Your Wishlist

ทะลุมิติเป็นแม่ใจโหดนักทำอาหาร (ตอนที่ 6 ชูหลิน)

Author: TealChair แปล

หลี่เหอฮว๋าทะลุมิติกลายเป็นหญิงสาวชาวบ้าน เจ้าของร่างเดิมเป็นหญิงร่างอ้วนที่สุดแสนจะเกียจคร้าน ทั้งยังจิตใจชั่วร้าย จู่ๆ ก็ต้องกลายเป็นคนที่ทุกคนเกลียดชัง เพื่อความอยู่รอดนางจะใช้ฝีมือทำอาหารที่ได้รับการสืบทอดมาจากชาติที่แล้วทำมาหาเลี้ยงตัวเอง พร้อมๆ กับแก้ไขความสัมพันธ์แม่ลูกให้พลิกฟื้นขึ้นมาให้จงได้

จำนวนตอน : 87 ตอนจบ (แปลแบ่งย่อยเป็น 153 ตอนจบ)

ตอนที่ 6 ชูหลิน

  • 29/06/2565

เป็นความจริงที่ว่าเงินแดงเดียวก็ทำให้วีรบุรุษสามารถสะดุดได้ ตอนนี้หลี่เหอฮว๋ากำลังสะดุดเพราะเงิน

 

นางต้องการเปิดแผงขายอาหารแต่กลับไม่มีเงินทุนเลย คงยังไม่สามารถทำอะไรได้ไปอีกสักระยะหนึ่ง นางจะต้องคิดวิธีหาเงินมาให้ได้บางส่วนเสียก่อนถึงจะตั้งแผงขายอาหารเพื่อหาเงินได้

 

บนตัวของนางไม่มีของมีค่าอะไรติดตัวอยู่เลย ไม่สามารถเอาอะไรไปแลกเป็นเงินได้เลย หรือจะทำอย่างในนิยายข้ามมิติที่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร โสมป่าหรือของมีค่าอื่นๆ มาขายแลกเงิน นี่เป็นเรื่องที่ไม่สมจริงเอาเสียเลย หากมีของพวกนั้นอยู่บนภูเขา คนอื่นก็ต้องหามันพบเช่นกัน ยังจะมีเหลือให้นางไปเก็บมาได้อีกหรือ? คนท้องถิ่นล้วนไม่ใช่คนโง่เขลา

 

เป็นไปไม่ได้ที่จะหาเงินมาให้ได้ในทันที นางจะต้องคิดวิธีหาเงินจากทักษะฝีมือของตัวเอง

 

แต่ในเวลานี้นางยังคิดอะไรไม่ออกเลย เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาไม่เช้าแล้วหลี่เหอฮว๋าก็ไปร้านขายซาลาเปา ด้วยเงิน 3 อีแปะนางซื้อหมั่นโถวได้ 2 ลูกพร้อมกับซาลาเปาอีก 1 ลูก นางวางแผนไว้ว่าจะเอามันกลับไปกินเป็นมื้อกลางวันและมื้อเย็นของวันนี้ นางไม่อยากจะกินโจ๊กข้าวกล้องอีกแล้วจริงๆ

 

จากเส้นทางที่เดินมาหลี่เหอฮว๋าใช้เวลาอีกราวหนึ่งชั่วยามในการเดินกลับบ้าน เมื่อกลับมาถึงก็เข้ายามอู่*แล้ว นางไม่เห็นคนอื่นของครอบครัวอยู่รอบๆ เลย  ไม่รู้ว่ากำลังงีบหลับหรือออกไปข้างนอก หลี่เหอฮว๋าก็ไม่ได้อยากรู้เช่นกัน นางตรงกลับไปที่ห้องเก็บฟืนแล้วล้มตัวลงนอนด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า

*ช่วงเวลา 11.00 - 12.59 น.

