ตอนที่ 8 ครอบครัวไร้ยางอาย
ถึงตอนนี้หลีโม่มั่นใจมากว่าป้าสะใภ้ใหญ่ของเสี่ยวเป่าเป็นหญิงปากร้ายที่ไร้เหตุผล ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะถามหาเหตุผลจากนาง
หลีโม่จึงไม่เกรงใจอีกต่อไป นางชี้ไปที่เด็กทั้งสองคนที่กำลังกินขนมดอกเหมยของเสี่ยวเป่าอยู่ “หากท่านเอาสิ่งที่ไม่ได้เป็นของตนเองไปโดยไม่ได้ขอก่อน เช่นนี้เรียกว่าการขโมย ท่านพาลูก ๆ มาที่บ้านข้า มาขโมยของของข้าแล้วยังตีลูกของข้าอีก แล้วเหตุใดข้าจะต้องละอายใจที่ทำให้ท่านโกรธด้วยเล่า? ข้าจะออกไปหาคนมาตัดสินความเดี๋ยวนี้ว่าผู้ใดเป็นฝ่ายถูกและฝ่ายผิดกันแน่”
ทันทีที่กล่าวจบนางก็อุ้มตัวเสี่ยวเป่าขึ้นแล้วเดินออกไปที่ลานบ้านเพื่อจะตะโกนเรียกผู้อื่น
หวังชุ่ยฮวาใจเสียคิดในใจว่า‘แย่แล้ว’ จะให้ผู้อื่นล่วงรู้ไม่ได้ว่านางก่อเรื่องขึ้น ไม่เช่นนั้นจะไปวางหน้าไว้ที่ไหนได้ ซ่านเกอเอ๋อร์*ยังต้องสอบซิ่วไฉ่**อีกชื่อเสียงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
*เกอเอ๋อร์คือคำเรียกต่อท้ายชื่อของลูกชาย เป็นการเรียกด้วยความเอ็นดู
**การสอบคัดเลือกเป็นบัณฑิตในระดับท้องถิ่น
หวังชุ่ยฮวารีบตามไปคว้าแขนของหลีโม่ไว้ เปลี่ยนสีหน้าโดยฉับพลันพลางกล่าวว่า “เฮ้ น้องสะใภ้ คนครอบครัวเดียวกัน จะต้องออกไปเล่าให้คนนอกต้องมาเห็นเรื่องขำขันไปทำไมกัน” ระหว่างที่พูดนางก็ดึงตัวหลีโม่กลับเข้ามาในบ้าน
หลีโม่ที่รูปร่างผอมบางแถมยังอุ้มเด็กเอาไว้ถูกหวังชุ่ยฮวาที่ห้าใหญ่สามหนา*ลากตัวกลับเข้าไปในบ้าน นางถูกลากตัวแล้วสะดุดเข้ากับที่ธรณีประตูจนเซจะล้มหงายหลังลงไป
*หมายถึงรูปร่างสูงใหญ่โดยห้าใหญ่ หมายถึง สองมือ สองเท้าและหนึ่งศีรษะ ส่วนสามหนา หมายถึง ขา เอวและคอ
ใจของหลีโม่หล่นวูบ ก่อนที่จะทันได้คิดอะไร นางก็หลับตาแน่นแล้วกอดตัวเสี่ยวเป่าไว้ในอ้อมแขนแน่นเพื่อป้องกันเขาไม่ให้เขาได้รับบาดเจ็บ
ทว่าในเสี้ยววินาทีต่อมา นางไม่รู้สึกถึงเจ็บปวดดั่งที่คาดไว้ ร่างของนางกลับตกเข้าสู่แผ่นอกกว้างของคนผู้หนึ่งแทน
เมื่อหลีโม่ลืมตาขึ้นก็เห็นซ่งต้าซานกำลังมองมาที่ตนและเสี่ยวเป่าด้วยสีหน้าตกใจ
หลีโม่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกับก้มมองเสี่ยวเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนของตนทันที โชคดีที่เด็กน้อยฝังใบหน้าเข้ากับอกของนางและไม่มีท่าทีหวาดกลัวใด ๆ
ซ่งต้าซานประคองตัวหลีโม่เอาไว้จนนางทรงตัวได้แล้ว เขาก็ดึงมือหวังชุ่ยฮวาออกจากตัวหลีโม่
ซ่งต้าซานจ้องมองไปที่หวังชุ่ยฮวาด้วยท่าทีแข็งกร้าว “ท่านต้องการจะทำอะไร!”
