หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
ตอนที่ 55: แนวหน้า
ซูฮั่นหยวนดูเหมือนจะเห็นภาพเว่ยกุ้ยฉินและซูจิ่งรุ่ยที่โกรธจัดแต่ทำอะไรไม่ได้ และเธอก็อดที่จะหัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้
"เรื่องนี้ยังไม่จบ" อู๋เจียวเจียวพูด "ฉันจะเตือนเธอไว้นะ หลินจื่อชิวจะมาทำงานที่โรงงานของเธอในเดือนหน้า"
"อะไรนะ" ซูฮั่นหยวนตกใจ "เธอได้งานนี้มาได้ยังไง พ่อเป็นคนหามาให้เหรอ"
"ไม่ใช่หรอก เรื่องนี้น้องชายคนที่สามของเรานี่มันเลวจริง ๆ..." อู๋เจียวเจียวอธิบายสถานการณ์ให้ฟังอีกครั้ง
ปรากฏว่าซูจิ่งรุ่ยเป็นคนใช้เงินซื้อโดยอ้างชื่อซูต้าเจียงเพื่อขอให้หัวหน้าส่งหลินจื่อชิวมาทำงานที่โรงงานเครื่องจักร ด้วยความเห็นใจต่อซูต้าเจียง หัวหน้าจึงทำตามนั้น
แต่เพราะโรงงานเครื่องจักรต้องการรับคนงานชายที่แข็งแรง และตำแหน่งในสำนักงานก็เต็มหมดแล้ว หลินจื่อชิวจึงไม่สามารถเข้าไปทำงานที่นั่นได้ ดังนั้นหัวหน้าจึงหาคนรู้จักจากโรงงานลากจูง และส่งหลินจื่อชิวไปทำงานที่นั่นแทน
ต่อไปหลินจื่อชิวจะต้องทำงานในหน่วยงานเดียวกับซูฮั่นหยวน
"พ่อไม่พูดอะไรเลยหรือ" ซูฮั่นหยวนขมวดคิ้ว
"พูดไปก็เท่านั้น พ่อใช้ไม้ขนไก่ฟาดหลังเจ้าสามจนหนังถลอกไปทั้งหลัง! เธอก็รู้ว่าพ่อของเราใส่ใจเรื่องชื่อเสียงมาตลอดชีวิต พ่อเป็นคนสุดท้ายที่อยากทำเรื่องแบบนี้"
"ก็จริง"
"หลินจื่อชิวดีใจมากที่ได้งานทำ หล่อนมาหาแม่ของเราแทบทุกวัน ซักผ้า ทำอาหารให้ หล่อนยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านเลย แต่คิดว่าตัวเองเป็นสะใภ้ของตระกูลซูไปแล้ว หน้าไม่อายจริงๆ" อู๋เจียวเจียวถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างไม่พอใจ เธอเริ่มรู้สึกถึงความกดดันที่กำลังเข้ามา
ในตอนนี้เธอรู้สึกว่าการยืนอยู่ข้างเดียวกับซูฮั่นหยวน น้องสะใภ้ของเธอ อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ก็ได้
เห็นได้ชัดว่าหลินจื่อชิวนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ หล่อนมีแผนการล้ำหน้าไปสิบก้าว หากไม่มีคนฉลาดคอยชี้ทางให้ เธออาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าถูกหลินจื่อชิวหลอกขายไปแล้ว
"เข้าใจแล้วค่ะ พี่สะใภ้ พี่ทำงานหนักมากในช่วงนี้ ดูแลพ่อให้ดีนะคะ ยังไงพ่อก็ยังเป็นหัวหน้าครอบครัวอยู่" ซูฮั่นหยวนยิ้ม
"จริงด้วย สมองของฉันยังไม่ค่อยปลอดโปร่งนัก ขอบใจที่เตือนฉัน เธอพูดถูก ฉันต้องดูแลพ่อให้ดี พ่อยังเป็นเสาหลักของครอบครัวอยู่! ฉันไม่อยากให้หลินจื่อชิวคิดแผนอะไรเกี่ยวกับฉัน แล้วใช้แม่กดดันฉัน!" อู๋เจียวเจียวรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากได้รับคำแนะนำ
