ่ายธัมมะเช่นกัน”
เมื่องานเริ่มย่อมมีเลิกรา ไม่นานเหล่ามารอธรรมต่างเริ่มทยอยเดินทางลงจากเขาหมางซานสำนักมารสวรรค์ กลุ่มสุดท้ายที่จากไปคือสำนักอสรพิษดำ สำนักฝ่ามือโลหิต สำนักอินทรีขาว ส่วนเจ้าอสูรโลกันตร์ยังคงอยู่พูดคุยกับนางมารเยือกเย็นภายในสำนักมารสวรรค์
อีกด้านหนึ่งขบวนของเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยบรรลุถึงพรรคไผ่หลิวโดยไร้เรื่องราวรบกวน ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินเมื่อพบหน้าอาจารย์รีบปรี่เข้าสอบถามอาการบาดเจ็บ เมื่อได้รับคำตอบว่าทุเลาลงเจ็ดแปดส่วนแล้วนางทั้งสองรู้สึกยินดี พากันตรงเข้าไปขอบคุณท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉืออยู่หลายคำ
ส่วนขอทานพเนจรหวงเกาฉือเมื่อได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากปากของผู้เฒ่าเก้าทิกว่อ ท่านกล่าวว่ายกความดีความชอบส่วนใหญ่ให้แก่จ่านจือกับศิษย์ทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว อีกทั้งท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือยังได้กล่าวขอบคุณเจ้าผาแห่งสายลมที่มาช่วยเหลือไว้ได้ทันเวลา เมื่อทุกคนเห็นว่าสามเจ้าสำนักปลอดภัยอาการไม่น่าเป็นห่วงแล้วจึงเบาใจ ตกลงกันว่าจะพักอาศัยอยู่ที่พรรคไผ่หลิวก่อนแล้วค่อยเดินทางไปเส้าหลินพร้อม ๆ กัน
เมื่อผู้ใหญ่สนทนาพูดคุยกันอยู่ด้านใน เหล่าศิษย์ทั้งสามสำนักจึงพากันเดินออกมายังหน้าพรรคไผ่หลิว หัวข้อที่พวกเขาสนทนากันไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับจ่านจือนั่นเอง ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินต่างบรรยายลักษณะรูปร่างและความสามารถของจ่านจือออกมาให้แก่ศิษย์ของพรรคไผ่หลิวกับสำนักเมฆฟ้าพิรุณได้รับทราบ นางทั้งสองรู้สึกภูมิอกภูมิใจที่ได้บอกเล่าเรื่องราวของน้องชายผู้นี้ต่อศิษย์อีกสองสำนัก
“แม่นางอี้เซิน ฟังจากท่านกับพี่ซื่อเหมี่ยนบรรยายเกี่ยวกับน้องชายผู้นี้ออกมาเขาคงสง่างามมากสินะ อีกทั้งความสามารถของเขาที่ได้ยินท่านทั้งสองบอกเล่านับว่าหายากยิ่ง เสียดายที่ข้าพเจ้าเทียนจิ้งมิได้อยู่ด้วยมิเช่นนั้นคงได้สร้างชื่อเสียงไม่แพ้น้องชายของท่านทั้งสอง”
เมื่อเทียนจิ้งกล่าวจบอี้เซินรีบส่งเสียงกล่าวตอบไปว่า
“ท่านกล่าวคล้ายกับมีความสามารถเทียบกับจ่านจือได้ ฟังจากอาวุโสเฉิงบอกกล่าวพวกท่านแทบย่ำแย่มิใช่หรอกรึ? แล้วเช่นนี้ท่านจะกล่าวว่าน่าเสียดายที่มิได้อยู่ด้วยกับพวกเราได้เช่นไร แต่เอาเถอะในวันงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ข้าพเจ้ากับศิษย์พี่จะแนะนำจ่านจือให้แก่พวกท่านได้รู้จัก หากพวกท่านได้พบกับเขารับรองได้ว่าต้องชื่นชมในตัวเขาไม่แพ้เราทั้งสองอย่างแน่นอน”
พออี้เซินกล่าวจบกุ้ยโสว่ศิษย์คนเล็กของสำนักเมฆฟ้าพิรุณจึงกล่าวถามขึ้นบ้างว่า
“ฟังว่าจ่านจือผู้นี้เป็นคนซื่อยึดถือคุณธรรมเปี่ยมล้นด้วยน้ำใจ ครั้งที่แล้วที่เดินทางขึ้นดอยตะวันเสียดายที่มิได้พบหน้าเขา แล้วมิทราบว่าเขามีความสามารถถึงเพียงนี้ที่แท้เขาเป็นศิษย์ของยอดคนท่านใด พอบอกกล่าวให้พวกเราได้รับทราบได้หรือไม่?”
“เรื่องนี้เราทั้งสองยังมืดแปดด้านยังหาคำตอบมิได้เช่นกัน แต่คิดว่าอีกไม่นานพวกเราทุกคนคงจะได้ทราบว่าเขาเป็นศิษย์ของสำนักใดและมีอาจารย์ที่พวกเราเคยได้ยินชื่อหรือไม่?”
ซื่อเหมี่ยนเป็นคนกล่าวตอบ พอจบคำอวี้หว่อศิษย์คนที่สองของพรรคไผ่หลิวเอ่ยกล่าวขึ้นบ้างว่า
“หากได้พบเจอกับเขาเท่ากับพวกเราเพิ่มสหายขึ้นมาอีกผู้หนึ่ง สหายเช่นนี้มิใช่หาได้โดยง่ายดายในยุทธภพล้วนมีแต่ผู้คนจอมปลอมไร้ความจริงใจ ฟังจากที่แม่นางทั้งสองบอกเล่าเกี่ยวกับตัวเขานับว่าบุรุษผู้นี้น่าคบหาอยู่มากทีเดียว”
ทั้งหมดเดินสนทนาเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น สุดท้ายหัวข้อที่สนทนากันเป็นมารน้อยอายุเยาว์ที่บุกมาพรรคไผ่หลิวนั่นเอง ศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิวเหวินมู่ อวี้หว่อ เทียนจิ้ง ทั้งสามสลับสับเปลี่ยนกันเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมารน้อยผู้นี้ให้แก่ศิษย์ของสองสำนักได้รับฟัง ทุกคนเมื่อรับฟังจบต่างกล่าวกันเป็นเสียงเดียวกันว่าคนผู้นี้น่ากลัวยิ่ง หากภายหน้าพบเจอคงต้องหลีกหนีให้ไกลอย่าได้ข้องแวะเกี่ยวข้องด้วย มิฉะนั้นจะนำเภทภัยมาถึงตัวเองได้
ศิษย์ของแต่ละสำนักพักอาศัยอยู่ที่พรรคไผ่หลิวไม่ปล่อยเวลาทิ้งไปโดยไร้ประโยชน์ ทุกครั้งที่มีเวลาว่างต่างพากันออกมายังลานกว้างหน้าพรรคไผ่หลิวฝึกซ้อมกระบวนท่ากันอย่างขยันขันแข็ง ในที่นั่นมีเหล่าอาวุโสอยู่ด้วยหลายคนจึงได้รับคำชี้แนะที่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเขา ดังนั้นก่อนวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่ใกล้มาถึงคงสามารถพัฒนาฝีมือขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง
ย้อนกลับมาทางด้านจ่านจือกับเยี่ยนผิง ขณะทั้งสองเดินทางผ่านตัวเมืองลั่วหยางเพื่อออกสู่นอกเมือง ทั้งสองแลเห็นคนสามคนวิ่งมาด้วยท่าทีร้อนรนคล้ายกำลังติดตามหาผู้ใดอยู่ จ่านจือกับเยี่ยนผิงจึงชะลอหยุดเท้าลงพร้อมกับมองดูว่าคนทั้งสามกำลังติดตามผู้ใดอยู่นั่นเอง
ทันใดนั้นบนหลังคาตึกทิศทางตรงกันข้ามกับที่จ่านจือและเยี่ยนผิงยืนอยู่ ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นพร้อมกับเสียงหัวร่อแหลมเล็กแสบแก้วหูดังยาวนาน เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมองเห็นเป็นสตรีรูปร่างผอมซูบซีดบนใบหน้ามีริ้วรอยแผลเป็นเต็มใบหน้าจนคาดเดาใบหน้าที่แท้จริงออกมามิได้ สตรีนางนั้นสวมชุดยาวสีแดงสดปล่อยผมยาวสยายคาดเดาอายุราวสี่ห้าสิบปี นางนั่งอยู่บนหลังคาตึกอย่างไร้เรื่องราวสายตาจับจ้องมายังสามคนที่กำลังวิ่งมาพร้อมกับส่งเสียงหัวร่อดังยาวนานขึ้นอีกครั้งฟังแล้วชวนขนลุกเป็นยิ่งนัก
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564