ตอนที่ 233: ทำไมไม่ขอความช่วยเหลือจากผม?
และเธอจะไม่มีทางหยุดไปพบปะผู้ชายคนใหม่ เพราะเธอจำเป็นต้องมีเครือข่าย
กู้หนิงพลิกตัวตะแคงมาทางเลิ่งเชาถิงและถามเขาว่า “คุณหึงเพราะว่าฉันมีเพื่อนผู้ชายหรอคะ?”
“เขาจีบคุณ” เลิ่งเชาถิงไม่ปิดบังความจริงที่ว่าเขาหึง ถ้าซื่อตู่เย่ไม่จีบกู้หนิง เขาก็คงไม่หึง
“อะไรนะ? ไม่!” กู้หนิงค่อนข้างประหลาดใจ เธอไม่เชื่อ เพราะเธอไม่คิดว่าซื่อตู้เย่ปฏิบัติต่อเธอแตกต่างจากคนอื่นตรงไหน
“คุณรู้ได้ยังไง?” กู้หนิงถาม
“สัญชาตญาณผู้ชาย” เลิ่งเชาถิงตอบด้วยด้วยความมั่นใจ
“ฮ่า ฮ่า” กู้หนิงหัวเราะเสียงดัง ถึงแม้ซื่อท่อตู้เย่จีบเธอจริง เธอก็ไม่มีทางรับรักเขา
“คุณขาดความั่นใจหรือไม่เชื่อใจฉัน?” กู้หนิงหัวเราะ
เลิ่งเชาถิงจ้องกู้หนิงนิ่ง แต่ยังคงเงียบ เขาไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน
กู้หนิงรู้ว่าเขาคิดอะไร ถึงเขาจะไม่เชื่อใจเธอ เธอก็ไม่โทษเขา เพราะเพิ่งจะเป็นแฟนกันได้ไม่นาน เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้สึกไม่มั่นคง
ถ้ากู้หนิงคุ้นเคยกับเลิ่งเชาถิงเมื่อไหร่ เธออาจรู้สึกกลัวเหมือนกัน เพราะเขาทั้งหล่อและน่ากินมาก
“ถ้าคุณไม่นอกใจฉัน ฉันก็ไม่มีวันทำให้คุณเจ็บ” กู้หนิงให้สัญญา เธอขยับตัวเข้าไปหาเขาเพื่อจูบเบาๆ
เลิ่งเชาถิงมีหรือจะเต็มใจปล่อยเธอไปหลังจากได้รับจุมพิตแผ่วเบา เขาจูบเธอกลับอย่างดูดดื่ม
เลิ่งเชาถิงไม่ถนัดการจูบ เขาจึงต้องใช้เวลาสักพักในการหาวิธีที่เหมาะสม ริมฝีปากของเขาบดริมฝีปากเธอไปมาเป็นเวลานาน ก่อนที่ลิ้นของเขาจะเข้าแทรกเข้าไประหว่างฟันของเธอ และเข้าไปในปากของเธอ เขากดเธอเข้าหาเขา ตอนนี้ร่างกายของเธออยู่ล่างโดยมีเขาอยู่ด้านบน นี่เป็นครั้งแรกที่กู้หนิงใกล้ชิดกับผู้ชายคนหนึ่ง เธอหมดเรี่ยวแรง ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความอบอุ่นนี้
พวกเขาจูบกันอย่างอ้อยอิ่ง เลิ่งเชาถิงเริ่มไม่พอใจกับการแค่ได้จูบ มือของเขาลูบไล้ไปทั่วร่างกายของเธอ
กู้หนิงตัวสั่นจากการถูกเล้าโลม แม้ว่าเธอจะไม่ถือที่ต้องเมคเลิฟกับเขา แต่เธอยังไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ เธออยากจะผลักเขาออก เธอพยายามอย่างสุดความสามารถแต่ร่างกายไม่ยอมฟัง เธอทำได้เพียงปล่อยให้เลิ่งเชาถิงจูบเธออย่างเอาแต่ใจ
เธอหายใจหอบ เลิ่งเชาถิงจูบไล่ตั้งแต่แก้มและลำคอขาวผ่อง ผิวของเธอนุ่มลื่นและมีกลิ่นหอม เลิ่งเชาถิงแทบสำลักความหอมนี้ เขาควบคุมตัวเองไม่ได้
ทันใดนั้นเองเสียงปิดประตูห้องข้างๆดังลอดเข้ามา เลิ่งเชาถิงชะงัก ดึงสติตัวเองกลับมาได้ แม้ว่าภายในห้องพักจะมีแผ่นกั้นเสียง แต่ด้วยโสตประสาทที่เหนือใคร เขาสามารถได้ยินเสียงจากด้านนอก
เมื่อเห็นกู้หนิงเผยอริมฝีปากบวมเล็กน้อย เลิ่งเชาถิงก็ตื่นตระหนก “หนิงหนิง ขอโทษ ผมแค่…”
“ไม่เป็นไรค่ะ” กู้หนิงสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ บังคับตัวเองให้สงบลง เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน เธอไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ยังไม่ได้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้
เลิ่งเชาถิงไม่กล้าทำต่อ พยายามข่มตาให้หลับและกอดกู้หนิงไว้ในอ้อมแขน แต่สำหรับผู้ชายนั้นยากมากที่จะหลับหลังจากเพิ่งผ่านการจูบที่เร่าร้อน ส่วนกู้หนิงม่อยหลับไปในเวลาอันสั้น
เลิ่งเชาถิงไม่หลับจนกระทั่งดึก
เช้าวันต่อมา เลิ่งเชาถิงยืนอยู่ตรงหน้าต่างกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“คิดอะไรอยู่คะ?” กู้หนิงเอ่ยปากถาม
เลิ่งเชาถิงหันกลับมามองเธอ “ไม่มีอะไร คุณอยากกินข้าวเช้าที่นี่หรือออกไปกินข้างนอก?”
“ข้างนอกดีกว่า เครื่องบินจะออกเก้าโมงครึ่ง พวกเรากินข้าวเช้าก่อนไปสนามบินแล้วกันค่ะ”
จากนั้นพวกเขาก็เก็บกระเป๋าและเดินไปร้านอาหาร
ที่รีสอร์ทมีบริการรถรับส่งสนามบิน กู้หนิงกับเลิ่งเชาถิงจึงตัดสินใจไปสนามบินด้วยรถของรีสอร์ท
กู้หนิงโทรหา K และบอกเขาว่าเธอกำลังจะกลับเมือง F
K เสนอตัวไปส่ง แต่กู้หนิงบอกปัด
กู้หนิงไม่ได้เดินหลบไปคุยโทรศัพท์ ดังนั้นเลิ่งเชาถิงจึงได้รู้สาเหตุที่กู้หนิงมาที่เมือง D ในครั้งนี้จากการพูดคุยทางโทรศัพท์
หลังจากวางสาย เลิ่งเชาถิงถามด้วยความแปลกใจว่า “คุณสามารถรักษาโรคได้ด้วยเหรอ?”
“ค่ะ” กู้หนิงไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม
กระนั้นเลิ่งเชาถิงไม่ค่อยพอใจนิดหน่อยที่กู้หนิงบินมาเมือง D เพียงแค่เพื่อจัดการธุระกับผู้ชายในโทรศัพท์ “ถ้าคุณต้องการตรวจสอบอะไรบางอย่าง ทำไมขอให้ผมช่วย?”
กู้หนิงอธิบายว่า “คุณช่วยฉันเยอะมาแล้ว ฉันไม่สามารถพึ่งคุณได้ตลอดไป และฉันจำเป็นต้องการผู้ช่วยที่ชำนาญในด้านนี้ เขาเป็นแฮกเกอร์ชื่อดังว่า K มันเป็นประโยชน์ต่อฉันมากที่เขายินดีช่วยฉัน”
ได้ยินคำอธิบายของเธอ เขาก็ไม่พูดอะไรต่อ
เขารู้ว่าเธอกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจและจำเป็นต้องมีคนที่มีความสามารถมาช่วยงาน ดังนั้นเขาจึงไม่ขัดขวางเธอในการจ้างคนและสร้างเครือข่าย สิ่งเดียวที่เขาจำเป็นต้องทำคือคอยให้ความช่วยเหลือยามที่เธอต้องการ และป้องกันไม่ให้ผู้ชายคนอื่นที่ต้องการจีบเธอมาวอแวอยู่ใกล้เธอได้
เมื่อทั้งคู่มาถึงเมือง F ก็พากันไปกินข้าวที่ร้านอาหารก่อน
หลังจากกินข้าวเสร็จ เลิ่งเชาถิงไม่อยากแยกจากกู้หนิง ดังนั้นกู้หนิงจึงยังไม่กลับบ้านทันที ทั้งคู่จึงพากันไปยังถนนขายของเก่า
กู้หนิงไม่ได้มาที่ถนนขายของเก่านานแล้ว และเธอคิดถึงบรรยากาศตอนที่เธอสามารถหยิบของเก่าของแท้ได้จากร้านค้าแผงลอย แน่นอนว่าเลิ่งเชาถิงยังไงก็ได้ตราบใดที่เขาได้อยู่กับเธอ
เลิ่งเชาถิงโทรเรียกให้คนเอารถมาให้เขา ผ่านไปสิบนาทีรถก็มาถึง จากนั้นเขาก็ขับรถไปที่ถนนของเก่ากับกู้หนิง
ระหว่างทาง กู้หนิงโทรหากู้ม่านและบอกว่าเธอกลับมาแล้ว จะกลับถึงบ้านคืนนี้
ถนนของเก่ายังเหมือนเดิมที่กู้หนิงมาครั้งแรก ของปลอมมีมากมาย ยากมากที่จะพบของแท้สักชิ้น
“คุณชอบของเก่า?” เลิ่งเชาถิงถาม เมื่อเห็นกู้หนิงจดๆจ้องๆวัตถุโบราณ
“ใช่ค่ะ” กู้หนิงตอบ
“ผมพอมีอยู่บ้าง เดี๋ยวส่งไปให้ทีหลัง”
“เอ่อ ฉันแค่สนุกกับการคุ้ยหาของเก่า ไม่ได้ชอบสะสมจริงๆจังๆ” กู้หนิงพูด
ตอนที่ 234: จานสีพาสเทลที่มีลวดลายลูกท้อเก้าลูกเก้าลูกและค้างคาวห้าตัว
หลังจากนั้นไม่นานกู้หนิงก็สังเกตเห็นวัตถุที่มีพลัง เป็นจานสีพาสเทลกว้างสามสิบเซนติเมตรมีลวดลายลูกท้อเก้าลูกและค้างคาวห้าตัว
แผ่นจานสีขาวใสและเรียบเนียน สีพื้นหลังของจานและสีของภาพวาดรอบๆนั้นทั้งบริสุทธิ์และสวยงาม สองสีรวมเข้าด้วยกันทำให้เกิดความสง่างามและชั้นสูง ดังนั้นคนทั่วไปอาจคิดว่ามันเป็นของปลอม และคนนอกจะไม่มีทางเชื่อว่ามันเป็นของแท้ แม้ว่าจะมีคำพูดแนวตั้งสองบรรทัดว่าเป็นสมัยหย่งเจิ้น ราชวงศ์ชิง ที่ด้านล่างของจาน
ลวดลายรอบจานมีน้ำหนักเบาและชัดเจนในเวลาเดียวกัน สีของลูกท้อเป็นสีแดง แต่ไม่สดใสและเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดงตามธรรมชาติ ทุกสัมผัสของปลายพู่กันนั้นตวัดลวดลายอย่างอ่อนช้อย
ดอกท้อมีก้านใบยาว โดยมีด้านสว่างด้านหน้า และด้านหลังสีเข้มกว่า ด้านหน้าของใบท้อเป็นสีเขียวในขณะที่ด้านหลังเป็นสีน้ำเงินและสีเข้ม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างภายใต้แสงแดด ใบไม้มีการกระจายอย่างหนาแน่นและมีไดนามิกพอสมควร ซึ่งเข้ากับค้างคาวแดงได้เป็นอย่างดี
กู้หนิงถามราคา เจ้าของร้านบอกว่าสองพันหยวน ดังนั้นกู้หนิงจึงจ่ายเงินโดยไม่ลังเล
เลิ่งเชาถิงอยากจะจ่ายให้กู้หนิง แต่กู้หนิงปฏิเสธ จะมีความหมายอะไรถ้าเขาจ่าย
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ
หลังจากที่กู้หนิงและเลิ่งเชาถิงเดินจากไปไม่นาน ชายวัยกลางคนก็รีบมาพร้อมกับชายชราที่มีอายุราวเจ็ดสิบปี พวกเขาหยุดอยู่จุดที่กู้หนิงซื้อจาน
“อาจารย์ครับนี่คือ…” ชายวัยกลางคนพูด ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขายืนนิ่งอึ้งเมื่อเหลือบมองไปที่แผงลอย จากนั้นเขาก็ตกใจและส่งเสียงถามว่า “จานสีพาสเทลที่มีลวดลายของลูกท้อเก้าลูกและค้างคาวห้าตัวอยู่ไหนแล้ว?”
เจ้าของแผงลอยไม่รู้ว่าทำไมชายคนนี้ถึงมีท่าทางแบบนั้น แต่เขาจำชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆได้ เขาเป็นภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์และเป็นผู้นำของสมาคมโบราณวัตถุ ‘กู้ชางเจี่ยง’
ชายวัยกลางคนเคยมายืนดูของเก่าที่ร้านแผงลอยนี้มาก่อนแล้ว เขาจ้องมองจานสีพาสเทลอยู่นาน แต่ก็ยังไม่ซื้อ ตอนนี้เขากลับมาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณวัตถุเพื่อตรวจสอบมันอีกครั้ง ทันใดนั้นเจ้าของร้านก็รู้สึกได้ว่าจานสีพาสเทลนั้นอาจเป็นของแท้
“นี่ ผมถามคุณอยู่นะ” ชายวัยกลางคนถามอีกครั้ง
เจ้าของร้านตอบว่า “อ้อ ผมขายไปแล้ว”
“อะไรนะ!” ชายวัยกลางคนทำหน้ายอมรับไม่ได้ ถึงเขาจะยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นของแท้รึเปล่า แต่ก็มั่นใจสามในสี่ส่วนว่าใช่ นั่นเป็นเหตุผลว่าเขาไปเชิญอาจารย์ของเขาและกลับมาที่นี่อีกครั้ง แค่ไม่กี่นาที จานสีพาสเทลก็ขายไปแล้ว นี่เป็นข่าวที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเขา
เจ้าของร้านเองก็ไม่ต่างกัน เขาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า ถ้าจานพาสเทลนั้นเป็นของแท้จริงๆ เขาก็สูญเสียลาภก้อนใหญ่ไปแล้ว ตอนนี้เขาก็เสียใจไม่ต่างกัน
“ใคเป็นคนซื้อไป?” ชายวัยกลางคนยังไม่ยอมแพ้ คนซื้อยังอยู่แถวนี้แน่นอน
“เป็นเด็กสาววัยรุ่นกับผู้ชายคนหนึ่ง”
“พวกเขาไปทางไหน?”
“ทางขวา”
“อาจารย์ครับ ตามพวกเขาไปกันเถอะ ผมคิดว่าบางทีพวกเราอาจตามพวกเขาทัน” ชายวัยกลางคนหันไปพูดกับชายชรา
พวกเขาต้องการซื้อจานไปสะสม
“รอเดี๋ยวครับ” ขณะที่ชายทั้งสองกำลังจะจากไป เจ้าของร้านเรียกไว้ก่อน “จานนั่นเป็นของแท้หรอครับ?”
“ผมก็ยังไม่แน่ใจ” ชายวัยกลางคนตอบ จากนั้นก็พาชายสูงวัยเดินไปทางขวาอย่างรวดเร็ว
กู้หนิงและเลิ่งเชาถิงเดินถอดน่อง ดูสินค้าที่วางเรียงรายตามข้างทาง ดังนั้นชายทั้งสองจึงตามพวกเธอทัน กู้หนิงถือจานพาสเทลไว้ในมือ พวกเขาจึงทราบได้ทันทีว่าเป็นเธอ
“นี่ แม่หนู รอเดี๋ยว” ชายวัยกลางคนร้องทัก ถึงจะดูเสียมารยาทแต่เขาไม่อยากเสียเวลา
กู้หนิงและเลิ่งเชาถิงหยุดเดิน ทั้งคู่คิดว่าผู้ชายที่ร้องเรียกคงมีเรื่องด่วนร้อนใจ
อย่างไรก็ตามเมื่อกู้หนิงสังเกตเห็นกู้ชางเจี่ยงที่ยืนอยู่ข้างผู้ชายคนนั้น เธอพลันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“อาจารย์กู้ ยินดีที่ได้พบค่ะ” กู้หนิงทัก
“แม่หนู รู้จักฉันด้วยหรือ?” กู้ชางเจี่ยงประหลาดใจ กู้หนิงดูคุ้นๆในสายตาเขา แต่เขานึกไม่ออกว่าใคร เคยพบกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่า
กู้หนิงยิ้มให้อย่างสุภาพ “พวกเราพบกับที่งานเลี้ยงวันเกิดนายท่านฉินค่ะ กู้หนิงค่ะ”
“โอ้ เป็นหนูนี่เอง” กู้ชางเจี่ยงจำได้แล้ว ตอนนั้นกู้หนิงแต่งหน้าจัดเต็ม แต่ตอนนี้เธอไม่ได้แต่งหน้า กู้ชางเจี่ยงจึงจำเธอไม่ได้ตั้งแต่แรก กระนั้นก็ยังจำชื่อเธอได้
“พวกคุณเรียกพวกเราเอาไว้เป็นเพราะจานพาสเทลนี่ใช่ไหมคะ?” กู้หนิงถาม
“ใช่! ลูกศิษย์ของฉันเดินผ่านร้านนั้นและเห็นจานใบนี้ เขาไม่มั่นใจว่าเป็นของแท้รึเปล่า เมื่อพวกเรากลับไปที่ร้านอีกครั้ง ก็พบว่ามันถูกขายไปแล้ว” กู้ชางเจี่ยงกล่าว
“ในเมื่ออาจารย์อยากดู เชิญค่ะ” จากนั้นกู้หนิงก็ยื่นจานให้กู้ชางเจี่ยง
“ฉันคิดว่าพวกเราหาที่ดูมันใกล้ๆดีกว่า”
กู้หนิงเห็นด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไปร้านน้ำชาที่อยู่ใกล้ๆ
กู้ชางเจี่ยงพิจารณาจานใกล้ๆอยู่พักใหญ่ๆ หลังจากที่มั่นใจว่าเป็นของแท้แน่นอน เขาก็ตื่นเต้นมากกว่าเดิม เขาถามกู้หนิงว่า “หนูกู้ หนูซื้อมันเพราะหนูรู้ว่ามันเป็นของแท้ใช่ไหม?”
กู้หนิงยิ้ม อธิบายว่า “หนูเองก็ไม่แน่ใจค่ะ แต่คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงก็เลยซื้อ ต่อให้เป็นของปลอม ก็ยังเป็นจานที่สวยอยู่ดี สามารถเอามันมาตกแต่งบ้านได้”
กู้ชางเจี่ยงพยักหน้ารับ
“หนูกู้ ฉันขอถามหนูหน่อยว่า หนูเต็มใจขายให้พวกเราไหม?” กู้ชางเจี่ยงถาม เขาต้องการมันมาเป็นชุดสะสมของเขาจริงๆ