หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
ตอนที่ 64: ติวหนังสือ
ให้ติวลูกชายผู้จัดการโรงงาน?
ซูฮั่นหยวนไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะได้เจอกับเรื่องแบบนี้
"ว่าไง... เธอยอมช่วยหรือเปล่า"
ผู้จัดการโรงงานอุตส่าห์เชิญเธอด้วยตัวเอง เธอก็ต้องให้เกียรติเขาบ้าง แต่ถ้าจะให้เธอติวเด็กคนนั้น แล้วเธอจะไม่มีเวลาไปสอนเส้าหยูและจู้หลินหรือ?
ทั้งสองคนเพิ่งจะช่วยกันระดมทุนซื้อเครื่องเล่นเทปมาเอง พวกเธอก็กำลังมีความกระตือรือร้นในการเรียนอย่างไม่เคยมีมาก่อน และต่างมุ่งมั่นตั้งใจที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายของตน
มันคงใจร้ายเกินไปถ้าเธอจะทิ้งพวกหล่อนในช่วงเวลานี้
"ฉันยินดีค่ะ แน่นอนว่าฉันยินดี แต่ฉันคงต้องปรับเวลาใหม่หน่อย ผู้จัดการจางจะรอฉันได้ไหมคะ ฉันจะให้คำตอบในช่วงบ่าย"
"ตกลง ฉันจะรอคำตอบจากเธอ"
"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับไปก่อนนะคะ แล้วจะมาอีกทีช่วงบ่าย"
"ได้"
จางหงส่งซูฮั่นหยวนออกไป ก่อนที่เธอจะเดินจากไป เขาก็พูดขึ้นว่า “ซูฮั่นหยวน ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะไม่ให้เธอติวฟรีๆ หรอก ฉันจะจ่ายค่าแรงให้เธอแน่นอน”
"ไม่เป็นไรค่ะ ผู้จัดการ" ซูฮั่นหยวนยิ้ม "ฉันแค่ช่วยสอนพิเศษเล็กๆ น้อยๆ เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกค่ะ"
ตอนเที่ยง ซูฮั่นหยวน จู้หลิน และเส้าหยูนั่งกินข้าวด้วยกันหลังจากตักอาหารเรียบร้อยแล้ว พวกเธอเริ่มพูดคุยถึงสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละแผนกเมื่อช่วงเช้า
"ฮั่นหยวน พวกเรามีเรื่องอยากปรึกษาเธอน่ะ" จู้หลินและเส้าหยูพูดพร้อมกัน
"ช่างบังเอิญจริงๆ ฉันเองก็มีเรื่องจะคุยกับพวกเธอเหมือนกัน งั้นให้พวกเธอพูดก่อนละกัน"
"ได้ งั้นพวกเราจะพูดก่อน" จู้หลินมองไปที่เส้าหยูแล้วเริ่มพูด "คือแบบนี้ หลังจากวันปีใหม่ หลายคนรู้ว่าเธอเก่งภาษาอังกฤษมาก ก็เลยมีคนในกลุ่มเราหลายคนอยากมาเรียนภาษาอังกฤษกับเธอ"
"ใช่ ใช่ ฉันก็เจอแบบเดียวกัน" เส้าหยูรีบพยักหน้าเห็นด้วย
"เราก็เลยอยากจะถามว่าเธอเต็มใจจะสอนพวกเขาด้วยไหม" จู้หลินถามต่อ
"เรื่องนี้..." ซูฮั่นหยวนรู้สึกลังเล "เวลาของพวกเราก็แน่นอยู่แล้ว ถ้ามีคนมาเพิ่ม ฉันก็คงต้องดูแลพวกเขาด้วย ซึ่งนั่นจะทำให้ฉันไม่สามารถโฟกัสการสอนพวกเธอสองคนได้เต็มที่ พวกเธอคิดว่าไงล่ะ"
"งั้นไม่ต้องก็ได้" เส้าหยูและจู้หลินพูดพร้อมกัน "ฉันก็คิดแบบนั้นแหละ ฮั่นหยวน เธอมีเรื่องยุ่งอยู่แล้ว จะให้มาสอนพวกเขาอีกก็เหนื่อยเกินไป เธอไม่ได้มีหน้าที่ต้องสอนพวกเขานี่ จริงไหม"
"ใช่เลย" จู้หลินเห็นด้วย "ถ้ามีคนเยอะไป การเรียนของเราก็จะโดนกระทบไปด้วย"
"งั้นพวกเธอช่วยบอกพวกเขาหน่อยนะ ฉันคงไม่สามารถดูแลทุกคนได้"
"ตกลง" จู้หลินพยักหน้ารับ "แล้วเรื่องของเธอล่ะ เมื่อกี้เธอบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับพวกเรา"
"วันนี้ผู้จัดการโรงงานจางต้องการให้ฉันไปติวหนังสือให้ลูกชายของเขา" ซูฮั่นหยวนพูด "ฉันอยากจะถามความคิดเห็นของพวกเธอหน่อย"
"ไปติวให้ลูกของผู้จัดการโรงงาน! แน่นอนว่าต้องไปสิ! ถ้าเธอต้องการพัฒนาตัวเองในโรงงานนี้ เธอต้องไป!" จู้หลินเข้าใจทันทีว่าซูฮั่นหยวนหมายความว่าอะไร เธอจึงปลอบเพื่อนว่า "ไม่ต้องกังวลเรื่องฉันกับเส้าหยูหรอก เรารู้สึกขอบคุณมากแล้วที่เธอช่วยสอนพวกเรา เราจะไม่ดึงเธอไว้เพราะเรื่องของเรา"
"ใช่เลย!" เส้าหยูก็พยักหน้าเห็นด้วย "เธอไปติวตอนกลางคืนใช่ไหม ไม่เป็นไรเลย ฉันกับจู้หลินจะเรียนด้วยกันไปก่อน พอมีคำถามค่อยให้เธอช่วยแก้ให้เมื่อเธอกลับมาก็ได้"
"งั้นตกลงนะ ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ปล่อยให้การติวของพวกเธอล่าช้าเพราะฉันต้องไปติวให้ลูกผู้จัดการโรงงาน ถ้าเธอไม่เหนื่อยเกินไป เราอาจจะใช้เวลาช่วงกลางวันเรียนกันเพิ่มเติมก็ได้นะ" ซูฮั่นหยวนพูด
ตอนที่ 65: ซอมซ่อ
จู้หลินและเส้าหยูตอบตกลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล
“พวกเธอสองคนต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะ ไม่งั้นคนอื่นจะเอาไปนินทากัน” ซูฮั่นหยวนย้ำเตือนพวกหล่อนอีกครั้ง
ทันทีที่ถึงเวลางานในช่วงบ่าย ซูฮั่นหยวนก็ตรงไปยังห้องผู้จัดการโรงงานเพื่อให้คำตอบ
เมื่อผู้จัดการโรงงานจางได้ยินว่าซูฮั่นหยวนตกลง เขาก็ยิ้มอย่างยินดีและยกเรื่องค่าติวขึ้นมาพูดทันที “เสี่ยวซู ฉันไม่อาจให้เธอทำงานหนักฟรีๆ ได้ ฉันคิดเรื่องนี้มาทั้งบ่ายแล้ว และตัดสินใจว่าจะให้เธอเดือนละสามสิบหยวนเป็นค่าติว เธอพอใจกับจำนวนนี้ไหม”
“ไม่ค่ะ ไม่ต้องจริงๆ!” ซูฮั่นหยวนโบกมือปฏิเสธทันที “ฉันสามารถติวให้ฟรีได้ค่ะ”
“จะทำแบบนั้นได้ยังไง” ผู้จัดการโรงงานจางพูด “ยังเหลือเวลาอีกครึ่งปีก่อนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้า ฉันไม่อาจให้เธอทำงานหนักโดยไม่ได้อะไรตอบแทนได้ ฟังฉันนะ เธอรับเงินไปเถอะ ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงข้างนอก ผู้คนจะคิดว่าฉัน จางหง ใช้อำนาจของผู้จัดการโรงงานเอาเปรียบคนอื่น”
เมื่อผู้จัดการโรงงานพูดถึงขนาดนี้แล้ว ซูฮั่นหยวนรู้สึกว่าคงจะปฏิเสธไม่ได้อีก
ดังนั้นเธอจึงตอบตกลงด้วยความยินดี “ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็จะไม่เกรงใจนะคะ”
“ดีมาก ดีมาก! เราจะเริ่มติวกันเมื่อไหร่ดี เริ่มพรุ่งนี้เลยไหม” ผู้จัดการโรงงานถาม
“ได้ค่ะ ฉันจะเตรียมตัวคืนนี้ ผู้จัดการโรงงานจางขอที่อยู่บ้านของคุณด้วยค่ะ” ซูฮั่นหยวนตอบ
จางหงไม่พูดอะไรอีก เขาก้มหน้าลงเขียนที่อยู่ด้วยลายมือที่สวยงาม “เธอสามารถนั่งรถบัสที่หน้าโรงงานได้ แค่สองป้ายเอง ฉันพักอยู่ที่อาคารพนักงานในโรงงานเรา”
“ค่ะ”
ซูฮั่นหยวนเดินออกมาจากห้องผู้จัดการโรงงานด้วยอารมณ์ที่เบิกบาน เธอไม่คิดเลยว่าจะได้มาเป็นติวเตอร์ แถมเงินเดือนก็ยังสูงอีกด้วย
เดือนที่แล้วเธอไปยืมเงินจากจู้หลิน หลังจากคืนเงินไปแล้วก็เหลือแค่สิบหยวน
สิบหยวนมันน้อยเกินไปสำหรับเธอที่ปกติใช้เงินฟุ่มเฟือย เห็นเครื่องสำอางหรูหราที่ไม่อาจซื้อได้ เสื้อผ้าสวยๆ ที่ไม่สามารถจับต้องได้ ทำเอาเธอแทบจะใจสลาย!
แต่ตอนนี้เมื่อเธอได้เป็นติวเตอร์แล้ว รวมกับเงินเดือนประจำ รายได้ต่อเดือนของเธอน่าจะมากกว่าหกสิบหยวนใช่ไหมนะ?
จากนี้ไปเธอจะไม่ให้เงินสักแดงเดียวกับเว่ยกุ้ยฉินอีกแล้ว และเธอจะดูแลการเงินของตัวเอง เธอจะเก็บเงินเพื่อซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง กิน เที่ยว ดูหนัง และทำทุกอย่างที่อยากทำ
หลังเลิกงานในวันถัดมา ซูฮั่นหยวนใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีในการรับประทานอาหาร เธอยังอธิบายปัญหาที่ยากให้กับจู้หลินและเส้าหยู และจัดเตรียมเนื้อหาสำหรับพวกหล่อนให้ศึกษาในตอนกลางคืน จากนั้นเธอก็สะพายกระเป๋าสีเขียวลายทหารออกจากโรงงานและไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถ
ตอนหนึ่งทุ่ม รถเมล์ยังไม่คับคั่งมากนัก แต่ก็ยังมีคนเต็มรถ เธอไม่ได้ที่นั่งจึงต้องยืนจับห่วงอยู่ตรงกลางรถ
รถเมล์มาจากห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง มีผู้หญิงสาว ๆ หลายคนบนรถ ทุกคนแต่งตัวทันสมัยมากและถือกระเป๋าที่เป็นที่นิยมอยู่ในมือ
ซูฮั่นหยวนมองชุดของเธออย่างเงียบ ๆ แล้วก็รู้สึกว่ามันดูซอมซ่อเมื่อเทียบกับคนอื่น
เธอคิดในใจว่า เมื่อเธอมีรายได้ เธอจะต้องซื้อของดี ๆ ให้ตัวเอง เธอจะไม่ยอมให้ช่วงเวลาสวยงามในชีวิตถูกขัดขวางเพราะความยากจน
รถเมล์หยุดที่ป้ายถัดไป แต่ไม่มีใครลง กลับมีคนขึ้นมาแทน
หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มร่างสูงเพรียว เขาแต่งตัวเรียบร้อยและดูสง่างาม ใบหน้าซีดขาวของเขาหล่อเหลาสะดุดตาอย่างมาก ซูฮั่นหยวนจำเขาได้แทบจะในทันที
ตอนที่ 66: ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน
นั่นไม่ใช่คุณหมอจินเฉินจากโรงพยาบาลประชาชนที่หนึ่งปักกิ่งหรอกหรือ?
ในเวลาเดียวกันที่ซูฮั่นหยวนเห็นเขา จินเฉินก็สังเกตเห็นเธอเช่นกัน เขาดูแปลกใจที่เจอเธอบนรถเมล์
เมื่อเห็นแล้ว ซูฮั่นหยวนรู้สึกว่าไม่ควรทำเป็นหันหน้าไปทางอื่นและทำเหมือนไม่เห็น ดังนั้นเธอจึงโบกมือและทักทายเขา “คุณหมอจิน”
จินเฉินระบุได้ทันทีว่าเธออยู่ตรงไหน หลังจากที่ไฟในรถเมล์ดับลง เขาก็เดินมาหาเธอและมายืนอยู่ข้างเธอ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง จินเฉินยืนอยู่ข้างเธอ ซึ่งทำให้ซูฮั่นหยวนรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนมีแรงกดดันบางอย่าง เธอแค่ทักทายเขาตามมารยาท แต่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มที่เย็นชาและดูหยิ่งคนนี้จะมายืนข้างเธอ
ต่อจากนี้... เธอควรจะพูดอะไรกับเขาดีไหม? ควรจะตอบโต้หรือเปล่า?
ซูฮั่นหยวนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกลังเลแบบนี้ บางทีอาจเป็นเพราะเขาเคยช่วยชีวิตพ่อของเธอ หรืออาจเป็นเพราะนิสัยของเขาที่เย็นชาและหยิ่งยโส
ใช่แล้ว พวกเขาเจอกันสองครั้ง แต่พูดคุยกันไม่ถึงสิบประโยค บางทีถึงแม้เธออยากจะพูดคุย เขาอาจจะไม่อยากพูดด้วยก็ได้
เหงื่อตก!
บางทีเขาอาจจะจำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ!
คิดได้ดังนั้น หัวใจของซูฮั่นหยวนก็สงบลงทันที
“พ่อของคุณฟื้นตัวเป็นยังไงบ้างช่วงนี้”
เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูเธอ แม้จะเป็นเสียงที่ไม่ดังนักและฟังดูเย็นชา แต่ก็ทำให้ซูฮั่นหยวนตกใจเล็กน้อย
เธอเพิ่งรู้ว่าเขากำลังคุยกับเธอ
“ดีค่ะ ขอบคุณคุณหมอจินนะคะ การผ่าตัดสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี คิดว่าอีกไม่นานพ่อคงกลับไปทำงานได้แล้วค่ะ” เธอหันไปยิ้มสุภาพให้จินเฉิน แม้จะไม่แน่ใจว่าเขาเห็นหรือเปล่าก็ตาม
หลังจากพูดจบ บรรยากาศก็เงียบลงอีกครั้ง
เมื่อถึงป้ายต่อไป ซูฮั่นหยวนจึงปล่อยมือจากที่จับและเดินไปที่ด้านหลังรถ “ถึงแล้วค่ะ ฉันจะลงตรงนี้ ขอบคุณและลาก่อนนะคะ คุณหมอจิน”
ทันทีที่เธอพูดจบ คนขับเหยียบเบรกอย่างแรง
ซูฮั่นหยวนเสียการทรงตัว ร่างของเธอล้มไปข้างหลัง เธอร้องออกมาด้วยความตกใจและเหยียบเท้าของจินเฉินเข้าเต็ม ๆ
ก่อนที่เธอจะทันได้ตั้งตัว แขนคู่หนึ่งก็จับเอวของเธอไว้แน่น ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงพูดข้างหูอีกครั้ง "ระวังหน่อย"
พอดีกับที่รถหยุดสนิท
ซูฮั่นหยวนตะโกนใส่คนขับว่า "นี่ คุณคนขับ ช่วยเบรกให้มั่นคงหน่อยได้ไหมเนี่ย เป็นมือใหม่หรือเปล่า ทางข้างหน้าก็ไม่มีรถ เบรกแบบนี้ฉันเกือบจะอ้วกมื้อเย็นเมื่อวานออกมาแล้วนะ!"
เมื่อเธอตะโกน คนในรถก็เริ่มพูดกันขึ้นมา "ใช่แล้ว สหาย คุณเหยียบเบรกแรงเกินไป ฉันเกือบตกจากที่นั่งแล้ว!"
"ใช่ๆ!"
"เบรกให้มั่นคงหน่อย เราไม่ได้รีบอะไรขนาดนั้น ปลอดภัยไว้ก่อน"
คนขับรู้สึกรีบร้อนเพราะเขามีธุระต้องทำที่บ้าน นี่เป็นรอบสุดท้ายของเขาแล้ว เลยรีบไปหน่อย
"ขอโทษครับ ขอโทษครับ คราวหน้าจะระวังมากกว่านี้"
ซูฮั่นหยวนลงจากรถแล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้ขอโทษจินเฉิน เธอรีบหันกลับไปดูและพบว่าจินเฉินก็ลงจากรถตามหลังเธอมาเช่นกัน
"เมื่อกี้... ขอบคุณนะคะ" เธอก้มหน้าลงและเห็นรอยเท้าขนาดใหญ่บนรองเท้าหนังเงาวับของชายหนุ่มภายใต้แสงสลัวของไฟถนน เธอรู้สึกอับอายทันที "รองเท้าคุณเลอะหมดแล้ว คุณคงเช็ดเองได้นะคะ"