 

การที่ต้องเดินรวดเดียวเป็นระยะเวลานานเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยสำหรับคนปกติทั่วไปอยู่แล้ว และยิ่งเหนื่อยล้ามากขึ้นไปอีกสำหรับผู้ที่มีรูปร่างเช่นนางในปัจจุบัน นางรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังจะแยกเป็นเสี่ยงๆ นางไม่อยากจะขยับเขยื้อนตัวอีกเลยไปชั่วกัลปาวสาน

 

อย่างไรก็ตามความหิวในท้องมีอำนาจมากกว่าความเหนื่อยล้า ดังนั้นหลี่เหอฮว๋าจึงลุกขึ้นมานั่งอย่างไม่เต็มใจนัก นางหยิบหมั่นโถวและซาลาเปาที่ซื้อไว้ออกมากิน

 

หลังกินหมั่นโถวไปได้ครึ่งลูกก็รู้สึกกระหายน้ำ หลี่เหอฮว๋าจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปที่ห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่ม

 

มีน้ำที่ต้มทิ้งไว้จนเย็นแล้วอยู่ในครัว นางไม่คิดจะเสียเวลาต้มน้ำใหม่จึงตักน้ำขึ้นมาดื่มจนหมดถ้วย จากนั้นก็ตักเพิ่มอีกหนึ่งถ้วย หลังจากดื่มน้ำติดต่อกันสองถ้วยจนดับกระหายแล้ว ในขณะที่กำลังจะวางถ้วยน้ำลงและตั้งใจจะเดินออกไปจากห้อง นางก็ได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้น แต่เมื่อพยายามตั้งใจฟังอีกทีเสียงนั้นก็หายไป แต่นางเชื่อว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่ใช่อาการหูแว่วไปเองของนาง

 

หลี่เหอฮว๋าวางถ้วยในมือลงพลางมองไปรอบๆ ห้องครัว ก่อนจับจ้องไปที่ด้านหลังเตาที่เป็นบริเวณก่อไฟ

 

เมื่อนางก้าวเท้าเข้าไปช้าๆ ก็เห็นเด็กผู้ชายตัวน้อยคนหนึ่งนั่งคุดคู้อยู่ข้างกองฟืน เป็นเด็กที่จางเถียซานอุ้มกลับมาด้วย

 

เด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่นั่งกอดเข่าอยู่ตรงซอกเตานั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนตัวหรือพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น เขาเพียงนั่งขดตัวอยู่เงียบๆ หากว่าไม่ได้ตั้งใจมองหาให้ดีคงจะมองไม่เห็นเขาแน่

 

หลี่เหอฮว๋าไม่รู้ว่าระหว่างเด็กน้อยผู้นี้กับเจ้าของร่างเดิมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่คงจะต้องเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาแน่จางเถียซานถึงได้พาเขามากลับมาด้วย แต่เมื่อวานตอนที่เด็กน้อยผู้นี้มองเห็นนาง เขามีท่าทีเฉยเมยราวกับไม่เคยเจอนางมาก่อน นางจึงไม่แน่ใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขานัก

 

หลี่เหอฮว๋าก้าวเท้าเข้าไปใกล้เขาอีกนิดพลางเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าตัวน้อย? เด็กน้อย?”

 

เด็กน้อยยังคงนิ่งเฉยราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ไม่แม้แต่จะขยับศีรษะของตน

 

หลี่เหอฮว๋าใจเต้นผิดจังหวะ คิดในใจว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่สามารถได้ยินเสียงพูดของนางหรือ? หรือหูหนวก? หูเล็กๆ นั่นไม่ได้ยินเสียงอย่างนั้นหรือ?

 

ด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กชายผู้นี้จะหูหนวก นางค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งยองๆ ลงตรงหน้าเด็กน้อยแล้วโบกมือไปมาตรงหน้าเขา “เด็กน้อย เจ้าได้ยินข้าพูดหรือไม่?”

 

เด็กน้อยยังคงไม่ตอบสนอง ดูราวกับเขามีโลกส่วนตัวที่แยกโดดเดี่ยวออกไปจากโลกใบนี้

 

หลี่เหอฮว๋าเม้มปากแน่นก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือของตนออกไปเพื่อจะจับมือเล็กๆ ของเด็กน้อย ในตอนที่นางกำลังจะจับมือเขานั่นเอง ทันใดนั้นเด็กน้อยที่อยู่นิ่งๆ เหมือนหินแกะสลักก็ขยับตัวขึ้นทันที เขาปัดมือของนางออกพร้อมกับสะบัดแขนของตนอย่างแรง แสดงอาการต่อต้านการเข้าใกล้ของนางเงียบๆ ด้วยท่าทีที่รุนแรง

 

หลี่เหอฮว๋าที่ตกตะลึงกับพฤติกรรมและสีหน้าที่เคร่งเครียดของเขา นางรีบถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว “ได้ได้ ที่รัก เด็กน้อย เจ้าไม่ต้องตกใจนะ ข้าไม่แตะต้องตัวเจ้าแล้ว เห็นไหมข้าไม่ได้ถูกตัวเจ้าเลย ไม่ต้องโมโหนะจ้ะ”

 

เด็กน้อยที่กำลังแสดงท่าทีฮึดฮัดอยู่ค่อยๆ สงบลง จากนั้นเขาก็กลับไปอยู่นิ่งๆ เช่นเดิม

 

หลี่เหอฮว๋าเริ่มขมวดคิ้ว

 

ตกลงว่าเด็กน้อยผู้นี้ได้ยินสิ่งที่นางพูดหรือไม่ได้ยิน? เหตุใดพฤติกรรมของเขาจึงได้แปลกประหลาดนัก? ทำไมนางถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

กระนั้นเด็กน้อยผู้นี้ดูจะต่อต้านนางอย่างรุนแรง นางไม่ควรไปบีบบังคับด้วยการพูดคุยกับเขา คงเป็นเรื่องแย่หากนั่นเป็นการทำร้ายเขา นางควรจะออกไปจากห้องนี้ซะ

 

หลี่เหอฮว๋าเดินกลับไปที่ห้องเก็บฟืน นั่งลงกินหมั่นโถวที่เหลือ หลังกินไปได้สองคำ นางก็เหลือบมองซาลาเปาไส้เนื้อในมือ จากนั้นก็มองไปที่ห้องครัว หลังคิดดูแล้วนางก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง นางส่งซาลาเปาไส้เนื้อที่ห่อกระดาษอยู่ยื่นไปตรงหน้าเด็กน้อย “หนูน้อย นี่ซาลาเปาไส้เนื้อให้เจ้ากินนะ”

 

ด้วยเกรงว่าเด็กน้อยจะยอมไม่กิน นางรีบเดินออกมาพลางพูดว่า “ข้าจะออกไปแล้วละ เจ้าก็กินมันเสียนะ”

 

หลี่เหอฮว๋าไม่รู้ว่าเด็กน้อยจะกินมันหรือไม่ ทว่าด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ยามที่คิดถึงเด็กน้อยผู้นี้นางไม่สามารถสงบจิตใจลงได้เลย

 

เด็กน้อยผู้นี้อายุประมาณ 4 หรือ 5 ปีเท่านั้น แต่เขาผอมมากจนทำให้ผู้ที่เห็นรู้สึกเศร้าสลด เสื้อผ้าที่สวมหลวมโครก ท่าทางที่เขานั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียวเงียบๆ ไม่พูดไม่จาใดๆ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก และเพิ่งสักครู่นี่เองที่นางมองเห็นรอยแผลเป็นบนแขนของเขาเต็มไปหมด มีทั้งรอยใหม่รอยเก่า ดูเหมือนจะถูกทุบตีอย่างหนักมาเป็นเวลานาน หลี่เหอฮว๋าไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าเป็นผู้ใดที่สามารถทำเรื่องเช่นนั้นกับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งได้ ทว่าลึกๆ ในใจนางพอจะเดาได้รางๆ เพียงแต่ไม่กล้ายอมรับมันเท่านั้น นี่เป็นเรื่องที่นางไม่อยากจะเชื่อเลย

 

ไม่เอาไม่เอา อย่าไปคิดถึงมัน นางบังคับตัวเองให้เลิกคาดเดาและกลับมาตั้งสมาธิกับการกินหมั่นโถวในมือต่อ

 

หลังกินหมั่นโถวหมด ท้องของหลี่เหอฮว๋าก็ยังคงรู้สึกหิวอยู่ ราวกับหมั่นโถวที่เพิ่งกินไปไม่มีผลอะไรกับกระเพาะเลย ในใจนางยังร่ำร้องอยากจะกินเพิ่มอีก! ข้าอยากจะกินอีก!

 

เจ้าของร่างเดิมมีความอยากอาหารมากจริงๆ หมั่นโถวก้อนเดียวไม่พอยาไส้ แต่นางไม่สามารถตามใจปากในเวลานี้ได้

 

หลี่เหอฮว๋าตบหน้าท้องของตนแรงๆ “กินอีกไม่ได้แล้วนะ! ยังอยากจะลดน้ำหนักอยู่หรือไม่!”

 

หลังเก็บหมั่นโถวที่เหลืออีกลูกไว้กินเป็นมื้อเย็น หลี่เหอฮว๋าลุกขึ้นมาปิดประตูห้องเก็บฟืน จากนั้นก็เอนกายลงตั้งใจจะพักผ่อนชั่วครู่

 

เพื่อเบี่ยงเบนความหิวของตน นางเริ่มคิดถึงเรื่องการหาเงินอีกครั้ง

 

สุดท้ายแล้วจะหาเงินด้วยวิธีไหนดี? วิธีที่ไม่ต้องใช้เงินทุน

 

หลังครุ่นคิดอยู่สักพัก ที่สุดนางก็คิดออก บางทีการไปทำอาหารให้ผู้อื่นก็อาจจะเป็นหนทางที่จะหาเงินได้

 

ทว่านางไม่อยากเป็นแม่ครัวในร้านอาหาร เหตุผลข้อแรกคือนางอาจจะหาร้านที่เปิดรับสมัครแม่ครัวไม่ได้ก็ได้ ข้อสองร้านอาหารล้วนแต่ตั้งอยู่ในเมือง หากต้องไปทำงานที่ร้านอาหาร นางจะต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดและกลับมาถึงหมู่บ้านตอนที่ฟ้ามืดไปแล้วทุกวันแน่ เหตุผลข้อสุดท้ายคือการเป็นแม่ครัวจะยังไม่ได้รับเงินในทันที ต้องใช้เวลาอย่างต่ำอีกหนึ่งเดือนกว่าจะได้รับเงินซึ่งถือว่าช้าเกินไปสำหรับนางที่ในเวลานี้มีความจำเป็นเรื่องเงินอย่างเร่งด่วน

 

ฉะนั้น เมื่อเป็นแม่ครัวในร้านอาหารไม่ได้ นางก็ไปรับจ้างทำอาหารให้ผู้อื่นตามบ้านก็ได้นี่ แล้วคิดค่าจ้างแบบครั้งต่อครั้ง

 

ยามที่ผู้คนในยุคโบราณแต่งงานหรือเสียชีวิตดูเหมือนพวกเขาจะจัดงานเลี้ยงที่บ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ตามหมู่บ้าน พวกเขาจะเชิญตัวพ่อครัวมาทำอาหารเลี้ยงให้โดยที่พ่อครัวไม่จำเป็นต้องตระเตรียมอะไรเลย แค่ไปทำอาหารเท่านั้น

 

ดวงตาหลี่เหอฮว๋าเป็นประกายขึ้น นางรู้สึกว่าวิธีนี้เหมาะกับนางในตอนนี้มาก ฝีมือการทำอาหารของนางยอดเยี่ยมอย่างแน่นอนที่สุด ตราบใดที่มีคนเต็มใจจะเชิญนางไปทำอาหารเลี้ยงต้อนรับ นางเชื่อว่าเจ้าภาพจะต้องพอใจอย่างแน่นอน

 

คำถามในตอนนี้ก็คือ นางจะไปหาคนที่กำลังจะจัดงานเลี้ยงได้ที่ไหน?

 

จะหาในหมู่บ้านแห่งนี้ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้มีผู้ที่อยากจะหาแม่ครัวไปทำอาหารพวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะจ้างนางไปแน่ๆ นางอาจจะถูกทุบตีเสียก่อน ดังนั้นนางต้องไปหาที่หมู่บ้านอื่น หาหมู่บ้านที่ไม่มีใครรู้จักนางเลยจะดีกว่า

 

เช่นนั้นพรุ่งนี้นางลองไปสอบถามในระยะสิบลี้แปดหมู่บ้าน*ดูว่ามีคนกำลังจะจัดงานเลี้ยงหรือไม่ นางจะได้เสนอตัวเอง

*หมายถึงพื้นที่ใกล้เคียง/หมู่บ้านในละแวกใกล้ๆ

 

เมื่อคิดถึงหนทางหาเงินได้แล้ว หลี่เหอฮว๋าก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก มุมปากของนางยกยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นนางก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไป

 

ในตอนที่นางนอนหลับอยู่นั้น จางเถียซานกลับจากไร่มาพร้อมกับจางชิงซาน พอเห็นในบ้านเงียบฉี่ จางชิงซานก็เอ่ยปากกับพี่ชายของตน “สงสัยว่าท่านแม่คงจะนอนหลับอยู่กับชูหลิน ท่านแม่ติดนิสัยต้องนอนงีบ”

 

จางเถียซานวางจอบในมือลงก่อนจะเดินช้าๆ ไปที่ประตูห้องฝั่งตะวันออก เขาเปิดประตูมองเข้าไปข้างในก็พบว่ามีเงาร่างของมารดาอยู่เพียงลำพัง ไม่เห็นตัวชูหลินอยู่ด้วยเลย

 

แล้วชูหลินเล่า?

 

จางเถียซานเดินเข้าไปด้านในห้อง บนเตียงไม่เห็นแม้แต่เงาของชูหลิน เขารีบออกจากห้องไปยังห้องของตนเอง ก็ไม่เห็นชูหลินอยู่ที่นั่น เขาจึงไปที่ห้องของชิงซาน ทว่าก็ยังไม่มีวี่แววของเด็กน้อย

 

จางเถียซานรู้สึกร้อนใจ

 

จางชิงซานรีบพูดขึ้นว่า “พี่ เราลองไปดูที่ห้องครัวกัน ชูหลินชอบไปซ่อนตัวในที่ที่ไม่มีใครไป”

 

ได้ยินเช่นนั้นจางเถียซานก็ก้าวเท้ายาวๆ ตรงไปที่ห้องครัว แล้วเขาก็พบจางชูหลินนั่งคู้ตัวเงียบๆ หลบอยู่ตรงซอกจริงๆ

 

ทั้งคู่ต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

จางชิงซานรีบส่งเสียงทัก “ชูหลิน ท่านพ่อกับอารองกลับมาแล้ว”

 

น่าเสียดายที่เด็กน้อยเมินเฉยไม่สนใจเขาเลย

 

จางชิงซานก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใด เขาเคยชินกับชูหลินที่เป็นแบบนี้แล้ว

 

“เฮ้ พี่ ดูนี่สิ มีซาลาเปาวางอยู่ตรงหน้าชูหลินด้วย? มาจากที่ไหนเนี่ย?” จางชิงซานพูดพร้อมกับชี้ไปที่ซาลาเปาที่อยู่ตรงหน้าชูหลิน

 

จางเถียซานที่มองเห็นเช่นกันนิ่งเงียบไปชั่วขณะไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาทำเพียงก้าวเข้าไปอุ้มตัวเด็กน้อยขึ้นมาแล้วลูบหลังเขาเบาๆ “ชูหลิน พ่อกลับมาแล้ว ออกไปข้างนอกกับพ่อไหม?”

 

ชูหลินไม่ได้พูดอะไร และเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธจางเถียซานเช่นกัน

 

จางเถียซานอุ้มชูหลินไว้ในอ้อมแขนพลางเดินออกจากห้องครัว จางชิงซานคว้าซาลาเปาไส้เนื้อขึ้นมาแล้วเดินตามออกไป “พี่ ซาลาเปาไส้เนื้อนี่ยังดีอยู่เลย อุ่นให้ชูหลินกินเถอะ”  ราคาของซาลาเปาไส้เนื้อไม่ใช่ถูกๆ ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ใจดีให้ชูหลินมา

 

จางเถียซานชำเลืองไปที่ประตูห้องเก็บฟืนที่ปิดอยู่ “โยนมันทิ้งไปซะ”

 

“หา!” ดวงตาของจางชิงซานเบิกกว้างขึ้น “พี่ ซาลาเปาไส้เนื้อไม่ใช่ถูกๆ นะ ชูหลินน่าจะไม่เคยได้กินมาก่อน ทิ้งไปน่าเสียดายแย่ ให้เขากินเถอะ โยนอาหารทิ้งเสียของไปเปล่าๆ”

 

จางเถียซานชะงักฝีเท้าลง เขามองบุตรชายร่างผ่ายผอมในอ้อมแขนของตน จากนั้นสักพักก็มีเสียงดังออกมาว่า “อือ!”

 

จางชิงซานยิ้มกว้างก่อนจะกลับเข้าไปในครัวเพื่ออุ่นซาลาเปา หลังจากนั้นเขาก็กลับมาที่ห้องหลักแล้วส่งซาลาเปาไส้เนื้อให้พี่ชาย

 

จางเถียซานที่อุ้มชูหลินอยู่ยื่นมือรับซาลาเปามา เขาบิซาลาเปาออกมาแล้วเอาเข้าไปในปากของตัวเอง ผ่านสักครู่เขาก็บิซาลาเปาออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วยื่นไปที่ปากของชูหลิน “ชูหลิน กินซาลาเปานะ”

 

เด็กน้อยในอ้อมแขนกะพริบตา สักพักเขาก็อ้าปากรับซาลาเปาที่ป้อนมาให้อย่างว่าง่ายและค่อยๆ เคี้ยวอย่างช้าๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลืนมันลงไป

 

จางเถียซานก็ไม่ได้เร่ง พอเห็นชูหลินกลืนลงไปแล้วเขาถึงค่อยบิออกมาป้อนอีกคำหนึ่ง

 

จางชิงซานที่เฝ้ามองอยู่รู้สึกแสบร้อนที่ดวงตา เขายกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดตา “พี่ ข้าขอโทษที่ไม่ได้ดูแลชูหลินให้ดีทำให้เขาต้องเป็นอย่างนี้”

 

จางเถียซานได้แต่โทษตัวเองอย่างหนัก หากว่าเขาจะใส่ใจให้มากกว่านี้ หากว่าเขาจะต่อสู้กับหญิงผู้นั้น ทำไมจึงได้ปล่อยให้ชูหลินต้องกลายมาเป็นเช่นนี้?

 

จางเถียซานไม่ได้ต่อว่าอะไร เขาเพียงสั่นหน้า “นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า เจ้ายังเด็กเกินไป” น้องชายของเขาอายุเพียงแค่ 13 ปีเท่านั้น ยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่เลยจะไปปกป้องชูหลินได้อย่างไร ทั้งเขาและมารดาต่างก็ต้องทนทุกข์กันมามาก

 

จางชิงซานหันหน้าออกพลางกะพริบไล่น้ำตา ผ่านพักใหญ่จึงได้เอ่ยขึ้นมาอีก “พี่ ตอนนี้ท่านกลับมาแล้ว พวกเราไม่กลัวอีกแล้ว”

 

จางเถียซานส่งเสียง “อืม” ออกมา

 

จางชิงซานหันไปมองยังทิศทางของห้องเก็บฟืนด้วยสายตารังเกียจและเกลียดชัง “พี่ เหตุใดท่านถึงยังเก็บผู้หญิงคนนั้นเอาไว้! นางชั่วร้ายนัก ท่านจะเก็บนางไว้ทำไมกัน?”

 

จางเถียซานยังคงป้อนซาลาเปาให้ชูหลินต่อ “ข้าหย่านางแล้ว เห็นแก่ที่นางให้กำเนิดชูหลิน ข้าถึงได้ยอมให้นางพักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก”

 

จางชิงซานเกรี้ยวกราด “พี่ ท่านก็หย่านางไปแล้ว ทำไมต้องไปใจดีกับนางด้วย! ก็ให้นางกลับบ้านแม่ของนางไปสิ!”

 

แววตาคมปลาบพาดผ่านนัยน์ตาของจางเถียซาน น้ำเสียงของเขาแฝงอันตราย “อย่าห่วงไปเลย ข้ายังไม่ได้สะสางบัญชีกับคนบ้านนั้น รอให้ข้าไปชำระบัญชีเสียก่อน”

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป