ตอนที่ 35
เจ้าอสูรโลกันตร์
กล่าวย้อนกลับมาทางด้านมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง หลังจากถูกฝ่ามือของขอทานพเนจรหวงเกาฉือได้รับบาดเจ็บแม้ไม่มากมายเท่าใดนัก หากมิใช่เป็นเพราะขอทานพเนจรหวงเกาฉือท่านมิต้องการเสื่อมเสียชื่อเสียงถูกชาวยุทธ์ครหาว่ารังแกเด็ก หากท่านลงมือรุนแรงกว่านี้ มารน้อยผู้นี้คงได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงรู้สึกเจ็บใจและโกรธแค้นต่อขอทานพเนจรหวงเกาฉือเป็นที่สุด หากมิใช่เพราะท่านป่านนี้เจ้าสำนักทั้งสามคงถูกลบชื่อไปจากยุทธภพด้วยน้ำมือของมันนั่นเอง ตอนที่เดินทางออกมาจากสำนักจัดขบวนด้วยเกี้ยวอันวิจิตรสวยงาม แต่ทว่าตอนเดินทางกลับมาสภาพช่างแตกต่างจากตอนออกไปมากมายนัก
ถึงแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บกลับมา แต่มารน้อยผู้นี้ยังรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องภูมิอกภูมิใจอยู่ไม่น้อย ผลงานในครานี้คงสร้างชื่อเสียงเลื่องลือให้แก่มัน ชาวยุทธ์ทั้งหลายคงจับกลุ่มสนทนาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความสามารถและความเป็นมาของมันอย่างแน่นอน จนกระทั่งบัดนี้ยังมิมีชาวยุทธ์ฝ่ายใดแม้แต่ฝ่ายมารอธรรมเอง ทราบประวัติความเป็นมาของมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณผู้นี้แม้เพียงผู้เดียว
ที่ผ่านมามารน้อยผู้นี้ออกท่องเที่ยวยุทธภพเพียงไม่กี่ครั้ง ทุกคราจะสวมใส่หน้ากากปีศาจปกปิดใบหน้าตลอดเวลา ดังนั้นอย่าว่าแต่ประวัติความเป็นมาอันลึกลับของมันที่ยังไม่เปิดเผย แม้แต่ใบหน้าอันแท้จริงของมันยังมิมีชาวยุทธ์ผู้ใดได้พบเห็นแม้แต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน
ครั้งนี้เมื่อมันได้รับบาดเจ็บอีกทั้งมือดีสองคนยังถูกกระบี่กรีดใส่ดวงตาคนละหนึ่งข้างจนมืดบอด หลังจากเร่งรุดเดินทางเป็นเวลาหนึ่งวันจึงได้ทราบว่ามารน้อยผู้นี้กับคนของมันมุ่งหน้าสู่หุบเขาปีศาจนั่นเอง
หุบเขาปีศาจแห่งนี้มิมีผู้ใดกล้าก้าวเหยียบย่างกรายเข้าใกล้เป็นเวลาเนิ่นนานมากแล้ว สืบเนื่องมาจากมีผู้คนเคยพบเห็นปีศาจน่าตาน่าเกลียดน่ากลัวปรากฏตัวอยู่ในหุบเขาแห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นที่โจษจันเล่าขานกันมาถึงความน่ากลัวของสถานที่แห่งนี้ พอเนิ่นนานเข้าจึงมิมีชาวยุทธ์ผู้ใดกล้าเข้าใกล้หุบเขาแห่งนี้อีกเลย ดังนั้นชื่อเสียงของหุบเขาแห่งนี้จึงเป็นสถานที่อันน่ากลัวจึงเรียกหาว่าหุบเขาปีศาจมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