หวังชุ่ยฮวาตัวสั่นเมื่อเห็นสายตาของเขาพลางก้าวถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว
หลังจากก่อเรื่องแล้วหวังชุ่ยฮวาก็รู้สึกหวาดหวั่น ทว่าเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตนเป็นพี่สะใภ้ของเขา นางก็บังเกิดความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง นางก้าวเท้าเดินเข้ามาอยู่หน้าเขาพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น “ข้าก็แค่บอกน้องสะใภ้ว่าไม่ควรเอาเรื่องภายในครอบครัวออกไปพูดภายนอก อย่าก่อเรื่องอับอายให้ครอบครัวของเรา ทำไม ข้าพูดไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
หลีโม่ไม่ปิดบังน้ำเสียงเยาะเย้ยของตน “ข้าควรจะอายด้วยหรือ? ข้าไม่ได้เป็นคนที่ไปก่อเรื่องวุ่นวายกับของของผู้อื่น และข้าก็ไม่ได้เป็นคนที่ไปบ้านของผู้อื่นแล้วยังตบตีลูกของพวกเขาอีกด้วย มีอะไรที่ข้าจะต้องอับอายกัน!”
ใบหน้าของหวังชุ่ยฮวาแดงก่ำขึ้น นางยกมือขึ้นเท้าสะเอวแล้วชี้หน้าไปที่หลีโม่ด้วยแขนอีกข้างพลางด่าทอว่า “เจ้ามันตัวอะไร? เป็นแค่คนชั้นต่ำที่ถูกซื้อตัวมายังจะกล้ามาพูดจากับข้าเช่นนี้อีก!” หลังกล่าวจบ นางก็หันไปหาซ่งต้าซาน “เจ้าไม่ได้อยู่ที่บ้านมาหลายปี หากไม่ได้ข้าช่วยดูแลเสี่ยวเป่าให้ เขาจะยังมีชีวิตรอดอยู่อีกหรือ? ข้าจะกลับแล้ว เจ้าปล่อยให้เมียของเจ้ารังแกข้าเช่นนี้หรือ? ยังจะมีจิตสำนึกอยู่อีกหรือ!”
ซ่งต้าซานนิ่งไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ กับคำพูดของนาง สีหน้าของเขายังคงเย็นชา “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านรู้ดีว่าเสี่ยวเป่าต้องมีชีวิตเช่นไรในบ้านของท่าน อีกอย่างข้าก็ให้เงินท่านไป 8 ตำลึงแล้วซึ่งเป็นเงินที่มากเกินกว่าเงินที่ใช้เลี้ยงดูเสี่ยวเป่าไปเป็นจำนวนไม่น้อยแล้ว”
แน่นอนว่าหวังชุ่ยฮวารู้แก่ใจดี แต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้ “ข้าเลี้ยงดูเสี่ยวเป่ามา กับเงินแค่ไม่กี่ตำลึงก็ตอบแทนบุญคุณได้หมดอย่างนั้นหรือ?”
หลังพูดจบนางก็นั่งลงกับพื้นแล้วตบต้นขาของตนเองพร้อมกับคร่ำครวญว่า “เหตุใดข้าถึงได้มีชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้หนอ? ที่บ้านลำบากยากจน ข้าต้องกระเหม็ดกระแหม่เงินของตนเพื่อเลี้ยงดูบุตรชายของน้องสามี สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ให้เงินข้ามาเพียงแค่ไม่กี่ตำลึงเท่านั้น ที่บ้านของตัวเองได้กินอาหารดี ๆ แต่ไม่สนใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ที่ต้องทำงานหนักเลย ~”
ในขณะที่ร้องคร่ำครวญ นางก็ชำเลืองมองไปที่ข้าวของบนโต๊ะแล้วขยิบตาให้ลูกทั้งสองคนไปยืนใกล้ ๆ
เด็กทั้งสองคนรีบหยิบขนมกับซาลาเปาที่อยู่บนโต๊ะยัดใส่ไว้ในแขนเสื้อของพวกตนทันที
หลีโม่ตะโกน “พวกเจ้าทำอะไรน่ะ! เอามานี่นะ!”