"หลินจื่อชิวดีใจมากที่ได้งานทำ หล่อนมาหาแม่ของเราแทบทุกวัน ซักผ้า ทำอาหารให้ หล่อนยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านเลย แต่คิดว่าตัวเองเป็นสะใภ้ของตระกูลซูไปแล้ว หน้าไม่อายจริงๆ" อู๋เจียวเจียวถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างไม่พอใจ เธอเริ่มรู้สึกถึงความกดดันที่กำลังเข้ามา
ในตอนนี้เธอรู้สึกว่าการยืนอยู่ข้างเดียวกับซูฮั่นหยวน น้องสะใภ้ของเธอ อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ก็ได้
เห็นได้ชัดว่าหลินจื่อชิวนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ หล่อนมีแผนการล้ำหน้าไปสิบก้าว หากไม่มีคนฉลาดคอยชี้ทางให้ เธออาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าถูกหลินจื่อชิวหลอกขายไปแล้ว
"เข้าใจแล้วค่ะ พี่สะใภ้ พี่ทำงานหนักมากในช่วงนี้ ดูแลพ่อให้ดีนะคะ ยังไงพ่อก็ยังเป็นหัวหน้าครอบครัวอยู่" ซูฮั่นหยวนยิ้ม
"จริงด้วย สมองของฉันยังไม่ค่อยปลอดโปร่งนัก ขอบใจที่เตือนฉัน เธอพูดถูก ฉันต้องดูแลพ่อให้ดี พ่อยังเป็นเสาหลักของครอบครัวอยู่! ฉันไม่อยากให้หลินจื่อชิวคิดแผนอะไรเกี่ยวกับฉัน แล้วใช้แม่กดดันฉัน!" อู๋เจียวเจียวรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากได้รับคำแนะนำ
หลังจากคุยเสร็จแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ยืนส่งอู๋เจียวเจียวกลับบ้าน เมื่อมองตามหลังหล่อนไป เธอคิดในใจว่า "ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ในเมื่ออู๋เจียวเจียวดูแลพ่อได้ดี ตอนที่ฉันไม่อยู่ เธอก็ช่วยงานที่บ้านได้อีกด้วย แบบนี้ก็ดี"
แต่…หลินจื่อชิวจะมาทำงานในโรงงานเดือนหน้า…อีกไม่กี่วันก็จะถึงเดือนหน้าแล้ว
ไม่นานก็ถึงวันปีใหม่
ในวันแรกของปีใหม่ โรงงานทั้งโรงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข การผลิตของวันนี้แทบจะหยุดไปหมดแล้ว พนักงานในโรงงานต่างยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดโรงงาน ประตูของแต่ละแผนกติดป้ายสโลแกนใหม่เอี่ยม:
"ต้อนรับปีใหม่ - บรรยากาศใหม่ - พลังงานเต็มเปี่ยม!"
พวกเขาเฉลิมฉลองเทศกาลด้วยโคมไฟและธงริ้ว และทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มผลผลิต
สโลแกนทำนองนี้สามารถพบได้ทุกที่
ในช่วงเที่ยง ผู้นำโรงงานได้จัดเลี้ยงอาหารดีๆ ให้กับทุกคนในโรงอาหาร และมองไปสู่อนาคตด้วยความกระตือรือร้น หลังจากอาหารเย็น รายชื่อรายการแสดงสำหรับงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าถูกติดไว้บนกระดานดำที่ด้านนอกหอประชุม คนงานที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดดู
เมื่อมีคนเห็นว่าหน่วยงานสหภาพมีรายการมากกว่าสองรายการ ก็มีคนเริ่มตั้งคำถามขึ้นมา
"ไหนบอกว่าแต่ละหน่วยงานมีได้แค่สองรายการ ทำไมสหภาพถึงมีสามรายการล่ะ พิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน"