ผ่านไปไม่นานนักขบวนของมารน้อยผู้นี้บรรลุเข้าสู่หุบเขาปีศาจ เมื่อเข้ามายังบริเวณด้านในหุบเขาเป็นเส้นทางอันสลับซับซ้อนหากมิมีความชำนาญสถานที่ อาจทำให้หลงทางและอาจพลัดตกหุบเขาที่มีหน้าผาสูงชันอันตรายได้
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงพาร่างที่ได้รับบาดเจ็บเร่งรีบเดินทาง มองไปด้านหน้าเห็นเป็นสิ่งปลูกสร้างรูปร่างคล้ายหัวกะโหลกปีศาจและใบหน้าของอสูรโลกันตร์ขนาดใหญ่โต เมื่อเข้าใกล้หน้าบันใดศิลาทางเข้าเหนือศีรษะสลักอักษรขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่สีดำสนิทบนแผ่นหินขนาดใหญ่ว่า “สำนักอสูรโลกันตร์”
ที่แท้มารน้อยผู้นี้เป็นนายน้อยของสำนักอสูรโลกันตร์ สำนักที่ยังมิเคยเปิดเผยต่อชาวยุทธ์มาก่อน มิน่าเล่าที่ผ่านมาจึงไม่มีผู้ใดทราบที่มาประวัติของมัน สถานที่แห่งนี้ลี้ลับซ่อนเร้นเก็บตัวอยู่ใจกลางหุบเขาปีศาจนั่นเอง แสดงว่าที่ผ่านมาปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวที่ผู้คนพบเห็นจะต้องเป็นคนของสำนักอสูรโลกันตร์แห่งนี้นั่นเอง เพื่อป้องกันมิให้ผู้คนเข้ามารบกวนหรือพบเห็นจึงได้ปลอมตัวเป็นปีศาจออกหลอกหลอนผู้คนให้หวาดกลัวข่มขวัญ
เมื่อกลับเข้ามายังด้านในสำนักแล้ว มารขลุ่ยเงินเยิ่นหว่อถิงสั่งให้คนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแยกย้ายกันไปได้ คงเหลือเพียงแต่เยี่ยเหว่ยกับจางจิ้งสองมือดีที่ติดตาม คนทั้งสองครั้งนี้พกพาอาการบาดเจ็บกลับมาไม่ต่างจากนายน้อยของพวกมัน ต่างกันตรงที่อาการบาดเจ็บของมันสองคนเป็นดวงตาคนละข้างนั่นเอง
ภายในห้องโถงนั่งอยู่ด้วยบุคคลผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ห่างออกไปยืนอยู่ด้วยชายฉกรรจ์อีกราวห้าหกคนแต่ละคนหน้าตาเหี้ยมเกรียมดุดัน พอเห็นมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณกับจางจิ้งและเยี่ยเหว่ยเข้ามา คนเหล่านั้นรีบประสานมือทำความเคารพพร้อมกับส่งเสียงเอ่ยถามด้วยอาการตกใจ
“นายน้อยท่านกลับมาแล้ว ดูท่านได้รับบาดเจ็บมิทราบว่าผู้ใดทำร้ายนายน้อยได้?”
เมื่อคนเหล่านั้นกล่าววาจายังมิทันสิ้นเสียง บุคคลรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้หินหยกแกะสลักส่งเสียงขึ้นก่อนว่า
“พวกท่านทั้งหมดล่าถอยออกไปก่อนมีงานใดให้แยกย้ายกันกระทำ ส่วนเรื่องนายน้อยของพวกท่านข้าพเจ้าจะจัดการเอง” กล่าวจบผู้คนเหล่านั้นรีบประสานมือส่งเสียบตอบรับด้วยความนอบน้อมก่อนล่าถอยออกไป
“รับทราบแล้วท่านเจ้าอสูรโลกันตร์ หากมีสิ่งใดเรียกใช้เร่งด่วนพวกเราจะรีบรุดมาในทันที”
เมื่อผู้คนเหล่านั้นออกไปหมดสิ้นแล้ว เจ้าของร่างสูงใหญ่กำยำผู้นั้นพุ่งร่างลงมาจากเก้าอี้หินหยกซึ่งอยู่สูงกว่าพื้นซึ่งมารน้อยกับมือดีสองคนยืนอยู่ด้วยท่าร่างรวดเร็วพิสดาร พอบรรลุถึงรีบประคองร่างของมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงแล้วส่งเสียงว่า
“หว่อถิง เจ้าได้รับบาดเจ็บ เป็นผู้ใด?ที่กล้าทำร้ายเจ้ารีบบ่งบอกออกมา แล้วอาการของเจ้าร้ายแรงหรือไม่?” เยิ่นหว่อถิงรีบส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าหว่อถิงได้รับบาดเจ็บแต่ไม่รุนแรง ท่านเจ้าอสูรมิต้องห่วง ผู้ที่ทำร้ายข้าพเจ้าเป็นขอทานชราสภาพใกล้ตายผู้หนึ่ง ถึงสภาพมันจะแก่ชรามากแล้วแต่วรยุทธ์ของมันช่างร้ายกาจยิ่งนัก ขอทานเฒ่าผู้นั้นท่านเจ้าอสูรย่อมต้องรู้จัก มันคือขอทานพเนจรหวงเกาฉือผู้ซึ่งท่านเคยบอกเล่าประวัติของมันให้แก่ข้าพเจ้าฟังนั่นเอง”
เยิ่นหว่อถิงตอบว่ามันมิได้บาดเจ็บรุนแรงนัก พร้อมทั้งบอกกล่าวว่าผู้ใดเป็นคนทำร้ายมันได้รับบาดเจ็บกลับมา เมื่อมองอย่างชัดเจนพบว่าบุคคลรูปร่างสูงใหญ่ที่มารน้อยผู้นั้นเรียกหาว่าท่านเจ้าอสูร ที่แท้คนผู้นี้กลับสวมใส่หน้ากากรูปอสูรน่ากลัวปกปิดใบหน้าเอาไว้ คนผู้นี้เป็นอาจารย์ของมารน้อยเยิ่นหว่อถิงและเป็นเจ้าสำนักแห่งนี้ ที่ผ่านมามิเคยถอดหน้ากากออกจากใบหน้าแม้แต่เพียงครั้งเดียว แม้แต่มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงเองยังมิเคยเห็นใบหน้าอันแท้จริงของผู้เป็นอาจารย์มาก่อนเช่นกัน
ถึงแม้จะเป็นศิษย์อาจารย์กันแต่เจ้าอสูรให้มารน้อยผู้เป็นศิษย์เรียกหาว่าเจ้าอสูร ส่วนบุคคลอื่น ๆในสำนักต่างเรียกหาว่าเจ้าอสูรโลกันตร์ คนผู้นี้จึงมีฉายาว่าเจ้าอสูรโลกันตร์นามหม่าถิงอัน ที่ผ่านมาทำตัวลึกลับเดินทางเข้าออกหุบเขาปีศาจมิเว้นว่าง แต่ที่น่าแปลกประหลาดกลับมิเคยมีชาวยุทธ์ผู้ใดพบเห็นเจ้าอสูรโลกันตร์ปรากฏตัวในยุทธจักรมาก่อน
เมื่อพูดคุยสอบถามถึงรายละเอียดที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันใช้กำลังภายในรักษาอาการบาดเจ็บภายในให้แก่มารน้อยเยิ่นหว่อถิง ส่วนเยี่ยเหว่ยกับจางจิ้งซึ่งถูกกระบี่หยกไผ่หลิวของเทียนจิ้งศิษย์คนเล็กของพรรคไผ่หลิวกรีดผ่านบริเวณใบหน้าและดวงตาด้านขวา ทำให้ทั้งสองสูญเสียดวงตาด้านขวาไปความแค้นนี้ทั้งสองคิดจะทวงคืนแก่เทียนจิ้งในภายหน้าให้จงได้ คนทั้งสองเจ้าอสูรโลกันตร์สั่งให้เรียกหมอมารักษาอาการบาดเจ็บให้ ส่วนเยิ่นหว่อถิงมิได้รับบาดเจ็บมากมายนัก ดังนั้นเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันจึงเรียกตัวแล้วสนทนาตามลำพังศิษย์อาจารย์