เด็กทั้งสองคนไม่เกรงกลัวหลีโม่เลยแม้แต่น้อย หนึ่งในนั้นมองไปที่หลีโม่อย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ พลางกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ชีวิตของซ่งเสี่ยวเป่าครอบครัวของพวกข้าเป็นผู้มอบให้ ดังนั้นของทุกอย่างที่อยู่ในบ้านนี้ก็เป็นของของครอบครัวพวกข้าด้วย”
หลีโม่ตกตะลึงกับคำพูดของเด็กผู้นี้ นางสาวเท้าเดินเข้าไปหา “พวกเจ้าเอาของคืนมานะ! นั่นเป็นของเสี่ยวเป่า”
พอหวังชุ่ยฮวาเห็นหลีโม่พยายามจะห้ามลูกของตนไม่ให้หยิบเอาของไป นางก็รีบลุกขึ้นปรี่เข้าไปหาแล้วทิ้งลงไปเกลือกกลิ้งที่ตรงนั้นทันที จากนั้นก็ร้องโวยวาย “โอ๊ยตายแล้ว ดูซิอาสะใภ้ไม่ต้องการแบ่งของกินอะไรให้กับหลานชายจนถึงกับต้องทุบตีหลานชายของตนเองเชียว ~”
หลีโม่ถึงกับพูดไม่ออกด้วยความโมโห ผู้ใหญ่อันธพาล เด็กก็อันธพาล นี่มันเป็นครอบครัวประเภทไหนกันแน่?
ซ่งต้าซานก็เข้ามาดึงตัวหลีโม่เอาไว้ เขาส่ายหน้าห้ามพร้อมกับมองนางด้วยแววตาปลอบประโลม
จากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไปดึงตัวหวังชุ่ยฮวาขึ้นมาแล้วลากตัวนางออกไปที่ประตูบ้าน
ไม่ว่าหวังชุ่ยฮวาจะบึกบึนแข็งแรงขนาดไหน นางก็ไม่แข็งแรงไปกว่าซ่งต้าซาน ระหว่างที่ถูกซ่งต้าซานลากตัวออกไป นางดิ้นรนขัดขืนอย่างเต็มที่พร้อมทั้งตะโกนด่าทอไปด้วย กระนั้นก็ตามนางก็ไม่สามารถหยุดรั้งซ่งต้าซานไว้ได้ เขาลากตัวนางโยนออกไปนอกประตูได้สำเร็จ
เมื่อเห็นหวังชุ่ยฮวาถูกโยนออกไป ลูกทั้งสองของนางก็รู้สึกหวาดกลัวจนรีบวิ่งหนีตามออกไป
หวังชุ่ยฮวาถูกจับตัวโยนออกไปนอกประตูแล้ว แต่เสียงดังโวยวายที่เกิดขึ้นทำให้เพื่อนบ้านต่างวิ่งออกมาดูเรื่องตื่นเต้นกันยกใหญ่พร้อมกับจ้องมองไปที่หวังชุ่ยฮวา
ในเวลานี้หวังชุ่ยฮวากำลังร้องห่มร้องไห้น้ำตาไหลนองหน้า “พวกเจ้าดูสิ เป็นน้องสามีแต่ไล่ทุบตีพี่สะใภ้! พวกเจ้าช่วยตัดสินความให้ข้าด้วย ~”
หลีโม่ถึงกับตะลึงกับการกระทำของซ่งต้าซาน ไม่นานนักนางก็ได้สติจึงรีบอุ้มตัวเสี่ยวเป่าขึ้นแล้ววิ่งตามออกไปที่หน้าประตู
หลีโม่เกรงว่าผู้อื่นจะเชื่อตามคำพูดหวังชุ่ยฮวา นางจึงแอบหยิกต้นขาของตัวเองอย่างแรงจนทำให้ดวงตาของตนแดงก่ำขึ้นทันที
