ตอนที่ 7 พี่สะใภ้ใหญ่
เจ้าของร่างเดิมมีจี้หยกติดตัวอยู่ เป็นหยกขนาดเล็กที่ถูกร้อยไว้กับเชือกเก็บซ่อนเอาไว้อยู่ตรงกลางอกของนาง ด้วยเหตุนี้พ่อค้าทาสจึงหามันไม่พบ
จี้หยกชิ้นนี้เป็นของรางวัลที่นางได้รับมาจากคุณหนูที่นางเคยรับใช้ เป็นหยกเนื้อดี หากนำไปขายน่าจะได้ราคามากทีเดียว
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงของสิ่งเดียวที่เจ้าของร่างเดิมมีติดตัวอยู่ ไม่ควรนำไปจำนำ ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นางคงได้แต่ต้องเอาไปจำนำไว้ก่อนเมื่อมีเงินเมื่อใดค่อยไปซื้อคืนมาทีหลัง
หลีโม่หยิบจี้หยกออกมาให้ซ่งต้าซานดู “พี่ต้าซาน ข้ามีจี้หยกอยู่ชิ้นหนึ่ง พวกเราไปโรงจำนำกันเถิด มันน่าจะเปลี่ยนเป็นเงินได้”
ซ่งต้าซานสั่นหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้อง นี่เป็นของของเจ้า เก็บเอาไว้เถิด พวกเราเดินกลับเอาก็ได้ ไม่ต้องเอาไปจำนำหรอก”
หลีโม่ยืนกราน “กว่าจะกลับไปถึงบ้าน ขาของท่านก็คงจะใช้การต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่เพียงเท่านั้นข้าวที่บ้านก็ใกล้จะหมดแล้ว หากไม่ซื้ออะไรกลับไปแล้วเราจะกินอะไร? อีกอย่างเสี่ยวเป่าได้กินแต่โจ๊กเปล่าทุกวัน แล้วเด็กอย่างเขาจะเติบโหญ่ขึ้นได้อย่างไรเจ้าคะ?”
ซ่งต้าซานหน้าเสียเล็กน้อยแต่เขาก็ต้องยอมรับว่าหลีโม่กล่าวได้ถูกต้อง
เวลานี้เขาตระหนักได้ถึงความเป็นคนไร้ความสามารถของตนเองอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นแววตาคับข้องใจของซ่งต้าซานแล้ว หลีโม่ก็รู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมาเล็กน้อย จึงเอ่ยเสียงอ่อนว่า “พี่ต้าซาน ข้าก็เป็นคนในครอบครัวเช่นกัน เหตุใดข้าถึงทำอะไรเพื่อครอบครัวบ้างไม่ได้? ท่านปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ท่านไม่ต้องการให้ข้าเป็นคนในครอบครัวอย่างนั้นหรือ?”
ซ่งต้าซานมองไปที่หลีโม่ มือที่กำแน่นอยู่คลายออกช้า ๆ เขาหลับตาลง สุดท้ายก็พยักหน้ายินยอม
เมื่อทั้งคู่มาถึงโรงจำนำ หลีโม่นำจี้หยกออกมาให้เจ้าของร้านดู
เจ้าของร้านเสนอราคาให้ที่ 2 ตำลึง แม้ว่าราคาจะห่างไกลจากมูลค่าจริงของหยกไปมาก ทว่ามีผู้ใดบ้างที่จะได้ประโยชน์จากโรงจำนำ ด้วยเหตุนี้หลีโม่จึงตอบตกลงที่ราคา 2 ตำลึง อย่างน้อยเงินจำนวนนี้ก็สามารถแก้ปัญหาของครอบครัวในตอนนี้ได้
เมื่อมีเงินอยู่ในมือ หลีโม่ก็ไม่รีบร้อนเดินทางกลับบ้าน หากแต่ชวนซ่งต้าซานไปเดินซื้อของใช้ก่อน
ที่แรกที่ไปคือร้านขายข้าว นางซื้อข้าวกล้อง 1 ถุงและข้าวขาวครึ่งถุงเพื่อนำมาผสมรวมกัน
จำได้ว่าที่บ้านไม่มีผักอยู่เลย หลีโม่จึงซื้อเมล็ดพันธุ์ผักมาด้วยและวางแผนว่าจะกลับไปปลูกในสวนที่บ้าน
หากจะทำอาหารจะต้องมีฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูและชา* สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องซื้อไปด้วย
*เป็นของ 7 อย่างที่ถือว่าจำเป็นในชีวิตประจำวันของชาวจีนมาตั้งแต่สมัยโบราณ
หลังจากนั้นก็ไปร้านขายเนื้อ นางซื้อเนื้อหมูสามชั้นมา 1 ชั่ง รวมทั้งซื้อกระดูกหมูที่ถูกนำมาแยกขายในราคาที่ถูกมากมาด้วย
ร้านสุดท้ายหลีโม่เดินเข้าไปที่ร้านขายขนมและซื้อขนมดอกเหมย(1)มาหลายชิ้นเพื่อเอากลับไปให้ฝากเสี่ยวเป่า
ระหว่างทางเมื่อเดินผ่านร้านขายซาลาเปา หลีโม่หยุดคิดชั่วครู่ก่อนที่จะซื้อหมั่นโถว 2 ลูกกับซาลาเปาไส้เนื้ออีก 1 ลูก
ซื้อของครั้งนี้หลีโม่หมดเงินไปทั้งหมด 200 อีแปะ คิดแล้วก็รู้สึกปวดใจ
หลังจากซื้อของครบก็พร้อมที่จะกลับบ้านกันได้แล้ว หลีโม่เดินไปที่เกวียนลาที่อยู่ข้างทางเพื่อต่อรองราคากับเจ้าของเกวียน
เนื่องจากหลีโม่ไม่รู้ราคาที่เหมาะสมจึงเกือบจะถูกเจ้าของเกวียนเอาเปรียบ สุดท้ายต้องให้ซ่งต้าซานเป็นคนต่อรองราคากับเจ้าของเกวียนแทน
ราคาในการเดินทางต่อครั้งอยู่ที่ 30 อีแปะ หลีโม่นำของทั้งหมดที่ซื้อมาขนไปวางไว้บนเกวียนลา ก่อนที่จะปีนขึ้นไปนั่งบนเกวียนกับซ่งต้าซาน
ระหว่างทางกลับหลีโม่หยิบเครื่องแป้งที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ให้ซ่งต้าซานดูพร้อมเล่าแผนการของตนให้ฟัง
ในตอนแรกซ่งต้าซานไม่ได้จริงจังกับคำบอกเล่าของหลีโม่มากมายนัก คิดเพียงว่านี่เป็นความคิดเพียงชั่ววูบในการหาเงินของหลีโม่เท่านั้น และหากไม่สามารถหาเงินกับมันได้ นางก็สามารถเอาของที่ซื้อมานี้มาใช้เองได้
ทว่าเมื่อได้ฟังหลีโม่อธิบายถึงแผนการของนางแล้ว ซ่งต้าซานคิดใคร่ครวญด้วยความสนใจ
ก่อนหน้าที่ซ่งต้าซานจะไปเป็นทหาร เขาเคยเดินทางไปในที่ต่าง ๆ หลายแห่งและได้พบปะผู้คนมากมาย เป็นธรรมดาที่เขาย่อมมีมุมมองที่กว้างไกลกว่าชาวบ้านธรรมดา เขารู้ว่าหากหลีโม่มีทักษะฝีมือที่ยอดเยี่ยมแล้ว การค้าของนางจะต้องประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน
เขาเคยเห็นการแต่งหน้าแบบเจ้าสาวมาก่อน ภาพเจ้าสาวที่มีใบหน้าขาววอกจนมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง กล่าวตามตรงว่าการแปลงโฉมเช่นนี้ออกมาไม่น่ามองยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่แต่งหน้าเสียอีก
หากหลีโม่สามารถแต่งหน้าเจ้าสาวให้ออกมาดูงดงามและปกปิดจุดด้อยบนใบหน้าของพวกนางได้ เช่นนั้นผู้คนมากมายต้องมาขอให้หลีโม่ไปแต่งหน้าให้อย่างแน่นอน
ซ่งต้าซานมองหน้าหลีโม่พลางถามย้ำว่า “เจ้าสามารถทำได้จริงหรือ?”
หลีโม่อาจจะไม่กล้าอวดอ้างในเรื่องอื่น ๆ ทว่าในเรื่องของการแต่งหน้านางมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม นางยิ้มออกมาอย่างมั่นใจแล้วกล่าวว่า “ข้าทำได้อย่างแน่นอน ข้าให้สัญญากับอาสะใภ้จ้าวแล้วว่าจะลองแต่งหน้าให้ฉินฮวาดูก่อน ถึงตอนนั้นท่านจะไปกับข้าด้วยก็ได้”
ซ่งต้าซานพยักหน้ารับ เขาเองก็อยากเห็นว่าหลีโม่สามารถทำได้จริงหรือไม่
หลีโม่หันไปหยิบวัตถุดิบที่นางซื้อมาจากร้านขายยามาให้ซ่งต้าซานดู ด้วยเกรงว่าคนบังคับเกวียนจะได้ยิน นางจึงเขยิบเข้ามากระซิบที่ข้างหูของซ่งต้าซาน “นี่เป็นวัตถุดิบพิเศษที่ข้าจะใช้ มันจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดีมาก”
ซ่งต้าซานชะงักงันไปเมื่อนางเข้ามาใกล้ตนอย่างกะทันหัน เขาได้กลิ่นหอมหวานที่ปลายจมูก ตอนนางกระซิบลมปากของนางสัมผัสแผ่วเบาเข้าที่ใบหน้าของเขาจนใบหน้าซีกนั้นของเขาร้อนผ่าวไปหมด กระทั่งหลีโม่กล่าวจบแล้วความรู้สึกร้อนผ่าวนั้นถึงได้สูญสลายไป
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ซ่งต้าซานคิดฟุ้งซ่านไปตลอดการเดินทาง
เมื่อมาถึงที่บ้านพวกเขาจ่ายค่าจ้างให้กับเจ้าของเกวียนและขนข้าวของเข้าไปเก็บ จากนั้นก็ไปรับเสี่ยวเป่าที่บ้านอาสะใภ้จ้าว
ตอนเช้าก่อนที่ทั้งคู่จะออกเดินทาง พวกเขาพาเสี่ยวเป่ามาฝากไว้กับลูกสะใภ้คนโตของบ้านตระกูลจ้าว
หลีโม่หยิบขนมดอกเหมยมาด้วย 2 ชิ้น ตั้งใจนำไปเป็นของกำนัลเพื่อขอบคุณที่บ้านจ้าวช่วยดูแลเสี่ยวเป่าให้
ทันทีที่ทั้งคู่เดินเข้าไปในบ้านตระกูลจ้าว ร่างเล็กจ้อยร่างหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหาอ้อมแขนของหลีโม่อย่างรวดเร็ว
“ท่านน้าโม่ ท่านกับท่านพ่อไปไหนกันมาหรือขอรับ? เหตุใดถึงมารับเสี่ยวเป่าช้านัก” เสียงเด็กน้อยในอ้อมแขนฟังดูน่าสงสารเสียจนทำให้หลีโม่รู้สึกผิด
“เด็กดี เป็นเพราะน้าโม่กับท่านพ่อไม่ดีเองเลยมารับเสี่ยวเป่าช้า น้าโม่กับท่านพ่อต้องขอโทษเสี่ยวเป่าด้วย ครั้งหน้าน้าโม่จะไม่ทำอีกแล้ว ตกลงไหม?” พอร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดของนางได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมไปไม่กี่ประโยคก็หัวเราะออกมาพร้อมกับจับมือหลีโม่ไว้อย่างมีความสุข
หยางหลันฮวาลูกสะใภ้คนโตของท่านอาสะใภ้จ้าวยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้คอยเดินออกมาดูวันละหลาย ๆ รอบเลย ตอนบ่ายก็ออกมานั่งอยู่ที่ธรณีประตูห้องโถงแล้วคอยจ้องมองไปทางหน้าประตูตลอด สุดท้ายครั้งนี้พวกเจ้าก็กลับมาถึงแล้วจริง ๆ “
หลีโม่หัวเราะพร้อมกับยื่นขนมดอกเหมย 2 ชิ้นส่งให้หยางหลันฮวา “พี่หลันฮวา ขอบคุณท่านมากที่ช่วยดูแลเสี่ยวเป่าให้ทั้งวัน ขนมดอกเหมยข้าซื้อมาวันนี้ให้พวกเด็ก ๆ ได้ลองกินกัน”
หยางหลันฮวารีบปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก พาเสี่ยวเป่ามาที่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด เกรงใจกันเกินไปเสียแล้ว”
“พี่สะใภ้หลันฮวา ขนมนี่สำหรับเด็ก ๆ พี่ต้องรับไว้นะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นต่อไปข้าคงไม่กล้ามารบกวนท่านอีกแล้ว”
เมื่อหลีโม่เอ่ยเช่นนี้ หยางหลันฮวาจึงยอมรับขนมไว้พร้อมทั้งรู้สึกประทับใจในตัวหลีโม่ สะใภ้ตัวน้อยผู้นี้ไม่เพียงเติบโตมาดี ทว่ายังรู้ความอีกด้วย
หลีโม่กล่าวทักทายคนอื่น ๆ ในครอบครัวจ้าวอีกครั้ง แต่ไม่เห็นจ้าวฉินฮวาเลย นางน่าจะอยู่ในห้อง
หลังทักทายเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงพาเจ้าตัวน้อยของตนกลับบ้าน
เมื่อกลับมาถึงที่บ้าน หลีโม่ก็บอกให้ซ่งต้าซานนั่งพัก จากนั้นนางก็เอาขนมดอกเหมยออกมาให้เสี่ยวเป่ากิน เมื่อเห็นว่าเขากำลังกินขนมอยู่ นางจึงไปต้มน้ำร้อนในห้องครัว ตั้งใจจะนำมาประคบขาให้ซ่งต้าซาน พรุ่งนี้เช้าขาของเขาจะได้ไม่บวมมากขึ้นไปอีก
หลีโม่ก่อเตาไฟตามอย่างที่จำได้จากที่เคยเห็นซ่งต้าซ่านทำก่อนหน้านี้ ขั้นแรกจุดไฟกับหญ้าแห้งหนึ่งกำมือ โยนใส่เข้าไปใต้เตา จากนั้นก็ใส่กิ่งไม้แห้งเข้าไปให้ติดไฟ
ขั้นตอนในการทำเรียบร้อยดี ทว่ายังเกิดการผิดพลาดอยู่ดี นางมองไม่เห็นไฟเลย มีเพียงควันที่พวยพุ่งออกมาจนทำให้หลีโม่สำลักควันไอออกมาไม่หยุด
ซ่งต้าซานซึ่งกำลังนั่งพักผ่อนอยู่รีบวิ่งไปที่ห้องครัวอย่างรวดเร็ว เขาตื่นตะลึงกับการกระทำของหลีโม่ มองเห็นควันไฟหนาทึบอยู่ภายในห้องครัวโดยที่หลีโม่กำลังไอสำลักอยู่ในกลุ่มควันไฟนั้น
ซ่งต้าซานรีบเข้าไปดึงตัวหลีโม่ออกมา จากนั้นเขาก็นั่งลงที่หน้าเตาแล้วใช้ไม้เขี่ยเข้าไปในเตา 2-3 ครั้ง หลังจากนั้นไม่นานกลุ่มควันก็หายไปและเกิดประกายไฟขึ้นมา
หลีโม่ยืนอยู่นอกครัวด้วยความรู้สึกอับอายเล็กน้อย
ซ่งต้าซานมองไปที่หลีโม่ผู้ซึ่งกำลังยืนก้มหน้าเงียบ มุมปากของเขาโค้งขึ้นนิด ๆ “ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าเข้ามาเถิด เป็นเพราะเจ้าสุมฟืนเข้าไปในเตามากเกินทำให้ไฟจุดไม่ติดจึงได้เป็นเช่นนี้ แค่ใช้ไม้เขี่ยออกก็ได้แล้ว”
ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้
หลีโม่พยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว
“เจ้าจะต้มน้ำทำอะไรหรือ?”
หลีโม่ตอบตามจริงว่า “ข้าจะต้มน้ำร้อนเอาไปให้ท่านแช่เท้าและจะประคบขาให้ท่านด้วย ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้ขาท่านจะบวมมาก”
ซ่งต้าซานรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าหลีโม่ยังวิตกกับอาการขาของเขาอยู่อีก ความรู้สึกอบอุ่นหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจ แววตาของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้น ซ่งต้าซานนั่งลงแล้วก่อไฟต่อ “ข้าจะก่อไฟเอง พอได้นั่งพักแล้วก็ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเท่าใดนัก”
หลีโม่พยักหน้า “ได้ เช่นนั้นข้าจะไปตวงข้าวมาทำอาหารเย็น มื้อเย็นข้าจะนึ่งหมั่นโถวกับซาลาเปาที่ซื้อมาวันนี้ด้วย”
หลีโม่กำลังจะตวงข้าวเมื่อได้ยินเสียงเสี่ยวเป่าร้องไห้อยู่ในห้องโถง นางรีบทิ้งสิ่งที่กำลังทำอยู่ทันทีแล้วรีบวิ่งออกไปทางหน้าบ้าน
ในห้องหลัก เสี่ยวเป่านั่งปิดหน้าร้องไห้อยู่บนพื้น
ด้านข้างมีสตรีผู้หนึ่งกับเด็กอีก 2 คนกำลังคุ้ยข้าวของที่นางเพิ่งซื้อกลับมา
พอเห็นหลีโม่ เด็กทั้งสองคนก็เหลือบมองไปที่มารดาของตน เมื่อเห็นว่ามารดาตนไม่เอ่ยอะไรออกมา พวกเขาก็ค้นดูของต่อแล้วหยิบขนมดอกเหมยขึ้นมากิน
สตรีผู้นั้นตาเป็นประกายและยิ้มอย่างเสแสร้ง “อ้อ เป็นสะใภ้ที่ต้าซานซื้อตัวมานั่นเอง”
เมื่อเสี่ยวเป่าเห็นหลีโม่มาถึง ความอัดอั้นเสียใจก็ระเบิดออกมาทันที เสียงร้องไห้แผดดังขึ้น “ท่านน้าโม่ ท่านป้าสะใภ้ตบเสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่าเจ็บขอรับ”
หัวใจของหลีโม่เหมือนถูกบีบ นางก้าวเท้าเข้าไปกอดเสี่ยวเป่าเอาไว้ในอ้อมแขน มองไปที่แก้มของเขา ใช่จริง ๆ มีรอยฝ่ามือที่เห็นได้ชัดเจนอยู่บนแก้มผอมบางนั้น ผู้ที่เห็นแทบจะทนมองดูมันไม่ได้
ดวงตาหลีโม่ฉายรอยขุ่นเคือง นางมองตรงไปที่หญิงผู้นั้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สะกดความโกรธเอาไว้ “ท่านตีลูกของข้างั้นหรือ?”
หญิงผู้นี้คือหวังชุ่ยฮวาเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของซ่งต้าซาน นางยิ้มกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “ข้าตีที่ไหนกัน? พวกเด็ก ๆ เล่นด้วยกัน ก็แค่อุบัติเหตุเท่านั้น”
หลีโม่หัวเราะออกมาด้วยความโทสะ เป็นเด็กตีหรือ? อุบัติเหตุอย่างนั้นหรือ?
ช่างปั้นเรื่องได้โดยตาไม่กะพริบ!
หลีโม่ตะโกนถาม “เฮอะ! ข้าไม่ยักรู้ว่ารอยตบของเด็กจะใหญ่ได้ปานนี้ เป็นเด็กผู้ใดกันที่ตบ?”
หวังชุ่ยฮวาไม่คิดว่านังคนชั้นต่ำที่ซ่งต้าซานซื้อตัวมาจะไม่ไว้หน้านาง ถึงกับกล้าตอกกลับนางเช่นนี้ นางมองกลับไปที่หลีโม่แล้วตอบโต้ว่า “อุ๊ยตาย หลายปีมานี้ไม่มีใครเคยใส่ใจดูแลเสี่ยวเป่าเลย เป็นข้าที่คอยเช็ดอุจจาระปัสสาวะให้เขา ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะมาอยู่ได้เพียง 2-3 วันเท่านั้นก็มาหาเรื่องให้ข้าโมโหแล้ว เหตุใดชีวิตข้าถึงทุกข์ยากเช่นนี้นะ?”
หลังกล่าวจบนางก็ทุบหน้าอกตนเองราวกับปวดใจเสียเต็มประดา
หลีโม่ได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริง ๆ นางไม่เคยเห็นผู้ใดที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อนเลย
...............................................................
(1) ขนมดอกเหมย (梅花糕) ตัวแป้งจะถูกเทใส่ในเตาทรงดอกเหมยมีไส้หลากหลาย
Credit ภาพ http://www.tzgh.org/tzms/15477.html
ทุกวัน