ตอนที่ 56: รอแล้วรอเล่า
"สหภาพแรงงานก็พิเศษแบบนี้แหละ"
"แล้วรายการนี้ก็แค่ร้องเพลงไม่ใช่เหรอ มันพิเศษยังไง"
เฉียวซาซ่าและเพื่อนร่วมงานจากสหภาพก็มาเพื่อดูรายชื่อรายการแสดง เมื่อเห็นคนงานพูดคุยถึงรายการแสดงของเธอ เธอก็ไม่พอใจทันที
เธอกระแอมแล้วพูดขึ้นว่า "เพลงนี้ไม่ใช่เพลงที่คนทั่วไปจะร้องได้ ฉันจะร้องเพลงภาษาต่างประเทศ พวกเธอรู้จักไหม? เป็นเพลงต่างประเทศเชียวนะ! ใครในนี้ร้องได้บ้างล่ะ"
สำหรับคนงานแล้ว คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรจากการอวดตัว
เดิมที การปฏิบัติต่อคนงานในโรงงานนี้แตกต่างจากพนักงานระดับเจ้าหน้าที่อย่างเห็นได้ชัด เจ้าหน้าที่ที่พูดถึงคือพวกที่ได้รับการศึกษาและจบจากโรงเรียนเทคนิคหรือมหาวิทยาลัย พวกเขามีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ทันทีที่เริ่มทำงานและได้รับเงินเดือนสูง
แต่คนงานนั้นแม้จะทำงานมานานก็ยังไม่ได้รับค่าจ้างเท่ากับเจ้าหน้าที่ พวกเขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ในใจมีความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวซาซ่า มีคนอดหัวเราะไม่ได้แล้วพูดว่า "รู้ภาษานกแล้วมันจะวิเศษขนาดไหนกันเชียว"
"นั่นสิ เธอยังพูดภาษาจีนให้ดีไม่ได้เลย แล้วจะเรียนภาษานกไปทำไม"
เฉียวซาซ่าเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจแล้วถอนหายใจฟึดฟัด "เฮอะ พวกเธอจะรู้อะไร! เดี๋ยวนี้ประเทศให้ความสำคัญกับวุฒิการศึกษามาก ภาษาต่างประเทศเป็นหลักสูตรที่ได้รับความนิยมในมหาวิทยาลัยมากเลยนะ"
"ก็ไม่เห็นว่าเธอจะได้เข้ามหาวิทยาลัยเลย แล้วจะโอ้อวดตัวเองไปเพื่ออะไร"
"นั่นสิ ทำตัวเก่งไปเถอะ"
"คืนนี้พวกเรารอดูว่าเธอจะร้องได้ดีแค่ไหน"
คนงานต่างพากันพูดตอกกลับเฉียวซาซ่าอย่างไม่ปราณีแล้วก็ทยอยกันเดินจากไป พวกเขาทั้งหมดอยากจะเห็นเฉียวซาซ่าอับอาย จะได้ทำลายความหยิ่งยโสของเธอลงเสียบ้าง
จากระยะไกล ซูฮั่นหยวนและจู้หลินกำลังมองหน้ากันและยิ้มให้กัน
“เป็นยังไงบ้าง เตรียมตัวสำหรับคืนนี้เรียบร้อยแล้วหรือยัง” จู้หลินถามซูฮั่นหยวน เธอเพิ่งรู้ว่าซูฮั่นหยวนเป็นหนึ่งในพิธีกรของงานฉลองคืนวันปีใหม่
“เรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องห่วง” ซูฮั่นหยวนเต็มไปด้วยความมั่นใจ สำหรับเธอแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย “ฉันจะไปซ้อมในช่วงบ่ายแล้วก็เดินสำรวจสถานที่ เจอกันที่หอประชุมคืนนี้นะ”
“ได้ เจอกันที่หอประชุม”
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะจากไป เฉียวซาซ่าก็เดินเข้ามาขวางทางซูฮั่นหยวนไว้
หล่อนพูดด้วยท่าทีหยิ่งยโสว่า “ซูฮั่นหยวน คืนนี้เธอคอยดูให้ดีๆ ฉันจะแสดงให้เห็นว่าฉันทำได้ดีกว่าใครทั้งนั้น!”