เมื่อเจ้าอสูรโลกันตร์และมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณอยู่ภายในห้องส่วนตัวเพียงลำพังศิษย์อาจารย์ มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงปลดหน้ากากปีศาจซึ่งปิดบังใบหน้าออก พอถอดหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมารน้อยผู้นี้ ภาพที่เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย ดวงตาคมกริบคิ้วหนาดกดำจมูกโด่งรับกับริมฝีปากได้รูป บุคลิกโดยรวมนับเป็นบุรุษอันหล่อเหลาเพียบพร้อมแต่แฝงความเจ้าชู้กรุ้มกริ่มผู้หนึ่ง
ส่วนตัวเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน แม้จะอยู่ลำพังกับศิษย์เพียงลำพังยังมิเคยปลดหน้ากากออกมาก่อน มารน้อยเยิ่นหว่อถิงมันรู้สึกชินกับเรื่องนี้แล้ว เพราะตั้งแต่จดจำความได้พบเห็นผู้เป็นอาจารย์สวมใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นนานวันเข้ามันจึงมิได้ต้องการอยากทราบว่าเพราะเหตุใด? ไฉนผู้เป็นอาจารย์ของมันจะต้องสวมใส่หน้ากากตลอดเวลาด้วย ส่วนตัวมันจะสวมหน้ากากเป็นบางเวลาเท่านั้น ส่วนมากตอนที่มันออกไปท่องเที่ยวนอกหุบเขาปีศาจนั่นเอง เมื่ออยู่ภายในหุบเขาปีศาจจึงมิจำเป็นต้องปิดบังอำพรางผู้ใดเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันจึงส่งเสียงกล่าวกับมารน้อยผู้เป็นศิษย์ว่า
“นับว่าโชคดีที่เจ้ามิได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก งานที่เจ้ารับปากหลิวกงกงไปกระทำนับว่าสำเร็จลุล่วงไปส่วนหนึ่ง ถึงแม้ไม่สามารถปลิดชีวิตของสามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะได้ คิดว่าหลิวกงกงคงมิตำหนิเจ้าหากว่าขอทานเฒ่าไม่ยื่นมือเข้ามาขัดขวาง งานชิ้นแรกที่เจ้าไปกระทำคงจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อีกห้าวันข้าจะเดินทางไปยังสำนักมารสวรรค์ส่วนทางด้านหมู่ตึกกระเรียนฟ้าข้าจะให้คนส่งข่าวไปแจ้งแก่หลิวกงกงเอง คาดว่าผลงานที่ได้รับมอบหมายมาเป็นที่น่าพึงพอใจ”
“ข้าพเจ้าทราบแล้วท่านเจ้าอสูร หากว่าไม่มีขอทานเฒ่าผู้นั้นยื่นมือเข้ามาขัดขวาง ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงคงจัดการสามคนนั้นได้อย่างแน่นอน แต่กระนั้นพรรคไผ่หลิวนับว่าพินาศย่อยยับยากฟื้นตัวได้ภายในระยะเวลาปีสองปีคงเหลือเพียงศิษย์เอกสามคน ส่วนสำนักเมฆฟ้าพิรุณกับหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว คาดว่าผู้ที่เป็นเจ้าสำนักอาการสาหัสหรือไม่อาจถึงแก่ชีวิตย่อมเป็นได้ งานชุมนุมชาวยุทธ์ที่ใกล้มาถึงจึงสามารถตัดสามสำนักนี้ออกจากการแย่งชิงผู้นำไปได้ ว่าแต่ท่านเจ้าอสูรจะเดินทางไปยังสำนักมารสวรรค์ด้วยเรื่องอันใด?”
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงกล่าวชี้แจงเรื่องราวต่อผู้เป็นอาจารย์ พร้อมกับกล่าวถามเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์จะเดินทางไปสำนักมารสวรรค์ เมื่อมารน้อยเยิ่นหว่อถิงผู้เป็นศิษย์เอ่ยถามเจ้าอสูรโลกันตร์จึงกล่าวตอบว่า
“เรื่องที่ข้าจะเดินทางไปยังสำนักมารสวรรค์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับงานชุมนุมชาวยทธ์ในครั้งนี้ ในวันนั้นเหล่ามารทั้งหลายจะพากันเดินทางไปรวมตัวกันที่สำนักมารสวรรค์ เพื่อตกลงหาข้อสรุปว่าจะคัดเลือกผู้ใดเป็นผู้นำสูงสุดของเหล่ามารอธรรม อีกทั้งยังเลือกเฟ้นหาตัวแทนเพื่อส่งเข้าช่วงชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ด้วย นอกนั้นคงร่วมกันกำหนดแผนการต่าง ๆที่จะสร้างความพรั่นพรึงให้แก่ฝ่ายธัมมะได้ยำเกรง ส่วนด้านนี้ข้ามอบหมายให้เจ้าดูแลสำนักอสูรโลกันตร์ให้ดี หลังจากข้าเดินทางกลับมาแล้วค่อยบอกกล่าวแผนการให้เจ้าได้รับทราบ”
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงรีบกล่าวรับคำหลังเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกล่าวจบ พร้อมกับเอ่ยกล่าวต่อเจ้าอสูรโลกันตร์ขึ้นว่า
“มิทราบว่าเรื่องที่ท่านเจ้าอสูรเคยรับปากต่อข้าพเจ้า เกี่ยวกับธิดาผู้เลอโฉมแห่งสำนักมารสวรรค์ ท่านเดินทางไปในครั้งนี้จะเอ่ยปากต่อเจ้าสำนักมารสวรรค์ด้วยหรือไม่? ข้าพเจ้าร้อนใจเกรงว่านางจะมีผู้ใดก่อนจะได้พบกับข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิง”
เรื่องที่มารน้อยเยิ่นหว่อถิงกำลังกล่าวถึง นั่นคือมันเคยทราบจากผู้เป็นอาจารย์ว่าเจ้าสำนักมารสวรรค์มีธิดาอันเลอโฉมหาสตรีใดเปรียบเทียบได้ มารน้อยผู้นี้มีนิสัยเจ้าชู้มากรักมีสตรีรอบกายมากมาย แต่มันเองยังมิเคยคิดจะเลี้ยงดูผู้ใดจริงจังแม้แต่ผู้เดียว จะมีเพียงสองดรุณีเหนียงเอ๋อกับเจียวเอ๋อที่มันยินยอมให้ติดตามไปทุกหนแห่ง และคอยปรนนิบัติรับใช้มันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว นางทั้งสองสร้างความไว้วางใจให้แก่มัน อีกทั้งยังปรนนิบัติรับใช้มันมิเคยบกพร่องมาก่อน มันเองได้ถ่ายทอดบทเพลงอสูรกล่อมวิญญาณให้แก่นางทั้งสองด้วย ดั่งเป็นที่ประจักษ์ว่านางทั้งสองสร้างผลงานที่ผ่านมาเมื่อไม่นานคือหนึ่งร้อยสิบชีวิตของพรรคไผ่หลิวนั่นเอง
มารน้อยเยิ่นหว่อถิงเมื่อทราบว่ามีหญิงงามหาผู้ใดเปรียบเทียบได้ และยังเป็นถึงบุตรีของเจ้าสำนักมารสวรรค์อันมีศักดิ์ศรีพอกับตน จึงได้เอ่ยปากต่อผู้เป็นอาจารย์ให้เอ่ยกล่าวเรื่องนี้แก่นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ครั้งนี้เมื่อผู้เป็นอาจารย์กล่าวว่าจะเดินทางไปสำนักมารสวรรค์ มารน้อยเยิ่นหว่อถิงจึงเอ่ยย้ำกับผู้เป็นอาจารย์ขึ้นมา เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเมื่อได้ยินศิษย์เอ่ยถามเรื่องนี้จึงกล่าวตอบว่า
“เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เป็นห่วง ข้าจะเอ่ยปากต่อเจ้าสำนักมารสวรรค์ หากเจ้ามั่นใจว่านางคือสตรีที่เจ้าหมายปองต้องการ ยี่สิบปีมานี้บุตรีของเจ้าสำนักมารสวรรค์เพิ่งออกท่องยุทธภพเพียงไม่กี่ครา ทุกครั้งนางจะปลอมตัวเป็นบุรุษข้าคิดว่านางเองคงยังไม่มีชายในดวงใจเช่นกัน”
“ข้าพเจ้าต้องขอบคุณท่านเจ้าอสูรล่วงหน้า หากไม่มีอะไรแล้วข้าพเจ้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน ป่านนี้เหนียงเอ๋อกับเจียวเอ๋อนางทั้งสองคงรอคอยปรนนิบัติข้าพเจ้าอยู่แล้ว ครั้งนี้นางทั้งสองสร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ดังนั้นข้าพเจ้าคงต้องประทานรางวัลให้แก่นางทั้งสองจนพอใจ ท่านเจ้าอสูรเองควรพักผ่อนให้มาก ๆเห็นช่วงนี้ท่านไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนสักเท่าใด อีกไม่กี่วันข้างหน้างานชุมนุมชาวยุทธ์ใกล้จะมาถึงแล้ว”
กล่าวจบมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงล่าถอยออกจากห้องไป คงเหลือไว้เพียงเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเพียงลำพัง ดังนั้นจึงเดินกลับเข้าห้องพักของตนเองเช่นกัน เมื่อบรรลุถึงห้องพักแล้วหลังจากปิดประตูแน่นหนา เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเดินไปเปิดช่องลับที่หนึ่งบริเวณเตียงนอน หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากช่องลับพร้อมกับส่งเสียงกล่าวกับตนเองขึ้นว่า
“ส่วนครึ่งหลังตกอยู่ในมือข้าพเจ้าหม่าถิงอัน ยังขาดอยู่อีกเพียงส่วนครึ่งแรกเท่านั้นแต่อีกไม่นานข้าพเจ้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าอยู่กับผู้ใด? แล้วข้าพเจ้าหม่าถิงอันจะต้องใช้ทุกวิธีเพื่อที่จะแย่งชิงส่วนนั้นมาเป็นของข้าพเจ้าให้จงได้ รอให้ถึงวันนั้นมาถึงเมื่อใด?ยุทธภพนี้จะต้องตกเป็นของข้าพเจ้าอย่างแน่นอน ฮา ๆ”
พอกล่าวจบเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันระเบิดเสียงหัวร่อออกมา พร้อมกับยกชูหนังสือเล่มนั้นขึ้นเหนือศีรษะแหงนหน้าขึ้นมองเพดานห้องนอน แล้วจึงเปล่งเสียงหัวร่อออกมามิหยุดยั้งอย่างน่ากลัวบรรยายออกมามิถูก มิทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเก็บหนังสือเล่มนั้นเข้าช่องลับที่เดิม จากนั้นเป่าตะเกียงน้ำมันสนดับแสงวูบลงจนมองไม่เห็นสิ่งใด ต่อจากนั้นได้ยินเพียงเสียงผลักประตูห้องนอนออกไป พร้อมกับเสียงชายเสื้อปะทะลมพลิ้วห่างออกไปจนมิได้ยินสรรพสิ่งใด ๆอีกเลย
อีกห้าวันต่อมาสำนักมารสวรรค์เขาหมางซาน วันนี้เป็นวันชุมนุมใหญ่ของเหล่ามารอธรรมทั่วทั้งยุทธภพ ตลอดเส้นทางมียอดฝีมือฝ่ายมารอธรรมค่อย ๆทยอยเดินทางขึ้นสู่เขาหมางซาน ทางด้านนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนเจ้าสำนักมารสวรรค์ วันนี้นางแต่งกายด้วยชุดยาวสีม่วงเข้มสวมทับด้วยเสื้อนอกสีน้ำตาลอ่อน ด้านข้างยืนอยู่ด้วยอั้งเซี๊ยะเปาในชุดรัดกุมสีแสดเป็นประกาย ด้านหน้าสำนักจัดวางโต๊ะเก้าอี้ไว้รองรับแขกเป็นจำนวนมาก นางทั้งสองเมื่อเห็นว่าได้เวลาออกมาต้อนรับแขกผู้มาเยือน จึงเดินเคียงข้างออกมายังด้านหน้าสำนักโดยพร้อมเพรียงกัน
แขกกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงเป็นสามสำนักมารชื่อเสียงเลื่องลือในอดีต สำนักอสรพิษดำเจ้าสำนักคือยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกับตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน สำนักฝ่ามือโลหิตเจ้าสำนักคือหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย เจ้าสำนักอินทรีขาวเจ้าสำนักคืออินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง ทั้งสามสำนักเดินทางมาด้วยกัน นอกจากเจ้าสำนักทั้งสี่แล้วยังมีมือดีของแต่ละสำนักติดตามมาด้วยเป็นจำนวนหลายคน เมื่อพบหน้านางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนทั้งสี่รีบปรี่เข้ามาทักทายโดยทันที
“คารวะเจ้าสำนักมารสวรรค์ท่านเหยาเยี๊ยะเหยียน ไม่ได้เจอะเจอกันเนิ่นนานท่านยังคงงดงามมิเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้าหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้มาเป็นแขกในวันนี้ มิทราบว่าท่านสุขสบายดีหรือไม่?” ผู้ที่กล่าววาจาขึ้นก่อนเป็นหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยเจ้าสำนักฝ่ามือโลหิต นางมารเยือกเย็นได้ยินเช่นนั้นส่งเสียงหัวร่ออย่างชอบอกชอบใจพร้อมกับกล่าวตอบว่า
“ขอบคุณสำหรับคำกล่าวชื่นชมในความงามของข้าพเจ้า ข้าพเจ้านางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนสุขสบายดีพวกท่านเล่า?ได้ข่าวว่าเก็บตัวมิออกสู่ยุทธจักรเช่นกัน มิทราบว่าสุขสบายดีหรือไม่?” พอนางมารเยือกเย็นกล่าวจบอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงจึงกล่าวต่อว่า
“พวกเราทุกคนล้วนสุขสบายดี ที่ผ่านมาแม้มิได้โผล่หน้าออกมาให้ผู้คนพบเห็น แต่พวกเราทั้งหมดมิได้ถอนตัวจากยุทธภพไปแต่อย่างใด เพียงแต่เก็บตัวเพื่อรอโอกาสกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งเท่านั้นเอง ครานี้เมื่องานใหญ่ใกล้มาถึงมิเพียงแต่เราสามสำนักที่ยอมปรากฏกายออกมา เชื่อว่าทุกสำนักที่เงียบหายไปคงกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในงานชุมนุมชาวยุทธ์ในครั้งนี้”
พออินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงกล่าวจบ นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนหันมาทางยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกับตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินพร้อมกับส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านทั้งสองอุตสาห์ให้เกียรติมาไม่ได้เจอะเจอกันเนิ่นนานเช่นกัน ท่านทั้งสองคงคาดคิดมิถึงกระมัง? ว่าข้าพเจ้าอัคคีสวรรค์จะก่อตั้งสำนักมารสวรรค์ขึ้นมา อีกทั้งยังได้วางสาขาและคนไว้เป็นจำนวนมาก ส่วนฉายาอัคคีสวรรค์ขอให้ทุกท่านลบออกจากความทรงจำเสียให้สิ้น ต่อจากนี้จะมีเพียงนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนเท่านั้น ท่านทั้งสองดูแก่ชรากว่าที่ข้าพเจ้าคาดคิดเอาไว้เสียอีก มิทราบว่าสุขสบายดีหรือไม่?”
ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วรีบกล่าวตอบทันทีว่า
“เราสองตายายสุขสบายดีมิได้เจ็บไข้แต่ประการใด ที่ผ่านมาเก็บตัวศึกษาตำราพิษและฝึกปรือวิทยายุทธ์ เราสองตายายแม้สภาพร่างกายจะแก่ชราขึ้นมากมายปานใด แต่ด้านพลังยุทธ์กลับรุดหน้าแก่กล้ายิ่งกว่าอายุนัก ท่านเหยาเองข้าพเจ้ายายเฒ่าได้ข่าวว่าเก็บตัวฝึกปรือวิชาจนก้าวหน้า คงรุดหน้าพวกเราซึ่งแก่เฒ่าทั้งสี่ไปไกลโขถูกต้องหรือไม่?”
นางมารเยือกเย็นส่งเสียงหัวร่อฮาฮาพร้อมกับกล่าวตอบว่า
“ยายเฒ่าท่านเอากระไร?มาพูด ถึงแม้ข้าจะเก็บตัวฝึกวิชามิได้เว้นว่างแต่ไหนเลยจะเทียบกับพวกท่านทั้งสี่คนได้เล่า”
พอกล่าวจบตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินจึงส่งเสียงกล่าวขึ้นบ้างว่า
“แต่เท่าที่เราทราบมาหากว่ามิผิดพลาด หมู่ตึกกระเรียนฟ้าราชสำนักนักท่านมหาเสนาบดีหลิวซุ่นกงกง ได้ทาบทามท่านเหยาให้เป็นตัวแทนเข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้มิใช่ดอกรึ?”
นางมารเยือกเย็นส่งเสียงหัวร่อฮา ๆอีกครั้งพร้อมกับกล่าวตอบว่า
“ตาเฒ่านับว่าท่านหูตากว้างไกลไม่อาจรอดพ้นข่าวนี้ไปได้ ถูกต้องข้าพเจ้าได้รับการทาบทามจากท่านหลิวกงกงให้เป็นตัวแทนเข้าชิงผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ ความจริงท่านเองคิดจะเข้าชิงตำแหน่งนี้ด้วยตัวเอง แต่ติดปัญหาตรงที่ว่าครั้งนี้มีกฎกติกาออกมาจากวัดเส้าหลินซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลายสำนักฝ่ายธัมมะ ว่ามิให้ราชสำนักเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของยุทธภพ แต่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมชาวยุทธ์ได้ ดังนั้นท่านหลิวกงกงจึงได้เอ่ยปากต่อข้าพเจ้าให้เป็นตัวแทนท่านในครั้งนี้ พวกท่านทั้งสี่เล่า?มิทราบว่าหมายตาผู้ใด?เอาไว้ หรือว่าพวกท่านทั้งสี่จะลงชิงตำแหน่งด้วยตัวเองในครั้งนี้”
อินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงส่งเสียงหัวร่อฮา ๆแล้วกล่าวตอบว่า
“พวกเราทั้งสี่แก่ชราปูนนี้แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปช่วงชิงได้ เพียงแต่จะสนับสนุนไม่ว่าผู้ใดที่เป็นฝ่ายมารอธรรมลงชิงตำแหน่งพวกเราจะคอยสนับสนุน เมื่อไม่กี่คืนก่อนพวกเราทั้งสี่ได้พบพานกับเจ้าอารามอเทวตาเข้าโดยบังเอิญ แต่ดูจากท่าทีจนป่านนี้พวกเรายังดูไม่ออกว่านางชีเทวราชชิ้วโส่วจะอยู่ฝ่ายใดกันแน่? แต่หากนางลงชิงตำแหน่งเป็นฝ่ายเรานับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก ดูจากวรยุทธ์ของนางรุดหน้าจนน่ากลัวยิ่งนัก”
“นางชีเทวราชชิ้วโส่ว นางยินยอมออกจากอารามอเทวตาแล้วเช่นนั้นรึ?” นางมารเยือกเย็นส่งเสียงกล่าวถามด้วยความแปลกประหลาดใจ
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564