หลีโม่ขมวดคิ้วมองไปที่หวังชุ่ยฮวาแล้วแล้วตีสีหน้าเศร้าสร้อย “พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่ใช่ว่าพวกข้าไม่ต้องการจะให้อาหารกับหลานชาย แต่พวกท่านเอาไปโดยไม่ได้เอ่ยขอก่อน พอเสี่ยวเป่าห้าม ท่านถึงกับตบตีเขา เสี่ยวเป่ายังเล็กมาก ท่านทำอย่างนั้นได้กับเขาอย่างไรกัน?”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็มองไปที่เสี่ยวเป่าซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของหลีโม่ ดวงตาที่ร้องไห้จนแดงก่ำของเด็กน้อยบวมช้ำ อีกทั้งรอยฝ่ามือบนใบหน้าของเขาเห็นได้เด่นชัด ใบหน้าของเขาบวมไปข้างหนึ่ง ดูแล้วน่าสงสารมาก
พอเห็นเสี่ยวเป่าเป็นแบบนี้ พวกเขาก็พลันนึกถึงนิสัยแต่เดิมของหวังชุ่ยฮวาขึ้นมาได้ ทุกคนจึงเชื่อคำพูดของหลีโม่ มีคนตะโกนต่อว่าหวังชุ่ยฮวาขึ้นมาทันที “หวังชุ่ยฮวา เจ้าเคยตีเสี่ยวเป่าเมื่อครั้งที่เขาอยู่บ้านเจ้า ตอนนี้เจ้ายังไปบ้านของผู้อื่นเพื่อตีเขาอีก ทำไมเจ้าถึงได้โหดร้ายนัก!”
“ใช่ เข้าไปเอาของของบ้านผู้อื่นแล้วยังไปทุบตีลูกของพวกเขาอีก หน้าของเจ้ามันหนาสักขนาดไหนกันนี่?”
“ถ้าหวังชุ่ยฮวาชอบมาเอาเปรียบข้า ข้าก็จะโยนนางออกไปเหมือนกัน”
ทุกคนต่างพากันต่อว่าหวังชุ่ยฮวาซึ่งนั่งหน้าเสียอยู่บนพื้น นางไม่คิดว่าภรรยาที่ต้าซานซื้อตัวมาไม่ได้อ่อนแอรังแกได้ง่าย ๆ นางแกร่งกว่าภรรยาคนก่อนมากนัก
เมื่อเห็นว่าวันนี้เรียกร้องอะไรไม่ได้แล้ว หวังชุ่ยฮวารีบลุกขึ้นวิ่งหนีไปพร้อมกับลูกทั้งสอง
กระทั่งคนทั้ง 3 วิ่งออกไปไกลจนมองไม่เห็นตัวแล้ว ทุกคนจึงหันมาปลอบพวกหลีโม่แม่ลูกอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นก็พากันแยกย้ายกลับบ้านไป
หลีโม่พาเสี่ยวเป่าและซ่งต้าซานกลับเข้าบ้าน
ซ่งต้าซานมองนัยน์ตาที่ยังแดงก่ำของหลีโม่ด้วยแววตาขบขันเล็กน้อย
หลีโม่นึกได้ว่านางเพิ่งจะทำอะไรลงไปก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็รีบเดินไปดูข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะโดยไม่สบตาซ่งต้าซาน
ข้าวของอื่นยังวางอยู่ที่เดิม เว้นแต่ขนมดอกเหมยกับซาลาเปาที่นางตั้งใจซื้อมาฝากเสี่ยวเป่าเป็นพิเศษ พวกมันถูกเด็ก 2 คนนั้นเอาไปหมดแล้ว เสี่ยวเป่าเพิ่งจะกินไปได้ชิ้นเดียวเท่านั้น
