ตอนที่ 153: อย่าใจร้าย!
“จะประลองสู้กันอีกแล้วเหรอ? ผมตั้งตารอเลย ผมยังไม่เคยเห็นบอสของผมแพ้ใครมาก่อน” ฮ่าวหรันตื่นเต้นขึ้นมา
“ใช่!” ฉินซีหุนและพวกที่เหลือเห็นด้วย
“นายหมายความว่ายังไง? พวกนายทุกคนอยากเห็นฉันแพ้เหรอ?” กู้หนิงหรี่ตามองพวกเขา ประกายแววตาคมกล้าฉายวาบวับในดวงตาของเธอ
ฮ่าวหรันและคนอื่นพลันตระหนักได้ว่าพูดผิดอีกแล้ว พวกเขารีบปฏิเสธทันที
“ไม่แน่นอน!”
“พวกเราแค่อยากเห็นว่าเธอนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน”
“ใช่แล้ว! พวกเราไม่ต้องการให้เธอแพ้นะ”
“สายไปแล้วล่ะ” กู้หนิงไม่เชื่อพวกเขา เธอพูดด้วยน้ำเสียงขึงขังต่อว่า “พวกนายทั้งหมดโหลดแอปวิ่งเพื่อบันทึกระยะวิ่งพวกนายหลังจากกลับบ้านคืนนี้ พวกเราทั้งหมดจะไปที่ภูเขาหยุนไท่พรุ่งนี้แปดโมงเช้าเพื่อปีนเขา! ยกเว้นอ้ายยี่ ฉู่เพ่ยหานและหยูหมิงซีนอกนั้นต้องวิ่งให้ครบสิบกิโลเมตรก่อนถึงเวลานัด ถ้าใครทำไม่สำเร็จจะถูกลงโทษให้วิ่งอีกสิบกิโล”
“อะไรนะ?!”
ได้ยินกันแบบนั้น เด็กหนุ่มทั้งสี่คนต่างพากันหน้าเปลี่ยนสีและคร่ำครวญ
“ไม่นะ! บอส อย่าใจร้ายกับพวกเราเลยนะ!” ฮ่าวหรันพูด
“บอส ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่คนใจร้ายใช่ไหม?” ฉินซีหุนเว้าวอน
“บอส ฉันขอไม่ได้ทำได้ไหม?” มู่เค่อทำหน้าเสียใจ
“บอส ฉันวิ่งแค่หกกิโลเมตรได้ไหม?” จางเทียนปิงอ้อนวอน
“ใครที่โอดครวญวิ่งเพิ่มอีกสองกิโล” กู้หนิงข่มขู่ เด็กหนุ่มทั้งสี่คนเงียบสนิททันที
ไม่ว่าภายในใจพวกเขาจะไม่พอใจ พวกเขาไม่กล้าที่จะเถียงเธอ พวกเขาได้แต่ก้มหน้าก้มตากินต่อไป
อันที่จริงกู้หนิงไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น เธอไม่ได้เข้าเรียนตอนเย็นแล้วและไม่ค่อยได้ฝีกพวกเขาเท่าไหร่ ดังนั้นเธอจึงถือเอาโอกาสนี้ฝึกซ้อมพวกเขาไปในตัว
ในอนาคตเธอคงยุ่งจนไม่มีเวลามากกว่านี้
“ฉันคิดว่าเป็นความที่ดีนะปีนเขา ขอฉันร่วมด้วยได้ไหมและทำไมเราไม่ถือโอกาสนี้ลองสู้กันบนเขาหยุนไท่ซะเลย? ซื่อตู้เย่พูด
ฉู่ซวนเฟิงและฉู่เพ่ยหานตกใจจนแทบจะตกเก้าอี้ พวกเขาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง อะไรนะ? ซื่อตู้เย่จะไปภูเขาหยุนไท่กับพวกเขา? เขา ผู้ชายที่โตแล้วจะไปปีนเขากับแก๊งเด็กนักเรียนไฮสคูล? ไม่น่าเชื่อ!
“ได้สิคะ” กู้หนิงไม่ปฏิเสธ
แม้ว่าเธอจะยังไม่รู้จักเขา เธอไม่คิดกลัวว่าเขาจะทำอันตรายเธอ
“งั้นฉันไปด้วยคน” ฉู่ซวนเฟิงพูดขึ้นมา ในฐานะผู้ช่วยคนสำคัญของซื่อตู้เย่ในขณะที่เขายังอยู่ในเมือง F ฉู่ซวนเฟิงคิดว่าเขาต้องติดตามหัวหน้าของเขาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ระหว่างทานมื้อค่ำพวกเขาพูดคุยกันไปกินข้าวกันไป มีเพียงฉู่เพ่ยหานที่นั่งเงียบมาตลอดซึ่งนั่นทำให้ฮ่าวหรันรู้สึกประหลาดใจมาก เขาถามเธอว่า "เพ่ยหาน ทำไมเธอถึงเงียบจังเลยล่ะ? แปลกมาก!”
สิ้นเสียงฮ่าวหรัน สายตาทุกคนก็พุ่งไปที่ฉู่เพ่ยหาน ฉู่เพ่ยหานรู้สึกอึดอัดรีบอธิบายว่า “เอ่อ อาหารที่นี่อร่อยมาก ฉันเลยเอาแต่กินน่ะ”
ทุกคนยกเว้นฉู่ซวนเฟิงและซื่อตู้เย่ที่รู้เหตุผลที่แท้จริง นอกนั้นล้วนเชื่อคำพูดของเธอเพราะเธอเป็นคนที่ชอบการกินเป็นอย่างมาก กู้หนิงยังคงสงสัยอยู่ เธอสังเกตท่าทางของเพื่อนสาวคนนี้ตั้งแต่ตอนที่ซื่อตู้เย่มาถึง ดูเหมือนว่าเพื่อนของเธอจะกลัวผู้ชายที่ชื่อซื่อตู้คนนี้เป็นอย่างมาก บางทีอาจเป็นเพราะฐานะของเขาก็เป็นไปได้
เป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม ถึงเวลาที่ทุกคนแยกย้ายกลับบ้าน
ซื่อตู้เย่อยากจะไปส่งกู้หนิงกลับบ้านแต่มันคงไม่เหมาะที่เขาจะทำแบบนั้นในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไปส่งฉู่ซวนเฟิงและฉู่เพ่ยหานกลับบ้านแทน
กู้หนิงกลับบ้านพร้อมกับหยูหมิงซี ฮ่าวหรันและเด็กหนุ่มที่เหลือจะไปส่งกู้หนิงและหยูหมิงซีแต่ถูกพวกเธอบอกปัด ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วกู้หนิงไม่ต้องการรบกวนเวลาพวกเขา
นับตั้งแต่ที่ซื่อตู้เย่ปรากฏตัวขึ้น ฉู่เพ่ยหานก็รู้สึกกังวลตลอดทาง เธอไม่สบายใจเลยจนกระทั่งกลับถึงบ้าน
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดว่าซื่อตู้เย่จะไปปีนเขากับพวกเธอในวันพรุ่งนี้ ฉู่เพ่ยหานก็ไม่มีความสุขอีกครั้ง
เธอแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมซื่อตู้เย่ที่เป็นถึงหัวหน้าใหญ่ของแก๊งฉิงต้องการจะไปปีนเขากับพวกเธอที่เป็นเพียงเด็กไฮสคูลทำไม คงเป็นภาพที่แปลกประหลาดดี!
เธอได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้ฝนจะตกและแผนของพวกเธอถูกยกเลิกหรือไม่ซื่อตู้เย่มีงานด่วนจนมาไม่ได้พรุ่งนี้
เมื่อกู้หนิงกลับมาถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน กู้ม่านยังคงไม่นอน ทั้งกู้ชิงและเจียงซู่อยู่เป็นเพื่อนเธอ พวกเขาอยู่ดึกเพราะเจียงซู่มีเรื่องสำคัญต้องบอกกู้หนิง
เขาบอกกู้หนิงว่าเขาได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจและเอกสารอื่นๆ ที่จำเป็นในบ่ายวันนี้ เขายังติดต่อกับผู้ขายวัสดุก่อสร้าง ผู้ขายอยู่ในเมือง D ดังนั้นเขาจะไปที่เมือง D ในวันพรุ่งนี้เพื่อเซ็นสัญญา เมื่อเซ็นสัญญาแล้วจึงสามารถส่งวัสดุก่อสร้างได้
ร้านและพนักงานเตรียมพร้อมที่จะเปิดแล้วทันทีที่ของมาถึง
เจียงซู่กำลังจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมกับกู้หนิง แต่ถูกกู้หนิงขัดจังหวะขึ้นว่า “ลุงไม่จำเป็นต้องบอกหนูทุกอย่างก็ได้ค่ะ หนูเชื่อใจลุงว่าสามารถดูแลธุรกิจนี้ได้อย่างเต็มที่ หากลุงติดขัดที่ตรงไหน ลุงค่อยบอกหนูแล้วกัน”
กู้หนิงไม่ต้องการก้าวก่ายธุรกิจของเจียงซู่
ในเมื่อกู้หนิงพูดแบบนั้น เจียงซู่จึงหยุดพูด
หลังจากที่ลุงกับป้ากลับบ้านตัวเอง กู้หนิงก็บอกกู้ม่านว่าพรุ่งนี้เธอมีปีนเขากับเพื่อน กู้ม่านโอเคเห็นด้วย
เช้าวันต่อมากู้หนิงตื่นหกโมงครึ่ง เธอสวมเสื้อลำลองสุภาพพร้อมมัดผมหางม้า ด้วยอานุภาพแห่งการบำรุง ผิวของกู้หนิงจึงเรียบเนียนและไร้ที่ติ ฉู่เพ่ยหานและหยูหมิงซีอิจฉาผิวเธอมาก
เกือบเจ็ดโมงแล้วเมื่อกู้หนิงกินข้าวเช้าเสร็จ เธอคว้าเป้สะพายหลังและออกจากบ้านไป
ระยะทางเกือบเจ็ดกิโลเมตรจากเฟิ่งหัวแมนชั่นถึงภูเขาหยุนไท่ ใช้เวลาสี่สิบนาทีในการวิ่งไปถึงที่นั่น กู้หนิงไม่รีบ มันคงไม่เป็นไรถ้าเธอจะไปถึงสักเจ็ดโมงห้าสิบ
ราวๆเจ็ดโมงสี่สิบกู้หนิงก็มาถึง ทุกคนก็มาถึงกันแล้ว
เด็กหนุ่มทั้งสี่คนต้องทำภารกิจในการวิ่งสิบกิโลเมตรก่อนแปดโมงเช้า ดังนั้นพวกเขาจึงตื่นแต่เช้าตรู่และวิ่งไปที่ภูเขาหยุนไท่
อย่างไรก็ตามมันไม่ไกลพอจากบ้านของพวกเขาไปยังภูเขาหยุนไท่ ดังนั้นพวกเขาจึงวิ่งต่อไปที่บริเวณรอบๆ ภูเขาหยุนไท่
ในที่สุดพวกเขาก็บรรลุเป้าหมายก่อนเจ็ดโมงครึ่ง แต่ละคนเหนื่อยเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนได้ พวกเขารู้สึกเหมือนกำลังจะตาย พวกเขานอนพักเกือบยี่สิบนาทีเมื่อกู้หนิงมาถึง อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครฟื้นตัว
แม้ว่าภูเขาหยุนไท่จะมีทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่ก็มีผู้มาเยี่ยมชมไม่มากนักเนื่องจากส่วนใหญ่มาที่นี่เพื่อปีนเขา
รถของซื่อตู้เย่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่ตรงที่เขาอยู่มีลมเย็นพัดผ่าน
ตอนที่ 154: เธอเก่งมาก
ซื่อตู้เย่และฉู่ซวนเฟิงนั่งอยู่ในรถ ส่วนฉู่เพ่ยหาน, หยูหมิงซีและอ้ายยี่นั่งบนม้านั่งหินคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ ฮ่าวหรันและเด็กหนุ่มอีกสามคนนอนอยู่บนพื้นหญ้าใกล้ๆกัน
ฉู่ซวนเฟิงนั่งอยู่บนเบาะคนขับ เปิดหน้าต่างหันหน้าไปทางขวาเขาจึงสังเกตเห็นกู้หนิงวิ่งมาแต่ไกล เขาเบิกตากว้างพูดว่า "ไม่มีทาง! เธอวิ่งมาที่นี่เหรอ?”
ทุกคนได้ยินคำพูดของฉู่ซวนเฟิงจึงพากันหันไปมองดูทางเข้า พวกเขาล้วนตกตะลึง
ฉู่ซวนเฟิงขยับตัวลุกออกมาจากรถทันทีเมื่อกู้หนิงวิ่งเข้ามาใกล้ เขาถามอย่างไม่ลังเลว่า “นี่ เธอวิ่งมาตลอดทางตั้งแต่เฟิ่งหัวแมนชั่นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ” กู้หนิงตอบ
เธอวิ่งเป็นระยะทางกว่าเจ็ดกิโลเมตรและรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย อย่างไรก็ตามลมหายใจของเธอเร็วขึ้นเล็กน้อยและหน้าแดงนิดหน่อยเท่านั้น ดูไม่เหมือนกับคนที่วิ่งระยะไกลเลย
“พระเจ้า! เจ็ดกิโลเมตร! เธอดูไม่เหนื่อยเลยสักนิด บ้าไปแล้ว!” ถึงแม้ฉู่ซวนเฟิงจะเตรียมใจไว้แล้วว่าใช่ เขาก็อดทึ่งกับคำตอบยืนยันของเธอไม่ได้ ถ้าถามว่าเขาสามารถวิ่งเจ็ดกิโลได้ไหม แน่นอนเขาวิ่งได้ แต่มันทำให้เขาเสียพลังงานไปมาก เขาคงไม่สามารถยืนตัวตรงและหายใจไม่หอบไม่ได้แน่
ซื่อตู้เย่รู้ว่ากู้หนิงไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาแต่ก็ยังทึ่งกับความแข็งแรงที่น่าตื่นเต้นของเธอ บางทีเขาอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าเธอก็ได้
กู้หนิงยิ้มรับแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอมองซื่อตู้เย่ที่เพิ่งลงมาจากรถและกล่าวทักทายเขา ซื่อตู้เย่พยักหน้ารับ
จากนั้นกู้หนิงก็พบว่าเพื่อนผู้ชายกำลังนอนอยู่บนพื้นหญ้า “พวกนายวิ่งเสร็จกันแล้วหรอ?”
“เสร็จแล้ว เธอ เธอสามารถเช็คที่โทรศัพท์ได้” ฮ่าวหรันพยายามหายใจให้เป็นปกติ
“ไม่จำเป็น ฉันเชื่อนาย นายพักได้ถึงเก้าโมงจากนั้นพวกเราจะขึ้นเขากัน” กู้หนิงกล่าว
กู้หนิงเชื่อใจเพื่อนของเธอและครั้งนี้เป็นการฝึกที่ทรหดพอสมควร เธอไม่อยากกดดันพวกเขามากเกินไป
กู้หนิงมองซื่อตู้เย่อีกครั้ง “อีกชั่วโมงกว่าจะถึงเก้าโมง คุณอยากจะประลองสู้กับฉันตอนนี้เลยไหมคะ?”
“แต่เธอเพิ่งวิ่งมาที่นี่ พักก่อนเถอะ” ซื่อตู้เย่ตอบ
กู้หนิงเพิ่งวิ่งเจ็ดกิโลเมตร ถึงเธอจะไม่ได้ดูเหนื่อยมากแต่ก็ต้องสูญเสียกำลังไปบ้าง มันไม่ยุติธรรมที่จะสู้กันตอนนี้
“ถ้าอย่างนั้นแปดโมงครึ่งดีไหมคะ?” ความจริงกู้หนิงไม่จำเป็นต้องพัก แต่เธอไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของซื่อตู้เย่
กู้หนิงเดินไปซื้อน้ำให้พวกเขา เธอตั้งใจใส่พลังลงไปในขวดน้ำเพื่อให้เด็กหนุ่มทั้งสี่คนฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
หลังจากดื่มน้ำ เด็กหนุ่มทั้งสี่รู้สึกถึงกระแสความเย็นแล่นผ่านทั่วร่างของพวกเขา ในไม่ช้ากำลังวังชาของพวกเขาก็ฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ภายในเวลาสิบนาทีพวกเขาก็กลับมาเป็นปกติและรู้สึกถึงพลังงานมากกว่าเดิม
เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกที่พวกเขาสามารถฟื้นตัวภายในระเวลาสั้นๆ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันทั้งที่ๆก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
เมื่อเวลาเดินมาถึงแปดโมงครึ่ง พวกเขาพากันเดินไปยังที่ว่างไม่มีคน กู้หนิงและซื่อตู้เย่เตรียมพร้อมจะปะทะฝีมือกัน
สำหรับคนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังซื่อตู้เย่ย่อมเทคะแนนให้กู้หนิง กู้หนิงสามารถล้มนักเลงสิบเอ็ดคนที่ถือกระบองเหล็กต่อหน้าพวกเขาเมื่อวาน ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะไม่เข้าข้างกู้หนิง
อย่างไรก็ตามมีเพียงฉู่ซวนเฟิงและฉู่เพ่ยหานที่มีความคิดต่างออกไป แน่นอนว่ากู้หนิงมีความสามารถที่โดดเด่น เธอเก่งกว่าฉู่ซวนเฟิงแต่ซื่อตู้เย่นั้นเก่งกว่าฉู่ซวนเฟิงมาก
พวกเขายังไม่รู้แจ้งถึงความสามารถที่แท้จริงของกู้หนิงและทักษะที่เธอแสดงออกมาก่อนนั้นล้วนยังไม่ใช่ของจริง แต่พวกเขาก็ยังเชื่อว่าซื่อตู้เย่เก่งกว่ากู้หนิง ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่ากู้หนิงไม่สามารถเอาชนะได้
ทั้งกู้หนิงและซื่อตู้เย่ไม่มีความตั้งใจที่จะฟาดฟันอีกฝ่ายให้ล้มไปข้าง ดังนั้นการประลองจึงจำกัดเวลาที่ห้านาที
พวกเขาพยักหน้าให้กันจากนั้นการประลองก็เริ่มขึ้น
ในตอนเริ่มต้นไม่มีใครใช้พลังเต็มกำลัง มันจึงดูไม่ชัดว่าใครได้เปรียบใคร อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปทั้งสองก็เริ่มใส่แรงโจมตีอีกฝ่าย กู้หนิงสัมผัสถึงพลังจากซื่อตู้เย่
ซื่อตู้เย่ก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน
กู้หนิงเป็นแค่เด็กสาววัยรุ่น น่าตกใจมากที่เธอไม่ธรรมดาเลย
ผ่านไปไม่นานกู้หนิงก็รู้ชัดว่าซื่อตู้เย่เก่งกว่าเธอ เธอกำลังจะแพ้
ถึงกระนั้นกู้หนิงไม่ได้รู้สึกว่าถูกซื่อตู้เย่ควบคุมเหมือนที่เธอสู้กับเลิ่งเชาถิง ดังนั้นแม้ว่าซื่อตู้เย่จะเก่งกว่ากู้หนิงแต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำร้ายเธอ
ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือดเต็มไปด้วยความตื่นเต้นสุดขีด แม้ว่าการต่อสู้เมื่อวานจะดุเดือดเช่นกัน แต่ก็ไม่สนุกเพราะนักเลงพวกนั้นอ่อนแอเกินไปเมื่อเทียบกับกู้หนิง
สิ่งที่กู้หนิงกับซื่อตู้เย่กำลังทำอยู่ตอนนี้คือการประลองฝีมือของจริงระหว่างคนที่เก่งการต่อสู้
กู้หนิงไม่ต้องการแพ้เพราะฉะนั้นเธอจึงแอบใช้พลังเพื่อเพิ่มความแข่งแกร่งให้ตัวเอง ในกรณีนี้คนวงในอาจรู้ว่าซื่อตู้เย่นั้นเก่งกว่า แต่คนนอกไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครจะชนะ
ถึงกระนั้นทั้งซื่อตู้เย่และฉู่ซวนเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมากกับความสามารถของกู้หนิง
ซื่อตู้เย่ที่มีประสบการณ์มากกว่าแต่ยังไม่สามารถเอาชนะกู้หนิงได้ เป็นความจริงที่น่าผิดหวังเพราะช่องว่างอายุและประสบการณ์ระหว่างเขาและกู้หนิง
ซื่อตู้เย่ไม่เต็มใจยอมรับ แต่เขาต้องยอมรับความจริงว่ากู้หนิงนั้นร้ายกาจจริงๆ
ห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็วถึงแม้ทุกคนไม่อยากให้คนทั้งคู่หยุด ฉู่ซวนเฟิงจึงต้องเตือนว่าเวลาหมดแล้ว
ซื่อตู้เย่เป็นนายของเขา เขาต้องทำตามคำสั่ง
“เธอเก่งมาก” ซื่อตู้เย่ชมดื้อๆ
“คุณเก่งกว่าต่างหากค่ะ” กู้หนิงตอบกลับโดยเร็ว
“ดื่มน้ำแล้วพักก่อนเถอะ!” ฉู่ซวนเฟิงหยิบน้ำออกมาสองขวดและส่งให้ซื่อตู้เย่และกู้หนิงคนละขวด
พวกเขาเตรียมอาหารเช้ามาและกินก่อนเก้าโมงเช้า และจากนั้นก็เริ่มปีนเขา
พวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนดังนั้นจึงปีนเขาด้วยความเร็วปกติ
วันต่อมาหลังจากวันเกิดนายท่านตระกูลฉิน ลี่เจินเจินกำลังจะกลับแต่ฉินอี้ฉิงชวนให้เธออยู่ต่อ ดูเหมือนว่าฉินอี้ฉิงอยากให้ลี่เจินเจินอยู่เป็นเพื่อนเธอ แต่ความจริงแล้วเธอต้องการให้ลี่เจินเจินอยู่กับฉินอี้ฟานให้นานอีกหน่อย
ลี่เจินเจินลังเลที่จะอยู่ต่อเพราะเธอกลัวกู้หนิงแต่เธอไม่อยากเสียโอกาสงามๆนี้ไป ดังนั้นเธอจึงเกลี้ยกล่อมตัวเองให้อยู่ต่อ
ถึงแม้ว่าฉินอี้ฟานจะไม่ได้ชอบลี่เจินเจิน ฉินอี้ฉิงอยากจะลองดูสักครั้ง พวกเขาสามคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกันโดยเฉพาะเมื่อโตขึ้น ฉินอี้ฉิงคิดเองว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะตกหลุมรักกันเมื่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
แน่นอนว่าฉินอี้ฟานรู้ว่าพี่สาวตัวเองคิดอะไรอยู่ เขาออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นถึงสองวันและไม่รับโทรศัพท์จากพี่สาว ฉินอี้ฉิงหัวเสียมาก