ตอนที่ 149: แก๊งฉิงเข้าช่วย
มองเผินๆเหมือนพวกนักเลงจากแก๊งอินทรีบินได้เปรียบฮ่าวหรันและเพื่อนๆของเขา
“บอกมา ใครเป็นคนส่งพวกแกมา?” ฮ่าวหรันตะคอก
“ถ้าไม่บอกล่ะ?” หัวหน้านักเลงพูดตีรวน
“ถ้าไม่บอก พวกเราก็คงต้องใช้กำลัง” กู้หนิงกล่าว เธอรู้ว่าพวกมันไม่มีทางพูดจนกว่าจะรู้สึกกลัว ถ้าพวกเธออัดมันจนเละบางทีมันอาจจะยอมบอก
กู้หนิงหันไปมองฉู่ซวนเฟิงและพูดกับเขาว่า “พี่ฉู่ ทำไมเราไม่แข่งกันที่นี่เลยล่ะ? มีพวกนักเลงราวๆยี่สิบคน ใครล้มพวกมันได้มากที่สุดคนนั้นชนะ”
สีหน้าฉู่ซวนเฟิงยังคงราบเรียบแต่ภายในใจนึกกังวล เขารู้ว่าตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่งเขาก็แพ้แล้ว ถึงอย่างนั้นมันคงน่าขายหน้าถ้าเขายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “ได้”
“แต่บอส พวกมันมีกันตั้งหลายคนและมีแท่งเหล็กในมือกันทุกคน” ฮ่าวหรันพยายามห้ามกู้หนิง
ถึงแม้กู้หนิงจะเก่งกว่าเขาและเพื่อนๆคนอื่น แต่ตอนนี้สถานการณ์มันไม่เหมือนกัน นักเลงพวกนี้มีกันยี่สิบคนเชียวนะ!
“ใช่ บอส” ฉินซีหุนและคนอื่นเป็นห่วงเธอ
“ไม่เป็นไรน่า น่าตื่นเต้นออกที่ได้สู้ท่อนเหล็กด้วยมือไม่ใช่เหรอ?” กู้หนิงกล่าว ดูเหมือนว่าเธอกำลังตื่นเต้น ประกายแววตาสั่นไหว ไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลแต่อย่างใด เธอพูดเตือนเพื่อนด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ
“พวกนายอยู่นี่ อย่าเข้ามายุ่งเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
ฮ่าวหรันและคนอื่นไม่สามารถเปลี่ยนใจเธอได้ พวกเขาได้แต่รับคำของเธอ ในเมื่อเธอบอกว่าไม่เป็นไรแสดงว่าเธอต้องชนะแน่
“ปากดีเหลือเกินนะ! พวกเราลุย!” หัวหน้านักเลงไม่พอใจกับคำพูดของกู้หนิง เขายกท่อนเหล็กขึ้นตรงเข้าฟาดกู้หนิงและฉู่ซวนเฟิงทันที
ในขณะเดียวกันทั้งกู้หนิงและฉู่ซวนเฟิงก็วิ่งไปข้างหน้า มันเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน
ถึงแม้พวกนักเลงจะมีท่อนเหล็กกันคนละแท่งแต่พวกเขาไม่ได้มีทักษะการต่อสู้ที่ดีเลิศ พวกเขาอาจล้มคนธรรมดาทั่วไปได้แต่ไม่ใช่กู้หนิงและฉู่ซวนเฟิง
กู้หนิงและฉู่ซวนเฟิงโจมตีพวกเขาอย่างรวดเร็วแม่นยำและรุนแรง บรรดานักเลงต่างร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บและไม่ช้าพวกเขาก็สู้ต่อไปไม่ไหว บางคนถูกเตะจนกระเด็นติดผนัง บางคนกระดูกหัก แต่กู้หนิงและฉู่ซวนเฟิงไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
นักเลงทั้งยี่สิบคนต่างขวัญผวา พวกเขาคาดไม่ถึงว่าผู้ชายและผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาจะแข่งแกร่งขนาดนี้!
ฮ่าวหรันและคนที่เหลือตื่นตะลึงที่เห็นฉากต่อสู้ที่น่าเหลือเชื่อนี้ พวกเขารู้สึกราวกับได้ดูหนังแอ็คชั่น ไม่ใช่สิ แม้แต่ในหนังแอ็คชั่นยังไม่น่าเหลือเชื่อเท่านี้มาก่อน พวกเขาต่อสู้กันจริงๆ ในขณะที่ในหนังเป็นแค่การแสดง
เห็นได้ชัดว่ากู้หนิงเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าฉู่ซวนเฟิง หลายนาทีผ่านไปการต่อสู้อันดุเดือดก็จบลง กู้หนิงล้มนักเลงไปได้สิบเอ็ดคน ส่วนฉู่ซวนเฟิงล้มไปได้เก้าคน
ความจริงกู้หนิงไม่ต้องการให้ฉู่ซวนเฟิงขายหน้า ดังนั้นเธอจึงออมแรงตัวเองไว้หลายส่วน
“ฉันแพ้แล้ว” ฉู่ซวนเฟิงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างไม่อิดออด
ฉู่ซวนเฟิงรู้ดีว่ากู้หนิงออมแรงของเธอเพื่อช่วยรักษาหน้าของเขา เธอโจมตีนักเลงจนบาดเจ็บไปหลายคนจากนั้นก็ปล่อยให้ฉู่ซวนเฟิงเข้ามาซ้ำต่อ ตอนนี้ฉู่ซวนเฟิงรู้สึกนิยมชมชอบกู้หนิงมากกว่าเดิมหลายเท่า
“ว้าว ทั้งสองคนสุดยอดไปเลย!”
“ใช่ๆ สุดยอดมากๆ!”
ทุกคนโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ พวกเขาชื่นชมกู้หนิงและฉู่ซวนเฟินมากกว่าเดิมและพนักงานร้านV5 ก็มองพวกเขาด้วยความชื่นชมระคนนับถือด้วยเช่นกัน ฉู่ซวนเฟิงเปรียบเสมือนพระเจ้าในขณะที่กู้หนิงเปรียบเสมือนเทพธิดาในสายตาของพวกเขา
“เอาล่ะ ทีนี่ถึงเวลาเจรจากันได้รึยัง?” กู้หนิงพูด
ได้ยินแบบนั้นทุกคนพลันตระหนักว่ายังมีเรื่องที่ต้องสะสาง
พวกนักเลงร้องโอดโอยอยู่บนพื้น พนักงานร้านเตะพวกเขาสองสามทีด้วยความโกรธ
“ตอนนี้บอกได้รึยังว่าใครเป็นคนส่งพวกแกมา?” กู้หนิงจ้องไปที่ตัวหัวหน้า
ตัวหัวหน้าขดตัวด้วยความกลัวแต่เขายังไม่ยอมอ่อนข้อ เขาสวนกลับเป็นคำขู่แทน “พวกเรามาจากแก๊งอินทรีบิน พวกแกไม่กลัวว่าเราจะกลับมาแก้แค้นรึไงกันห๊ะ!?”
ฮ่าวหรันและเด็กหนุ่มคนอื่นลังเล แม้ว่าพวกเขาจะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอิทธพล ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่อยากมีเรื่องกับแก๊งอันธพาล ยกเว้นกู้หนิง ฉู่ซวนเฟิงและฉู่เพ่ยหานที่ไม่สนใจคำขู่ใดๆ
“แก๊งอินทรีบิน? อ้อ ใช่แก๊งเล็กๆที่มีคนเพียงสองร้อยคนน่ะเหรอ? ไม่รู้หรือว่าร้านนี้มีแก๊งฉิงดูแลอยู่” ฉู่ซวนเฟิงเปิดปากพูดขึ้นบ้าง ในเมื่อพูดไปแล้วเขาจึงตัดสินใจที่จะดูแลบาร์V5 อย่างไรก็ตามบรรดาคนที่ไม่รู้จักตัวตนของเขาต่างก็ตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อใดกันที่แก๊งฉิงดูแลร้านนี้?
พวกเขาเข้าใจว่าการที่ฉู่ซวนเฟิงพูดชื่อแก๊งฉิงเพื่อที่จะขู่แก๊งอินทรีบิน แต่มันเหมาะหรือที่จะใช้ชื่อแก๊งฉิง? ถ้าหากเรื่องนี้รู้ถึงหูแก๊งฉิงเข้าจริงๆจะเป็นอย่างไร?
พวกเขารู้สึกกังวลแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาเสียงดัง
จากการคาดการณ์ของกู้หนิง การที่ฉู่ซวนเฟิงพูดชื่อแก๊งฉิงขึ้นมานั้นย่อมมีเหตุผล อย่างนั้นก็ดีต่อร้านของฮ่าวหรัน เธอเชื่อว่าเขาคงรู้จักใครสักคนในแก๊งฉิง
มีเพียงฉู่เพ่ยหานคนเดียวที่รู้ความจริง
“อะไรนะ?” สีหน้าของนักเลงทั้งยี่สิบคนเปลี่ยนสี พวกเขาตัวสั่นด้วยความกลัวแต่ยังสงสัยอยู่ “กะ แก แน่ใจเหรอ?”
“แกคิดว่าใครก็สามารถแอบอ้างชื่อแก๊งฉิงได้เหรอ?” ฉู่ซวนเฟิงพูดเสียงเย็นยะเยือก
ขณะนี้นักเลงจากแก๊งอินทรีบินทั้งยี่สิบคนเชื่ออย่างสนิทใจ ไม่มีใครใจกล้าแอบอ้างชื่อแก๊งฉิงสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างแน่นอน ถ้าแก๊งฉิงรู้เรื่องนี้เข้าคิดหรือว่าคนที่แอบอ้างจะรับมือกับผลที่ตามมาไหว
ดังนั้นหัวหน้านักเลงจึงยอมประนีประนอม “เจ้าของชาร์มบาร์เป็นคนส่งพวกเรามา ตั้งแต่ V5 เปิด ลูกค้าของชาร์มบาร์ก็ลดลงไปครึ่ง”
ได้ยินเช่นนั้น ฮ่าวหรัน ฉินซีหุน จางเทียนปิงและพนักงานร้านต่างพากันโมโห
“ฮ่าวหรัน พวกเราควรทำอย่างไรต่อ?” ฉินซีหุนถาม
“บอส เธอคิดว่าไง?” ฮ่าวหรันกลับถามกู้หนิงแทน
กู้หนิงไม่ตอบเขาถามเขาในทันที เธอหันไปมองหัวหน้านักเลงและถามว่า “แกแน่ใจใช่ไหมว่าเจ้าของชาร์มบาร์เป็นคนส่งพวกแกมา? ถ้าแกโกหก เจอดีแน่”
กู้หนิงต้องการความแน่ใจว่ามันพูดความจริงไม่ใช่ปั่นหัวพวกเธอเล่น
ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นชาร์บาร์ แต่แถวนี้มีบาร์อยู่เต็มไปหมด อาจเป็นใครก็ได้สวมรอยใช้ชื่อชาร์มบาร์
ตอนที่ 150: ความจริง
“เรื่องจริงนะ! เป็นเจ้าของชาร์มบาร์ที่เป็นคนส่งพวกเรามาที่นี่!” หัวหน้านักเลงทำสีหน้าจริงจัง เขาไม่กล้าโกหก
“นายมีเบอร์ไหม?” กู้หนิงถาม
“มี” เขาตอบ
“เอาเบอร์มาให้ฉัน” กู้หนิงพูด
“ได้ๆ” หัวหน้านักเลงไม่ลังเลรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและบอกเบอร์กู้หนิงโดยไม่สนความเจ็บของตัวเอง
กู้หนิงฉวยเอาโทรศัพท์จากมือของเขาและโทรหาเจ้าของชาร์มบาร์
เสียงรอสายดังอยู่สามครั้งเท่านั้นราวกับว่าปลายสายกำลังรอเบอร์นี้โทรเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น
กู้หนิงยังไม่ทันได้พูดอะไรปลายสายก็กรอกเสียงรัวเร็วว่า “เป็นยังไง? พวก V5 กลัวไหม?”
หัวหน้านักเลงพูดความจริง
รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏบนใบหน้ากู้หนิง เธอพูดข่มขู่เขาไปว่า “คุณหวัง คุณจะจ่ายค่าชดเชยเสียหายที่ V5 หรือจะให้ฉันไปทำลายร้านของคุณดี?”
ปลายสายตกใจไปชั่วขณะ เขาเพิ่งตระหนักว่าเขาทำพลาดไปที่ด่วนเปิดเผยความจริงว่าเขาส่งนักเลงไปที่ V5 และตอนนี้พวกมันอยู่ในกำมือของอีกฝั่ง
เขาจ้างนักเลงตั้งยี่สิบคน! พวกมันแพ้ได้ยังไง? หรือเป็นเพราะพวก V5 แข่งแกร่งกว่า? เขาเคยสืบข้อมูลว่าเจ้าของ V5 เป็นแค่นักเรียนธรรมดาๆไม่มีเส้นสายหรือรู้จักใครในแก๊งนักเลง
ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมรับแน่นอน ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสงบสติอารมณ์และพูดว่า "คุณเป็นใคร? คุณพูดอะไร? ผมไม่เข้าใจ”
กู้หนิงแค่นเสียงเยาะ “คุณหวัง ฉันรู้ว่าคุณเข้าใจเพราะฉะนั้นเลิกแสดงได้แล้ว สิ่งที่คุณพูดในตอนแรกเป็นหลักฐานมัดตัวคุณแล้ว กรุณาอย่าท้าทายความอดทนของพวกเรา พวกเราไม่ได้มีความอดทนสูงขนาดนั้น คนของคุณอยู่ในมือเราแล้ว คุณคิดจริงๆหรือว่าแก๊งอินทรีบินสามารถจัดการพวกเราได้?”
“เธอ…” นายหวังอึกอักไม่รู้จะโต้กลับอย่างไร เขาไม่พอใจที่ถูกขู่ในขณะที่เขาได้แต่หวาดผวา
พวกเขาไม่กลัวแก๊งอินทรีบินซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา
แต่นายหวังหรือชื่อเต็มคือหวังต้าเฉิงซึ่งมีแบล็กกราวด์ที่ดีเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมจำนนต่อคำขู่ของกู้หนิง “แล้วไง? ลุงของฉันเป็นถึงหัวหน้ากระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์เชียวนะ! ถ้าเธอกล้ามาทำลายชาร์บาร์ละก็ ฉันจะให้ลุงสั่งปิดร้านเธอซะ!”
“โอ้ หัวหน้ากระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์? เขาใหญ่กว่าผู้อำนวยการหรือเปล่า?” กู้หนิงเยาะเย้ย
“เธอ เธอเป็นใคร?” หวังต้าเฉิงเข้าใจผิดคิดไปว่ากู้หนิงมีความสัมพันธ์กับผู้อำนวยการ
“ฉันคือคนของ V5” กู้หนิงกล่าว
หวังต้าเฉิงกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ครั้งนี้เขาตัดสินใจผิดพลาดไปจริงๆ
“เธอต้องการอะไร?” หวังต้าเฉิงถามด้วยความโกรธ
“ฉันบอกนายไปแล้ว นายจะยอมจ่ายค่าเสียหายหรือจะให้พวกเราไปทำลายร้านของนายแทน ขึ้นอยู่กับนาย” เธอพูดเสียงเรียบประหนึ่งว่าทางเลือกที่เธอเสนอนั้นง่ายต่อการตัดสินใจมาก
“ได้ ฉันจะจ่ายค่าเสียหาย ฉันจะไปถึงที่นั่นภายในสิบนาที” หวังต้าเฉิงตอบก่อนที่จะกดวางสาย เขาโกรธจัดจนเกือบปาโทรศัพท์ลงพื้น ผู้จัดการร้านยืนอยู่ข้างเขาถามด้วยความตกใจว่า “หัวหน้า เกิดอะไรขึ้น?”
“แผนล้มเหลว ไอ้พวกนักเลงจากแก๊งอินทรีบินถูกพวกมันจับตัวเอาไว้ ผู้หญิงคนหนึ่งใช้โทรศัพท์ของเฉินเหลาเอ้อร์โทรมาหาฉัน เธอขู่ให้ฉันชดใช้ค่าเสียหายไม่อย่างนั้นจะมาทำลายร้านของเรา พวกมันไม่กลัวแก๊งอินทรีบินเลยสักนิดหรือลุงของฉัน! ฉันคิดว่าพวกมันต้องมีคนที่มีอำนาจมากให้ความช่วยเหลือ” หวังต้าเฉิงตอบ
เฉินเหลาเอ้อร์เป็นหัวหน้านักเลง ถือได้ว่าเขาเป็นคนสำคัญของแก๊งอินทรีบิน
“อะไรนะครับ?” ผู้จัดการร้านประหลาดใจ ไม่คิดว่าคนทางฝั่ง V5 จะมีอิทธิพลขนาดนี้ “แล้ว แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดีครับตอนนี้?”
“พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากจ่ายค่าเสียหาย ฉันไม่อยากให้มันมาทำลายร้านของฉัน! ตอนนี้ร้านก็แทบจะไปไม่รอดแล้ว ถ้ามีเรื่องอีกคงถูกปิดแน่” ถึงแม้หวังต้าเฉิงจะไม่อยากจ่ายค่าเสียหายแต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ค่าเสียหายอาจอยู่ที่ประมาณสองสามแสนหยวนซึ่งเขาสามารถจ่ายได้
ไม่นานหวังต้าเฉิงและลูกน้องหลายคนก็ตรงไปที่ V5
ฮ่าวหรันสั่งให้คนของเขาเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกร้านเผื่อลูกคนทั่วไปเข้ามาในร้าน
หวังต้าเฉิงและลูกน้องของเขามาถึง V5
ภายใน V5 ข้าวของยังเละเทะเหมือนเดิม กู้หนิงยังไม่อนุญาตให้พนักงานเก็บกวาด มันคือหลักฐานความเสียหายที่พวกนักเลงก่อเอาไว้ พวกมันนั่งยองๆกันที่มุมห้อง ไม่มีใครกล้าขยับตัว
กู้หนิงและคนอื่นๆ หันหน้าไปทางประตูทางเข้ายืนเป็นแถวรอหวังต้าเฉิง
นางทีที่หวังตาเฉิงและพรรคพวกเดินเข้ามาในร้าน กลุ่มเด็กนักเรียนอยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนก็ปรากฏสู่สายตาของเขา แม้จะรู้อยู่แล้วเจ้าของบาร์ V5 เป็นเด็กนักเรียนสามคน แต่มันยากมากที่จะทำใจยอมรับได้ยิ่งเมื่อเขาเห็นเองกับตา
เขาคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องอยู่ผิดที่ จากนั้นหวังต้าเฉิงสังเกตเห็นว่าห้องโถงนั้นเละเทะ ข้าวของพังเสียหายและเฉินเหลาเอ้อร์รวมทั้งคนของเขาก็นั่งยองๆอยู่ที่มุมห้องด้วยอาการบาดเจ็บ
หวังต้าเฉิงนึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยว่าจะถูกทุบตีเช่นนั้น
“ใครเป็นหัวหน้า?” หวังต้าเฉินถาม เขารู้หนึ่งในนักเรียนพวกนี้ต้องมีใครสักคนเป็นหัวหน้าแต่เขาไม่รู้ว่าใคร
“ฉันเอง”
ฮ่าวหรันก้าวเท้าออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว
“ฉันต้องจดจ่ายค่าเสียหายเท่าไหร่?” หวังต้าเฉิงถาม
ครั้งนี้กู้หนิงเป็นฝ่ายก้าวเท้าออกมาข้างหน้าและพูดว่า “พวกเราคำนวณไว้แล้ว เฟอร์นิเจอร์ถูกทุบเสียหายทั้งหมดเจ็บสิบสองตัว สิบตัวเป็นเก้าอี้บาร์ราคาตัวละสองพันหยวน ทั้งหมดสองหมดก็สองหมื่นหยวน สิบตัวเป็นโซฟาราคาตัวละสี่พันหยวนทั้งหมดสี่หมื่นหยวน ยี่สิบตัวเป็นเก้าอี้ราคาตัวละแปดร้อยหยวนทั้งหมดหนึ่งหมื่นหกพันหยวน นอกจากนี้ก็มีเครื่องมือต่างๆตัวละสองร้อยหยวนทั้มหมดเป็นหกพันสี่ร้อยหยวน เคาเตอร์บาร์สามหมื่นหยวน สเตจหนึ่งหมื่นหยวนและอุปกรณ์เครื่องเสียงหนึ่งแสนหยวน พวกเราต้องรีโนเวทร้านใหม่เพราะเสียหายหนักมากซึ่งกินเวลาอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ อิงจากค่าตกแต่งร้านครั้งที่แล้วของเราประมาณห้าหมื่นหยวน ดังนั้นพวกเราต้องการค่าตกแต่งใหม่อีกห้าหมื่นหยวน รายได้ที่สูญเสียไปหนึ่งอาทิตย์อยู่ระหว่างสี่แสนถึงหกแสนหยวน ราคากลางๆละกันที่ห้าแสนหยวน อ้อ ยังมีค่าทำขวัญพนักงานอีกคนละหนึ่งหมื่นหยวน ที่ร้านเรามีพนักงานทั้งหมดยี่สิบสามคนรวมเป็นสองแสนสามหมื่นหยวน และชื่อเสียงของร้านที่เสียไปอีกห้าแสนหยวน รวมค่าชดเชยที่ต้องจ่ายอยู่ที่หนึ่งล้านห้าแสนสองพันสี่ร้อยหยวน ตีเป็นเลขกลมๆอยู่ที่หนึ่งล้านห้าแสนหยวน นายจะจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิต?”