ซ่งต้าซานตบไหล่ปลอบหลีโม่เบา ๆ เมื่อเห็นอาการเศร้าสร้อยของนาง “ไม่เป็นไร ครั้งหน้าเข้าไปในเมืองแล้วค่อยซื้อมาใหม่ก็ได้”
เสี่ยวเป่าทำท่าทางเลียนแบบซ่งต้าซานด้วยเหมือนกัน เขาตบบ่าที่ด้านหลังของหลีโม่แล้วปลอบนางว่า “ท่านน้าโม่ ไม่ต้องร้องไห้ เสี่ยวเป่าไม่กินขนม เสี่ยวเป่ากินโจ๊ก”
หลีโม่ทั้งมีความสุขและทุกข์ใจในเวลาเดียวกันกับสิ่งที่เด็กน้อยเอ่ยออกมา
เด็กเล็กตัวเท่านี้ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะต้องทนทุกข์มามากแค่ไหน ตอนนี้เขาถูกรังแกแต่กลับมาปลอบนาง เปรียบเทียบกับเจ้าชายเจ้าหญิงตัวน้อยในโลกยุคปัจจุบันแล้ว เสี่ยวเป่าช่างเป็นเด็กที่รู้ความยิ่งนัก
ครั้งหน้าที่ได้เข้าไปในเมือง นางจะต้องซื้อของดี ๆ กลับมาฝากเสี่ยวเป่าให้ได้
หลีโม่จัดเก็บข้าวของที่เหลือ นางเอาข้าวและเครื่องปรุงต่าง ๆ ไปเก็บเอาไว้ในตู้และจัดการลงกลอนตู้เอาไว้ จากนั้นนางก็นำเนื้อและกระดูกหมูที่ซื้อมาใส่ไว้ในอ่างน้ำแล้วเอาไปวางแช่ไว้ในถังน้ำเย็นเพื่อที่ในวันพรุ่งนี้เนื้อหมูจะได้ยังไม่เสีย
ซ่งต้าซานกลับเข้าไปต้มน้ำต่อ หลีโม่เอาผ้าเช็ดหน้ามาชุบน้ำแล้วนำมาวางประคบบนใบหน้าของเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่ายอมให้วางผ้าประคบบริเวณที่บวมบนใบหน้าอย่างเชื่อฟัง
หลีโม่ฉวยโอกาสในช่วงเวลานี้เอาแป้งที่เหลืออยู่นิดหน่อยในตู้ออกมา ตั้งใจว่าจะทำบะหมี่นวดมือ ตอนแรกนางวางแผนไว้ว่าจะต้มโจ๊กกินกับซาลาเปาและหมั่นโถว ทว่าตอนนี้ไม่มีของเหลือแล้ว หลีโม่ไม่อยากให้ทั้งครอบครัวต้องกินโจ๊กข้าวกล้องซ้ำอีก ดังนั้นนางจึงคิดจะทำบะหมี่กินแทน
หลีโม่เคยกินแต่เส้นบะหมี่สำเร็จรูป การนวดแป้งทำบะหมี่เองนั้นนางพอจะรู้วิธีมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำด้วยตัวเอง สุดท้ายเป็นซ่งต้าซานที่มานวดแป้งบะหมี่ ส่วนหลีโม่เป็นคนตัดแป้งใส่หม้อต้ม
อาหารเย็นมื้อนี้หอมกรุ่นเป็นพิเศษเนื่องจากหลีโม่ใส่น้ำมันและเนื้อหมูสับลงไปด้วยเล็กน้อย เสี่ยวเป่าอิ่มจนถึงกับลูบท้องด้วยความพอใจ แม้แต่ซ่งต้าซานก็กินด้วยความสุขใจ
เมื่อเห็นพ่อลูกกินกันอย่างมีความสุข หลีโม่ก็มีความสุขไปด้วย นางเกิดความรู้สึกทิฐิมานะอย่างหนึ่งขึ้นในใจ นางจะต้องหาเงินมาให้ได้เพื่อที่ครอบครัวจะได้มีเนื้อกินทุกมื้อ!
เมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นมา หลังกินข้าวเสร็จแล้ว หลีโม่ก็รีบเอาวัตถุดิบที่นางซื้อกลับมาออกมาตระเตรียมของ
วัตถุดิบไม่มาก มีเพียง 3 ชนิดเท่านั้นคือต้นตี้อวี๋ ต้นเจี้ยนหมาและผลท้อดิบ
เริ่มจากต้องนำของทั้ง 3 สิ่งนี้มาแช่น้ำเอาไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็นำมาผสมและบดรวมกันในสัดส่วน 2:2:1 จากนั้นก็แล้วกรองเอากากออก เสร็จแล้วใส่น้ำมันสำหรับทาใบหน้าลงไปในส่วนผสมคนให้เข้ากันจนกระทั่งส่วนผสมเริ่มข้นคล้ายแป้งเปียกก็เป็นอันใช้ได้ ยามจะใช้ก็แต้มขึ้นมาเพียงเล็กน้อยแล้วนวดให้ทั่วบริเวณที่ต้องการ สามารถใช้ทาเพื่อบำรุงผิวพรรณ และยังสามารถทาหลังจากการแต่งหน้าเพื่อให้เครื่องสำอางติดทนและเพิ่มประสิทธิภาพในการแต่งหน้าอีกด้วย หลีโม่ตั้งชื่อมันว่า ‘ครีมเสริมความงาม’
เมื่อซ่งต้าซานได้ยินกรรมวิธีในการทำวัตถุดิบเหล่านี้แล้ว เขาก็เริ่มผสมวัตถุดิบเข้าด้วยกันและแล้วนำมาบด
หลีโม่มอบหน้าที่ทั้งหมดให้เขาเป็นคนทำ ส่วนนางก็ใช้เวลาในการศึกษาสินค้าที่ซื้อมาจากร้านเครื่องแป้งอย่างละเอียด และครุ่นคิดถึงวิธีที่จะใช้พวกมันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
คนทั้งสองต่างก็ยุ่งอยู่กับงานกระทั่งมืดค่ำจนไม่สามารถจะมองอะไรเห็นแล้ว ถึงเวลานี้หลีโม่เพิ่งตระหนักว่าในบ้านไม่มีแม้แต่เทียนไขจะใช้จุดไฟ
วันรุ่งขึ้นซ่งต้าซานไม่ได้ไปที่ทุ่งนา หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว หลีโม่ก็หยิบอุปกรณ์แต่งหน้าไปที่บ้านของอาสะใภ้จ้าว
เมื่อวานนี้นางได้ตกลงกับอาสะใภ้จ้าวไว้แล้ว ดังนั้นในวันนี้คนที่บ้านของอาสะใภ้จ้าวไม่มีใครออกไปทำงานข้างนอกเลยยกเว้นแต่พวกผู้ชาย ส่วนพวกผู้หญิงต่างก็อยู่บ้านกันทุกคน ทุกคนล้วนแต่อยากรู้อยากเห็น พวกนางอยากเห็นว่าหลีโม่สะใภ้ที่มาจากตระกูลใหญ่จะมีวิธีการพิเศษอะไรที่จะทำให้ฉินฮวาดูงดงามขึ้นมาได้
ทั้งครอบครัวต่างมารวมกันอยู่ในห้องของฉินฮวา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลีโม่ได้เห็นใบหน้าของฉินฮวา
บนแก้มด้านซ้ายของนางมีรอยแผลเป็นชัดเจน รอยแผลเป็นสีดำคล้ำ ดังนั้นการแต่งหน้าจึงไม่สามารถปกปิดมันได้ ทว่านอกเหนือจากรอยแผลแล้ว หลีโม่พบว่าที่จริงฉินฮวาเป็นผู้ที่มีส่วนประกอบบนใบหน้าดีมาก นางมีใบหน้ารูปไข่ สีผิวไม่คล้ำ ดวงตา 2 ชั้น ริมฝีปากผลอิงเถา* หากไม่มีรอยแผลแล้ว นางคงเป็นสาวงามคนหนึ่งทีเดียว
*ริมฝีปากเล็กแดงเหมือนผลเชอรี่
เดิมทีหลีโม่คิดว่าฉินฮวาคงต้องเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวเนื่องจากรอยแผลเป็นบนใบหน้า ใครจะรู้ว่านางกลับเป็นหญิงที่เปิดเผยและใจกว้าง นางไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับเรื่องนี้เลย หากแค่กลับเป็นคนร่าเริงและพูดจาเปิดเผย
พอนางเห็นหลีโม่เดินเข้าไป นางก็รีบลุกออกมาทักทายและส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ “พี่สะใภ้ ท่านแม่บอกข้าเมื่อวานนี้ว่าท่านสามารถปกปิดรอยแผลเป็นของข้าได้ ข้าดีใจมากจนนอนไม่หลับทั้งคืนเลย เฝ้ารอให้ท่านมาถึงเสียที”
หลีโม่รู้สึกเบิกบานใจกับคำพูดของนางและมีความประทับใจอย่างเต็มเปี่ยมในตัวเด็กสาวผู้นี้
ทุกวัน