เมื่อกลับเข้ามาในครัวหลี่เหอฮว๋าก็พบหญิงสูงวัยผู้นั้นกำลังตักข้าวและแป้งขาวอยู่ ดูเหมือนนางกำลังจะทำอาหารกลางวัน
หลี่เหอฮว๋าไม่รู้ว่าหญิงสูงวัยผู้นี้เป็นใคร แต่เดาว่าน่าจะเป็นมารดาของจางเถียซาน หลี่เหอฮว๋าอยากลองดูว่านางคาดเดาได้ถูกต้องหรือไม่จึงเรียกด้วยน้ำเสียงลังเลว่า “ท่านแม่”
จางหลินซื่อ*เหลือบตาขึ้นพร้อมกับชำเลืองไปที่หลี่เหอฮว๋า จากนั้นก็ตวัดสายตากลับไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจอย่างมาก“ไม่ต้องเรียกข้าว่าแม่ ข้าไม่สามารถเป็นแม่สามีของเจ้าได้”
*ซื่อคือสกุล หญิงที่แต่งงานแล้วจะถูกเรียกด้วยสกุลเดิมของตน ในบางครั้งจะเพิ่มสกุลของสามีเข้าไปด้วย ในที่นี้หลินคือสกุลเดิมและจางคือสกุลของสามี
หลี่เหอฮว๋ารู้ว่าตนเองเดาได้ถูกต้องแล้ว หญิงผู้นี้คือมารดาของจางเถียซานจริงๆ แม้นางจะบอกว่าไม่ให้เรียกนางว่าท่านแม่ ทว่าตนก็สมควรจะเรียกนางเช่นนั้นอยู่ดี อย่างน้อยตนก็ยังต้องอาศัยอยู่ที่นี่
หลี่เหอฮว๋าก้าวเข้าไปจะหยิบชามจากมือของนาง “ท่านแม่ ข้าทำเอง ท่านไปพักเถอะ”
ผู้ใดจะรู้ว่ามือที่ยืดออกไปนั้นจะถูกตีเสียงดัง‘เพียะ!’ “เจ้าไม่จำเป็นต้องมาเสแสร้งที่นี่ เจ้าเก่งกาจนักไม่ใช่หรือ? ตอนนี้จะมาทำเป็นลูกสะใภ้ที่ดี ครอบครัวข้าไม่กล้าไปรบกวนเจ้าหรอก”
หลี่เหอฮว๋ามองมือของตนที่ถูกตีแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในอก
เป็นอีกคนที่เกลียดนางอย่างที่สุด
ช่างเถอะ เมื่อไม่ต้องการให้นางทำ นางก็จะไม่ทำ จะได้ไม่ทำให้ผู้อื่นรำคาญ
ดูเหมือนจะอยู่ในครัวต่อไปไม่ได้แล้ว หลี่เหอฮว๋าจึงหิ้วถังไม้ขึ้นมาเพื่อจะไปตักน้ำต่อ หากไม่หาทำอะไร การอาศัยอยู่ที่นี่คงเป็นเรื่องน่าละอายใจสำหรับนาง
เมื่อไปถึงบ่อน้ำ นางไม่พบคนมาตักน้ำเลยสักคนในเวลานี้ นางจึงพักอยู่ที่นี่นานขึ้นอีกหน่อย พักมองภูเขาที่เห็นอยู่ไกลๆ เมื่อเห็นว่าน่าจะได้เวลาแล้วนางค่อยหิ้วถังไม้ขึ้นมาแล้วมุ่งหน้ากลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้านนางก็เห็นคน 4 คนในครอบครัวกำลังนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะ เมื่อเห็นนางกลับมา พวกเขาก็หลุบตาลงแล้วกินอาหารต่อ
หลี่เหอฮว๋ายกมุมปากส่งยิ้มให้ทุกคน จากนั้นก็หิ้วถังน้ำกลับเข้าไปในครัว เทน้ำลงในถังเก็บน้ำ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งหายใจเหนื่อยหอบอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก
พักเหนื่อยพอแล้ว ถึงตอนนี้นางก็รู้สึกว่าท้องของตนแบนราบเพราะความหิว นางจึงลุกขึ้นเพื่อไปหาของกินหน้าเตาเพียงเพื่อจะพบว่าในหม้อไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย อาหารหมดทุกอย่าง
ไม่มีอะไรเหลือไว้ให้นางเลยจริงๆ
หลี่เหอฮว๋ารู้สึกแย่ ทว่านางก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะร้องทุกข์กับผู้อื่นได้ นางเป็นคนที่ต้องการจะอยู่ที่นี่เอง ดังนั้นตอนนี้นางต้องอดทนไม่ว่าผู้อื่นปฏิบัติต่อนางอย่างไร ก็ไม่สามารถโต้แย้งได้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องจากไป
ทำไมนางถึงต้องอยู่ในสภาพน่าสังเวชขนาดนี้ด้วยนะ? หลังจากคิดใคร่ครวญดูแล้ว นี่เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมแท้ๆ ที่ทำให้ตนต้องมาแบกหม้อดำ*แทนนาง
*หมายถึงต้องมารับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองไม่ได้ทำหรือรับผิดแทนผู้อื่น
หลังเกิดความรู้สึกเศร้าใจไปชั่วขณะหนึ่ง หลี่เหอฮว๋าก็รวบรวมพลังใจก่อนจะตัดสินใจต้มโจ๊กข้าวกล้องเพื่อบรรเทาความหิวของตนเอง นางอยากจะใช้ข้าวหรือไม่ก็แป้งขาวมาทำอะไรกินแต่คงไม่ดีแน่หากทำให้พวกเขาเกิดความไม่พอใจแล้วไล่นางออกไปจากบ้าน ดังนั้นกินโจ๊กข้าวกล้องไปก่อนแต่โดยดีเถอะ
นางจะต้องคิดหาหนทางในการหาเงินให้ได้เร็วที่สุดจะได้ซื้อหาอาหารเป็นของตัวเอง จากนั้นก็หาที่อยู่โดยเร็ว ต่อไปภายหน้านางจะได้ไม่ต้องอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้อีก
หลี่เหอฮว๋านำข้าวกล้องออกมาต้มเป็นโจ๊ก หลังจากกินอาหารอยู่ในห้องครัวเสร็จแล้วนางก็ล้างทำความสะอาดจานชามตะเกียบก่อนจะออกจากห้องครัวไปที่ห้องของตัวเอง
เพียงแต่ห้องที่นางทำความสะอาดไว้เรียบร้อยกลับมีสัมภาระวางอยู่ เครื่องนอนก็ถูกปูไว้บนเตียงแล้วเช่นกัน ดูเหมือนจะมีผู้อื่นเข้ามาอยู่ในห้องนี้เสียแล้ว
นี่คือห้องที่นางลงแรงอย่างหนักทำความสะอาดอยู่เป็นเวลานาน แต่ตอนนี้กลับมีผู้อื่นเข้ามาครอบครองไปเสียแล้ว นางอยากเดินออกไปบอกพวกเขาเหลือเกินว่านี่คือห้องที่นางทำความสะอาดเอาไว้ แต่นางก็พูดไม่ได้และไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดด้วย บางทีคนที่อยู่ด้านนอกคงจะคิดแค่ว่าหากนางทนไม่ได้จะได้จากไป แต่ในยามนี้นางต้องยืนหยัดอยู่ที่นี่ต่อจนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้
ถึงตอนนี้จางหลินซื่อได้เดินเข้ามา พอเห็นหลี่เหอฮว๋า นางก็พูดด้วยท่าทีรังเกียจว่า “ต่อไปข้าจะอยู่ห้องนี้ ฉะนั้นอย่ามายืนตรงนี้ให้เกะกะสายตาข้า” หากไม่ใช่เพราะบุตรชายบอกไว้ว่าให้หญิงผู้นี้อยู่ที่นี่ต่ออีกสักระยะหนึ่ง นางคงจะไล่ตีนังผู้หญิงชั่วร้ายคนนี้ออกไปตอนนี้เลย จะได้ไม่ต้องสะกดกลั้นความโมโหและฝืนทนกับหญิงผู้นี้อีกต่อไป
หลี่เหอฮว๋าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ โดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปเพื่อไปหาห้องอื่น
ในบ้านมี 3 ห้อง มารดาของจางเถียซานอยู่ห้องนี้แล้วยังเหลืออยู่อีก 2 ห้อง หลี่เหอฮว๋าเดินไปดูทีละห้องก็พบว่าแต่ละห้องล้วนแต่มีสัมภาระอยู่ด้านใน เห็นได้ชัดว่าได้ถูกเตรียมการไว้หมดแล้ว นั่นคือไม่มีห้องเหลือสำหรับนาง
หลี่เหอฮว๋าถึงกับตะลึง ไม่มีห้องเหลืออยู่เลยแล้วนางไปอยู่ที่ไหนได้อีก? จะนอนในลานบ้านได้ด้วยหรือ?
เรื่องนี้ทำให้หลี่เหอฮว๋าอดกลั้นต่อไปไม่ไหว นางตรงเข้าไปหาจางเถียซานที่กำลังผ่าฟืนอยู่ในลานบ้าน
“จางเถียซาน บ้านหลังนี้มีห้องทั้งหมดแค่ 3 ห้อง ห้องเดิมของข้าท่านแม่เข้าไปอยู่แล้ว ข้าไปดูอีก 2 ห้องก็มีข้าวของสัมภาระอยู่ด้านใน พวกเจ้าจะอยู่อย่างนั้นหรือ? เจ้าแบ่งห้องให้ข้าสักห้องได้หรือไม่?”
หลังหลี่เหอฮว๋ากล่าวจบ จางเถียซานยังคงผ่าฟืนต่อไปราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรเลย จนผ่าฟืนเสร็จแล้วหันมาเห็นว่าหลี่เหอฮว๋ายังคงยืนอยู่ข้างๆ ก็ชำเลืองมองนางด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็คว้าขวานแล้วเดินเข้าไปในบ้าน
หลี่เหอฮว๋ากัดริมฝีปากแล้วเดินตามเขาไปพลางเอ่ยว่า “จางเถียซาน ข้าไม่มีห้องจะอยู่ พวกเจ้าให้ห้องข้าห้องหนึ่งได้หรือไม่?”
จางเถียซานเดินด้วยฝีเท้าคงที่พร้อมกับพูดในขณะที่ก้าวเดินไปว่า “ไม่มีห้องอื่นอีกแล้ว หากเจ้าไม่อยากอยู่ก็ออกไปได้เลย จะไม่มีผู้ใดขัดขวางเจ้า”
หลี่เหอฮว๋าชะงักฝีเท้าพร้อมกับมองไปที่ร่างสูงตรงหน้าตน นางโมโหมากจนอยากจะเข้าไปตะกุยหน้าเขาสักสองครั้ง
นี่มันมากเกินไปแล้ว จะมีจิตใจรักหยกถนอมบุปผาสักนิดได้หรือไม่? จะปล่อยให้หญิงงามอย่างนางไม่มีที่พักได้ด้วยหรือ? เอ่ออ...นางก้มลงมองสารรูปของตนเองในตอนนี้ เอิ่มใช่ ดั่งหยกดั่งบุปผาคงไม่เหมาะจะใช้กับนางอีกต่อไปแล้ว
ช่างเถอะ ในเมื่อตอนนี้อยู่ใต้ชายคาบ้านเขาก็ต้องก้มศีรษะของตนเอาไว้ รอให้นางมีที่อยู่เสียก่อนเถอะนางจะไม่สนใจชายผู้นี้อีกและจะไม่ไปประจบประแจงผู้อื่นอีกต่อไป
หลี่เหอฮว๋าเดินไปรอบๆ บ้าน ในที่สุดนางก็เจอห้องเก็บฟืนซึ่งมีพื้นที่เล็กมาก ด้านในห้องเต็มไปด้วยไม้ฟืนจำนวนมากกองอยู่และยังมีของจิปาถะอื่นๆ อีก
แม้ว่าห้องนี้จะแย่มาก แต่นางก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอาศัยอยู่ในห้องนี้ หากทำความสะอาดให้ดีสักหน่อยก็ยังพอจะอาศัยนอนได้
เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วหลี่เหอฮว๋าก็เข้าไปในห้อง นางจัดเก็บฟืนกองใหญ่ที่วางกินพื้นที่ในห้องรวมทั้งข้าวของอื่นๆ ที่วางรกอยู่ให้ไปกองรวมกันอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่งเพื่อทำพื้นที่ว่างสำหรับเป็นที่นอน จากนั้นก็นำไม้ฟืนท่อนที่เรียบๆ มาวางเรียงกันทำเป็นเตียงเล็กๆ แบบง่ายๆ ให้สูงจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อย
ใช้เวลาราว 2 ชั่วยามในการจัดห้องเก็บฟืน หลี่เหอฮว๋ารู้สึกเหนื่อยล้ามากเสียจนอยากจะนอนแผ่ลงไปกับพื้นแล้วไม่ต้องลุกขึ้นมาอีกเลย แต่นางก็พยายามกัดฟันลุกขึ้นแล้วยืนพักสักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกจากห้องเก็บฟืนไปที่ห้องเดิมของตนเพื่อไปเอาผ้าห่มสำรองมาใช้
แม้จะถูกท่านแม่จางจ้องหน้าอยู่เป็นเวลานาน หลี่เหอฮว๋าก็ยังคงเข้าไปหยิบของออกมาอย่างห้าวหาญ ส่วนผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนที่ตากไว้ในลานบ้านก็แห้งแล้วเช่นกัน นางจึงเก็บมาแล้วนำกลับไปที่ห้องเก็บฟืนพร้อมกันทีเดียว
เตียงที่ทำจากท่อนฟืนไม่สบายเอาเลย นางไม่สามารถนอนลงไปตรงๆ ได้ หลี่เหอฮว๋านึกถึงกองฟางด้านนอก นำฟางมาปูรองด้านล่างเตียงจะได้ไม่แข็งเกินไปนัก
นางวิ่งออกไปที่กองฟางด้านนอกพลางใช้ความพยายามในการลากกองฟางกลับไปที่ห้องเก็บฟืนอย่างสุดกำลัง นางนำมาปูแผ่บนเตียง จากนั้นก็ย้อนกลับไปลากกลับมาเพิ่มอีก นางทำงานวุ่นจนกระทั่งฟ้ามืดจึงจัดการเรื่องเตียงเสร็จในแบบที่พอจะใช้นอนได้
มองดู ‘ห้องใหม่’ ของตนแล้ว หลี่เหอฮว๋าก็ต้องท่องประโยคบอกกับตัวเองราวกับชื่นชมยินดีในความยากลำบากครั้งนี้ ‘สวรรค์ได้มอบความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงให้กับมนุษย์ แรกเริ่มมนุษย์จะต้องทนทุกข์จากจิตใจและความปรารถนา ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการใช้แรงกำลัง ต้องโหยหิวจากเลือดเนื้อ ชำระร่างกายให้ว่างเปล่า ทำในสิ่งที่พึงกระทำ ดังนั้นจงอดทนกับผลที่ได้รับจากสิ่งที่ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้’
หลังท่องคำพูดเหล่านี้กับตัวเองแล้ว หลี่เหอฮว๋าก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่าตนไม่ได้น่าสมเพชอีกแล้ว
ระหว่างทำอาหารมื้อเย็นจางหลินซื่อยังคงไม่แบ่งอาหารไว้ให้หลี่เหอฮว๋าเหมือนเดิม แต่ก็นางไม่ใส่ใจอีกแล้ว นางต้มโจ๊กข้าวกล้องกินและทำเหมือนตนเองกำลังลดน้ำหนักอยู่ ถ้านางยังคงกินแบบนี้ทุกวันบวกกับการออกกำลังกายเท่าที่ทำในตอนนี้ นางจะต้องลดน้ำหนักลงได้ภายในหนึ่งเดือนอย่างแน่นอน ถ้ากินข้าวกับแป้งขาวนางคงจะไม่สามารถลดน้ำหนักได้
หลังอาหารหลี่เหอฮว๋าก็ซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บฟืน หลังจากที่ผู้อื่นอาบน้ำทำความสะอาดเสร็จหมดแล้วนางถึงค่อยกลับไปที่ห้องครัวต้มน้ำร้อนเพื่ออาบน้ำ จากนั้นก็ลากร่างที่ปวดร้าวของตนกลับไปนอนลงบนเตียงที่นางทำขึ้นมา
แม้ว่าจะเหนื่อยล้าอย่างมากแต่นางก็นอนไม่หลับ หลี่เหอฮว๋าจ้องมองไปในความมืดพร้อมกับเริ่มคิดว่าตนเองจะหาเงินด้วยวิธีไหนดี
นางจะทำอะไรดีถึงจะหาเงินมาได้โดยเร็วที่สุด?
ชาติก่อนนางเรียนเอกด้านภาษาต่างประเทศในมหาวิทยาลัย แต่มันไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ที่นี่ได้เลย สิ่งเดียวที่นางสามารถนำมาใช้ได้คือฝีมือในการทำอาหารของตน
ครอบครัวของนางเป็นครอบครัวของผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารอย่างแท้จริง บริษัทที่มีทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับอาหารและการจัดเลี้ยง กล่าวได้ว่าแทบจะครอบครองครึ่งหนึ่งของอุตสาหกรรมอาหารในประเทศ คุณปู่ของนางเป็นปรมาจารย์ด้านอาหารระดับโลก อาหารของท่านต่อให้มีทองพันชั่งก็ซื้อไม่ได้ คุณพ่อของนางก็เป็นเชฟชั้นนำที่ชำนาญในการทำอาหารทุกประเภท ส่วนคุณแม่คอยดูแลธุรกิจของครอบครัว
ในรุ่นของนาง พี่ชายคนโตเป็นคนที่มีพรสรรค์ในการบริหารจัดการอย่างมาก เขาเข้ามาบริหารงานกลุ่มบริษัทตอนอายุ 18 ปีและสร้างให้กลุ่มบริษัทตระกูลหลี่ก้าวขึ้นมาสู่ชั้นแนวหน้า แต่ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้พี่ชายของนางใช้เวลาในการทำอาหารน้อยลง คุณปู่จึงทุ่มเทความสนใจทั้งหมดมาฝึกฝนนาง อุทิศทั้งชีวิตของท่านสอนสั่งนางด้วยความหวังว่าตำรับอาหารของตระกูลหลี่จะได้รับการสืบทอด
ครั้งหนึ่งคุณปู่เคยพูดว่านางเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ทางด้านการทำอาหารอย่างสูง หลายปีที่ผ่านมายากจะหาคนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงยิ่งทุ่มเทความพยายามในการฝึกฝนนาง ผลคือนางไม่ให้ความใส่ใจกับมัน นางรู้สึกว่าตนเองถูกผูกมัดและต้องการจะเป็นอิสระ นางต่อต้านและปฏิเสธจะเชื่อฟังการเตรียมการต่างๆ ของคุณปู่ นางไปเช่าร้านในเมืองมหาวิทยาลัยเพื่อทำร้านขนม คุณปู่โมโหนางมากจนเลิกยุ่งกับนางไปครึ่งปี แต่คุณปู่รักนางมากที่สุด สุดท้ายท่านก็สนับสนุนนาง
เมื่อมานึกย้อนในเวลานี้ ตอนนั้นนางมีความสุขมาก เป็นสุขที่เป็นที่รักของคนในครอบครัว สุขใจที่มีคุณปู่คอยสั่งสอนอบรมและดีใจที่มีฝีมือทำอาหารในระดับชั้นนำ ไม่ว่าจะต้องไปอยู่ที่ไหนนางก็ไม่เคยกลัว
บางทีที่นี่นางก็สามารถใช้ชีวิตในแบบที่ตนต้องการด้วยฝีมือการทำอาหารของตนเองได้
ทว่าหากต้องการจะหาเงินด้วยการทำอาหาร นางจะต้องวางแผนให้รอบคอบ ถึงอย่างไรนางก็ไม่รู้เรื่องอะไรของที่นี่เลย ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะประสบผลสำเร็จ นางจำเป็นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก่อน
ดูเหมือนนางคงจะต้องไปสำรวจที่ตลาดดูก่อนว่าเป็นอย่างไร
วันรุ่งขึ้นหลี่เหอฮว๋าตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ หลังล้างหน้าบ้วนปากเสร็จนางก็เดินออกนอกประตูไป
นางไม่รู้ว่าตลาดอยู่ที่ไหน แต่ ณ จุดนี้จะต้องมีคนในหมู่บ้านเดินทางไปตลาดแน่ แค่ตามพวกเขาไปอย่างไรก็ต้องหาตลาดเจอ แล้วก็จริงมีหญิงสองสามคนเดินคุยกันออกจากหมู่บ้านพร้อมกับหอบหิ้วสิ่งของต่างๆ ไปด้วย แค่มองแวบแรกก็รู้ว่าพวกนางกำลังจะเข้าเมืองไปตลาด หลี่เหอฮว๋าจึงรีบตามหลังพวกนางไปทันที
หมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตัวตำบลนัก ใช้เวลาเดินไปราวหนึ่งชั่วยามก็ถึง บนท้องถนนมีของมาขายนานาชนิด มีเสียงตะโกนดังขึ้นไม่หยุดทำให้บรรยากาศครึกครื้นมาก
หลี่เหอฮว๋าเดินสำรวจไปตามถนน โดยนางจะสังเกตที่แผงขายอาหารเป็นหลัก หลังเดินดูจนทั่ว นางก็พบว่าในเมืองนี้มีอาหารขายไม่หลากหลายนัก แผงอาหารส่วนใหญ่จะขายบะหมี่ ซาลาเปาหมั่นโถวและเซาปิ่ง*(1) มีอาหารประเภทอื่นขายอยู่น้อยมาก
*แป้งทอดหรือขนมเปี๊ยะสด เป็นขนมทำจากแป้งกดให้แบนแล้วนำไปทอด อาจมีงาโรยด้วยก็ได้
หลี่เหอฮว๋าใช้เวลาเฝ้าดูอย่างตั้งใจอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็พบว่าการขายของแผงลอยบนท้องถนนนั้นเป็นการค้าที่ดีทีเดียว ผู้คนจำนวนมากจะซื้ออะไรมากิน นับว่ามาตรฐานความเป็นอยู่ของผู้คนในยุคนี้ไม่เลวเลย อย่างน้อยเมืองที่นางอาศัยอยู่ก็มีฐานะทางการเงินที่ดี
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นผลดีต่อนาง เมื่อผู้คนร่ำรวยก็หมายความว่าสามารถทำการค้าได้ดี การที่อาหารมีความหลากหลายน้อยก็ยิ่งเอื้อต่อการขายอาหารของนาง ตราบใดที่นางขายอาหารจากทักษะฝีมือของตนก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะไม่มีลูกค้า
อย่างไรก็ตามทำการค้าย่อมต้องใช้เงินทุน ทั้งหม้อกระทะ ตลิวกระบวย โต๊ะเก้าอี้ม้านั่งล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงิน นางเพิ่งค้นพบว่าเจ้าของร่างเดิมมีเงินอยู่ 30 อีแปะ พูดอีกอย่างก็คือทั้งเนื้อทั้งตัวของนางตอนนี้มีเงินเหลือติดตัวอยู่แค่ 30 อีแปะเท่านั้น แม้นางจะไม่รู้ราคาสินค้าของยุคนี้แต่ก็พอจะรู้ว่าเงิน 30 อีแปะนั้นห่างไกลจากการเปิดแผงขายอาหารไปมาก
ในขณะที่การขอยืมเงินเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ด้วยชื่อเสียงของเจ้าของร่างเดิมการจะมีคนให้นางขอยืมเงินคงจะเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ ดังนั้นลืมคิดถึงเรื่องการขอยืมเงินไปได้เลย คิดจะเปิดร้านแผงอาหารนางยังต้องหาวิธีหาเงินมาให้ได้ก่อน
แต่จะทำอะไรที่จะหาเงินมาได้โดยไม่ต้องใช้เงินทุนล่ะ?
.....................................
(1) เซาปิ่ง
https://www.lpls.net/food/1694023