ซูฮั่นหยวนกอดอกแล้วไหล่ยกขึ้นอย่างไม่แยแส “ฉันตั้งตารอเลยล่ะ”
ในช่วงบ่าย พวกเขาทำการซ้อมอย่างง่ายๆ
หัวหน้าแผนกหนิ่วและรองประธานเฉียวจากสหภาพแรงงานก็มาชมการซ้อมด้วย หลังจากการซ้อมสิ้นสุดลง เวลาก็ผ่านไปจนถึงห้าโมงเย็น ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ
คนงานต่างเข้าแถวไปที่โรงอาหารเพื่อทานข้าว หัวหน้าหนิ่วและซูฮั่นหยวนรอคิวอาหารอยู่เป็นเวลานานจนในที่สุดก็ได้อาหาร ทั้งสองนั่งที่โต๊ะเพื่อทานข้าวกัน
"ฮั่นหยวน ผู้นำโรงงานให้ความสำคัญกับงานฉลองคืนวันปีใหม่นี้มาก ในฐานะพิธีกร เธอต้องทำหน้าที่ให้ดีและเป็นหน้าเป็นตาให้กับแผนกประชาสัมพันธ์ของเรา" หนิ่วหงเซี่ยเตือน "อย่าตื่นเต้นจนเกินไปนะ เดี๋ยวจะพลาดพลั้งได้"
"ค่ะ" ซูฮั่นหยวนพยักหน้าเห็นด้วย "ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะทำให้ดีที่สุด"
"ในอดีต สหภาพแรงงานเป็นผู้จัดการแสดง แต่มาปีนี้ตำแหน่งนี้เดิมทีเป็นของหลินชิงอี้ แต่สุดท้ายเธอ...ช่างเถอะ ไม่พูดถึงมันดีกว่า ใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่ล่ะ"
"ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ หัวหน้า ฉันจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน!"
"รีบกินข้าวแล้วไปแต่งหน้าเตรียมตัว"
"ค่ะ"
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ซูฮั่นหยวนก็กลับไปที่หอพัก เธอไม่มีเสื้อผ้ามากนัก และส่วนใหญ่เสื้อผ้าที่มีก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ แม้ว่าจะทำงานมานาน แต่เธอถูกเว่ยกุ้ยฉินขูดรีดเงินไปจนแทบไม่เหลือใช้ นอกจากชุดทำงานแล้ว เธอก็มีแต่เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่สำหรับใส่ทั่วไป
จู้หลินเลยอาสาให้ยืมเสื้อโค้ทขนสัตว์สีแดงสำหรับงานนี้ ซึ่งจู้หลินได้เก็บเงินอย่างยากลำบากและกัดฟันซื้อมันมา เธอแทบไม่ได้ใส่บ่อยนัก ดังนั้นจึงให้ซูฮั่นหยวนยืมใช้ในคืนนี้
ตอนที่ 57: งานเลี้ยงปีใหม่
จู้หลินยังขอยืมเครื่องสำอางจากสาวๆ ในสหภาพมาให้ด้วย เธอทำไปเพื่อให้ซูฮั่นหยวนได้แต่งหน้าสวยๆ และขึ้นไปบนเวทีได้อย่างมั่นใจ
การแต่งหน้าไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซูฮั่นหยวน เพราะเธอทำมาบ่อยครั้งในอดีต เธอแต่งหน้าตัวเองให้ดูสดใสและมีเสน่ห์ แต่ร่องรอยของเครื่องสำอางบนใบหน้าไม่ได้หนาเกินไป โดยเฉพาะบลัชออนที่แตกต่างจากการแต่งหน้าแบบเวทีในยุค 1980 ที่มักจะทาสีแดงเข้มจนดูเหมือน ‘ก้นลิง’
"สวยมาก!" จู้หลินมองซูฮั่นหยวนที่ดูเหมือนกลายเป็นคนใหม่แล้วเอ่ยชมเสียงดัง เธอรู้สึกว่าหลังจากงานเลี้ยงคืนนี้จบลง ชื่อของซูฮั่นหยวนจะต้องกระจายไปทั่วทั้งโรงงานแน่ ๆ
เป็นไปตามคาด
งานเลี้ยงเริ่มต้นตรงเวลา
เริ่มแรกเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ของผู้นำ ตามด้วยการมอบรางวัลบุคคลดีเด่น การมอบเกียรติบัตร และโบนัสส่วนบุคคล
จากนั้นงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น
ทันทีที่ซูฮั่นหยวนจับไมโครโฟนและปรากฏตัวบนเวทีอย่างเป็นทางการ เธอก็ทำให้คนงานทุกคนที่อยู่ด้านล่างเวทีต้องตะลึง ใบหน้าของเธอมีสีชมพูระเรื่อ ท่าทางเป็นธรรมชาติ สง่างาม และมีมารยาท การพูดของเธอมีจังหวะและน้ำเสียงที่เหมือนเสียงร้องของนกไนติงเกล ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสบายใจและเพลิดเพลิน
ทุกครั้งที่เธอพูดจบ จะมีเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างกึกก้องจากผู้ชม
เฉียวซาซ่าที่เฝ้ามองอยู่จากด้านล่างเวที รู้สึกอิจฉาอย่างมาก เธอหวังว่าเธอจะได้ขึ้นเวทีและทำการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจจนทำให้ทุกคนต้องทึ่ง
ในที่สุดเธอก็ได้ขึ้นแสดงเป็นคนสุดท้าย ขณะรออยู่หลังเวที เธอแอบชะโงกดูจากหลังม่าน เห็นหอประชุมที่จุคนได้นับพันเต็มไปด้วยผู้คน ทุกสายตาจับจ้องไปที่เวทีอย่างคาดหวัง
ในขณะนั้น หัวใจของเธอเต้นรัว และความตื่นเต้นที่ผสมกับความประหม่าอย่างไม่สามารถอธิบายได้ก็เข้าครอบงำ เมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง เธอเดินขึ้นไปที่กลางเวที รู้สึกเพียงว่าในหูมีแต่เสียงหัวใจเต้นและเสียงเลือดสูบฉีด เธอแทบไม่ได้ยินเสียงปรบมือเลย
ทุกก้าวที่เดินรู้สึกเบาหวิว และหัวของเธอกลับรู้สึกหนักหน่วงกว่าที่เคย
เธอรู้ว่าตัวเองประหม่าเกินไป และเมื่อเธอประหม่า สิ่งต่างๆ ก็มักจะผิดพลาดได้ง่าย เธอจึงสูดหายใจลึกๆ สองสามครั้งและบอกกับตัวเองในใจว่า ‘เฉียวซาซ่า เธอฝึกร้องเพลงนี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เธอจะต้องทำได้แน่นอน!’
เธอกำลังร้องเพลงต่อหน้าทุกคน และแสงสว่างของเธอจะต้องส่องแสงเหนือซูฮั่นหยวน!
ในที่สุด เฉียวซาซ่าก็ยืนอยู่กลางเวที แสงไฟส่องลงมาบนใบหน้าของเธอ เธอแอ่นหลังตรงและเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโส เธอแต่งหน้าอย่างพิถีพิถันและสวมเสื้อสเวตเตอร์และกระโปรงที่ทันสมัยที่สุด พร้อมกับเสื้อโค้ทขนสัตว์สีเทาเข้ม มันช่างสมบูรณ์แบบจริงๆ
ในแง่ของการแต่งตัว เธอเหนือกว่าใคร!
เธอแค่ต้องร้องเพลงให้ดีเท่านั้น!
นี่คือการแสดงสุดท้ายของงาน เมื่อเสียงปรบมือเงียบลง เฉียวซาซ่ามองไปที่ด้านขวาของเวที วงดนตรีพร้อมแล้ว เพราะเพลงที่เธอเลือกเป็นเพลงภาษาอังกฤษ จึงไม่มีเครื่องดนตรีเช่นซูนา (เครื่องดนตรีจีน) หรือเอ้อหู (ไวโอลินจีน) มาบรรเลงร่วมด้วย มีเพียงเปียโนไฟฟ้าเท่านั้น
คนที่เล่นดนตรีประกอบเป็นพนักงานเก่าแก่ในโรงงาน ตอนที่เขายังหนุ่ม ฐานะครอบครัวของเขาค่อนข้างดีและเขามีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรม เขาจึงได้เรียนการเล่นเปียโน
เฉียวซาซ่าพยักหน้าให้ และพนักงานคนนั้นก็เริ่มเล่นเปียโน
เพลงภาษาอังกฤษที่เธอเลือกคือหนึ่งในเพลงคลาสสิกของยุโรปและอเมริกาช่วงทศวรรษที่ 1970 ‘Yesterday Once More’ เมื่อเพลงนี้ออกมาไม่นาน มันก็กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลกและกลายเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล
เพลงนี้ฟังแล้วชวนให้นึกถึงความหลัง เมโลดี้ไพเราะและน่าฟัง
ทันทีที่เมโลดี้เริ่มขึ้น ซูฮั่นหยวนก็ยิ้มและดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรี