ตอนที่ 137: ให้ของขวัญอะไรดี?
หลิวหยูเว่ยรู้ว่าการนัดทานข้าวของเขาเป็นแบบไหน มันเป็นการนัดพบแบบส่วนตัวระหว่างพวกเขาสองคน
บ่ายวันเดียวกัน กู้หนิงรวมกลุ่มกับเพื่อนเพื่อกินข้าวเที่ยงด้วยกัน หนึ่งในนั้นมีอ้ายยี่อยู่ด้วย
อ้ายยี่และฮ่าวหรันเป็นเพื่อนกันเรียบร้อยแล้วและทั้งคู่กับเข้ากันได้ดีมาก
“อ้ายยี่ ฉันได้ยินมาว่าบริษัทครอบครัวนายถูกซื้อไปแล้วแต่พ่อของนายยังเป็นประธานบริษัทอยู่” ฮ่าวหรันถามด้วยความห่วงใย
“ใช่ แต่พ่อไม่ได้บอกรายละเอียดฉันมาก ช่างเถอะ ยังไงเจิ้งหัวก็อยู่รอดต่อไปได้และพ่อก็ยังรักษาตำแหน่งไว้ได้เหมือนเดิม ฉันไม่สนว่าพ่อจะได้เงินน้อยลงหรอก ฉันแค่อยากให้พวกเราพ่อลูกใช้ชีวิตสงบสุข” อ้ายยี่กล่าว เขาไม่สนใจว่าใครจะเป็นเจ้าของบริษัทเจิ้งหัว ตอนนี้เขาพึงพอใจกับชีวิตของเขาแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของคนใหม่ก็ตาม เขารู้สึกขอบคุณคนคนนั้นจากใจ
อ้ายยี่ให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก่อนเงินเสมอ ซึ่งนั่นทำให้กู้หนิงประทับใจเป็นอย่างมาก
“ว่าแต่กู้หนิง ฉันขอเข้ากลุ่มกับเธอได้ไหม? ฉันเองก็อยากเรียนการต่อสู้เหมือนกัน” อ้ายยี่มองกู้หนิง เขารู้สึกเขินนิดหน่อยแต่สายตาเต็มเปี่ยมด้วยความคาดหวัง
“ไม่มีปัญหา!” กู้หนิงไม่ปฏิเสธเพราะเธอตั้งใจจะให้อ้ายยี่เป็นคนช่วยงานอ้ายกวงเหยา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฝึกฝนเขาสักหน่อย
แน่นอนว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวอ้ายยี่ ถ้าเขาไม่เต็มใจเธอก็ไม่บังคับ และเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอ้ายกวงเหยา กู้หนิงจึงตอบตกลง
ตอนนี้อ้ายยี่เป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่มเธอแล้ว เขาจึงเข้าร่วมกลุ่มวีแชทด้วย
กู้หนิงไม่เข้าชั้นเรียนตอนเย็น ดังนั้นการฝึกซ้อมของพวกเขาจึงเปลี่ยนมาเป็นตอนบ่ายแทน หลังจากมื้อเที่ยงพวกเขาก็เข้าไปในป่าหลังโรงเรียนด้วยกัน
ระหว่างทางเดินไปยังป่าหลังโรงเรียน พวกเขาก็บังเอิญเจอกับเด็กหนุ่มที่ซ้อมอ้ายยี่เมื่อวันก่อน นาทีที่พวกนั้นเห็นอ้ายยี่ กู้หนิงและพรรคพวก เด็กหนุ่มพวกนั้นก็พากันหมุนตัวเดินหนีไปอีกทาง ฮ่าวหรันและคนอื่นๆอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้
เด็กหนุ่มพวกนั้นได้รับบทเรียนของพวกเขาไปแล้ว
“โอ้ บอส วันมะรืนลุงฉันจะจัดงานปาร์ตี้ครบรอบวันเกิดอายุหกสิบ พี่อี้ฟานเชิญบอสมาร่วมงานปาร์ตี้สนุกๆด้วยกัน” ฉินซีหุนกล่าว
ใช่ ต้องเป็นฉินอี้ฟานอยู่แล้ว ฉินซีหุนไม่กล้าเชิญใครสุ่มสี่สุ่มห้ามาร่วมงานวันเกิดลุงตัวเองแน่นอน
ใจจริงฉินอี้ฟานอยากจะเชิญทุกคนด้วยตัวเองเพื่อแสดงออกถึงความจริงใจ แต่เขาค่อนข้างกังวลว่ามันจะฉุกละหุกเกินไป ดังนั้นเขาจึงให้ฉินซีหุนเป็นคนชวน
อีกอย่างเขาไม่สามารถเชิญกู้หนิงได้แค่คนเดียว มันดูโจ่งแจ้งเกินไป ดังนั้นเขาจึงชวนทุกคนในกลุ่มของเธอด้วย
“ฉันว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่มั้ง” กู้หนิงไม่เห็นด้วย เธอไม่ได้สนิทกับฉินอี้ฟานขนาดนั้น แต่บอกตามตรงเธออยากจะไปร่วมงานวันเกิดพ่อของเขา
ตระกูลฉินเป็นตระกูลเศรษฐีลำดับสอง ในงานคงมีดาราและนักธุรกิจคนสำคัญมาร่วมงานมากมาย โอกาสนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะสร้างคอนเนคชั่น อีกอย่างคนที่มาร่วมงานจุดประสงค์หลักคือมาเพื่อสร้างคอนเนคชั่นของตัวเอง
เธอยังเด็กและคงไม่มีใครเข้ามาคุยกับเธอ ดังนั้นการปรากฏตัวของเธอต้องทำให้เตะตา
“อย่าคิดมาก ฮ่าวหรันและจางเทียนปิงก็จะไปด้วย พวกเราส่งจดหมายเชิญมูเค่อและครอบครัวอ้ายยี่เรียบร้อยแล้ว ฉันและพี่อี้ฟานจึงอยากชวนทั้งสามสาวมาสนุกในงานด้วยกัน” ฉินซีหุนพยายามโน้มน้าว
“มาเถอะบอส ไปกับพวกเรา! หมิงซีกับฉู่เพ่ยหาน พวกเธอสองคนต้องมาด้วยนะ” ฮ่าวหรันพูดเสริม
“หนิงหนิง ฉันเองก็อยากจะไปงานนี้เหมือนกัน ไปกันเถอะนะๆ” ฉู่เพ่ยหานเอาแขนตัวเองมาคล้องแขนอีกฝ่ายออดอ้อน
ฉู่เพ่ยหานไม่เคยพลาดงานปาร์ตี้ ส่วนหยูหมิงซี ถ้ากู้หนิงไปเธอก็อาจจะไป
“ได้ ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันหมดนี่แหละ” กู้หนิงตอบ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ควรไปมือเปล่า ว่าแต่เธอจะให้ของขวัญเป็นอะไรดี?
ฉู่เพ่ยหานดึงกู้หนิงและหยูหมิงซีไปอีกทางโดยใช้ข้ออ้างว่าไปห้องน้ำ
“พวกเราจะซื้อของขวัญอะไรดีอ่ะ?” ฉู่เพ่ยหานถาม
เรื่องของขวัญนี้เธอตายสนิท เธอไม่รู้จริงๆว่าจะซื้ออะไรดี ประเด็นคือเจ้าของงานเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากมาย ดังนั้นของขวัญต้องพิเศษหน่อย แต่พวกเธอเป็นแค่เด็กนักเรียน ไม่มีเงินมากพอซื้อของราคาแพงหูฉี่
กู้หนิงรู้มาว่าคุณฉินชื่นชอบหยกเป็นอย่างมาก หยกธรรมดาไม่เหมาะใช้เป็นของขวัญแต่เธอไม่อยากให้หยกระดับสูง และมันดูไม่เหมาะกับเธอที่เป็นเพียงนักเรียนธรรมดาคนหนึ่งจะมีหยกระดับสูงไว้ครอบครองได้อย่างไร อีกอย่างเธอไม่อยากให้โปรไฟล์ตัวเองสูงเด่นจนสะดุดตามากนัก
คิดอยู่สักพัก กู้หนิงก็นึกถึงของเก่าที่เธอได้มากจากตลาดขายของเก่าขึ้นมาได้
ในเมื่อเธอไม่สามารถให้ของขวัญราคาแพงได้ กาน้ำชาเจินหว่านซานและรูปภาพก๋วงจงจึงไม่ใช่ตัวเลือก เธอจึงเหลือเพียงแก้วน้ำหัวกวางจากราชวงศ์เฉียนหลง
กู้หนิงตัดสินใจให้แก้วน้ำจากราชวงศ์เชียนหลงเป็นของขวัญ
มูลค่าของมันราวๆสองล้านหยวนซึ่งถือว่ามากสำหรับเด็กนักเรียนอย่างเธอ
“อืม ฉันพอมีของขวัญที่เหมาะสมอยู่ชิ้นหนึ่ง ให้ในนามพวกเราละกัน” กู้หนิงกล่าว เธอไม่ได้ใส่ใจมากนักว่าต้องแชร์ของขวัญกับเพื่อนของเธอ
“ไม่ได้ ทำแบบนั้นไม่ได้” หยูหมิงซีทักท้วง
“ทำไมไม่ได้? พวกเราเป็นแค่เด็กนักเรียน มันไม่เหมาะที่จะให้ของขวัญราคาแพงเกินไป ของขวัญของฉันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ไม่แพงมากแต่หายาก” กู้หนิงชี้แจง
“บอกมานะ มันคืออะไรอ่ะ?” ฉู่เพ่ยหานและหยูหมิงซีเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
“ตอนนี้ยังเป็นความลับ” กู้หนิงไม่ยอมบอก
“กู้หนิงจ๋า ได้โปรดบอกพวกเราหน่อยน๊าาา” ฉู่เพ่ยหานผู้ซึ่งไม่ค่อยมีความอดทน เธออยากรู้เต็มแก่
กู้หนิงไม่ยอมบอกไม่ว่าพวกเขาจะขอร้องอ้อนวอนขนาดไหน ฉู่เพ่ยหานจึงยอมแพ้ไปในที่สุด
ข่าวเรื่องกู้เซียวเซียวถูกไล่ออกจากโรงเรียนแพร่ไปทั่วโรงเรียนในตอนบ่าย แต่ไม่มีใครรู้สึกเสียใจกับเธอ
แม้แต่เฉินจื่อเหยาที่เป็นเพื่อนสนิทกู้เซียวเซียวก็ตัดขาดความเป็นเพื่อนกับเธอ เมื่อมีคนมาถามเธอว่ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า เธอปฏิเสธว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
เธอบอกว่าเธอกับกู้เซียวเซียวดูเหมือนจะสนิทกัน แต่พวกเธอไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นจึงไม่รู้ทุกเรื่องของกันและกัน กู้เซียวเซียวไม่ได้บอกเรื่องส่วนตัวของตัวเองกับเธอ เฉินจื่อเหยาอ้างว่าเธอเองก็ผิดหวังกับพฤติกรรมกู้เซียวเซียวเหมือนคนอื่น
แต่ความจริงแล้วเฉินจื่อเหยาผิดหวังที่กู้เซียวเซียวทำพลาดต่างหาก
นักเรียนส่วนใหญ่รู้ว่าเฉินจื่อเหยาเกลียดกู้หนิงแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเธอเท่าไหร่
นอกจากนี้พวกเขาจึงพากันตีตัวออกห่างจากเฉินจื่อเหยา พวกเขากลัวว่าเธอจะทำเรื่องเลวร้ายเหมือนกู้เซียวเซียว
เฉินจื่อเหยาพอคาดเดาได้ เธอโกรธมาก ได้แต่โทษกู้เซียวเซียว
ตอนที่ 138: เธอสามารถมาหาฉันได้
สิ่งที่เกิดขึ้นกับกู้เซียวเซียวทำให้จ้าวเฟยเฟยวิตกกังวล โชคดีที่กู้หนิงไม่มีหลักฐานไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่พ้นถูกไล่ออกเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือการที่กู้หนิงไม่จัดการเธอ เพราะเธอไม่ใช่ตัวปัญหาในสายตากู้หนิง และความไม่พอใจระหว่างกู้หนิงและกู้เซียวเซียวก็มีมานานแล้ว
ในช่วงบ่ายอ้ายกวงเหยาโทรหากู้หนิง เขาบอกว่าครอบครัวฉินเชิญเขาไปร่วมงานวันเกิดของคุณฉิน
กู้หนิงบอกเขาว่าเธอก็จะไปงานนี้เหมือนกัน เพื่อนนักเรียนเอ่ยปากชวนเธอแล้ว
“โอ๊ะ ลุงอ้ายคะ ลุงจะให้ของขวัญอะไรคุณฉินคะ?” กู้หนิงถาม
“ลุงเพิ่งได้รับบัตรเชิญมาวันนี้เลยยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรให้ดี หนูมีคำแนะนำไหม?” อ้ายกวงเหยาตอบ
ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนในการหาของขวัญ
ตระกูลฉินเป็นตระกูลเศรษฐีตัวจริงเสียงจริง พวกเขาไม่ขาดเหลืออะไรก็จริงแต่ของขวัญก็ไม่ควรธรรมดาเกินไป แต่อะไรล่ะถึงจะเหมาะสมอีกทั้งต้องสมเหตุสมผลด้วย หากของขวัญดูหาง่ายเกินไปก็ถือว่าไม่ให้เกียรติเจ้าของงาน แต่หากสูงค่าเกินไปก็อาจถูกมองว่าอยากประจบประแจงตระกูลฉิน
เป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ
กู้หนิงใช้ความคิดอยู่สักพัก “หนูมีของบางอย่าง ลุงเอาไปเป็นของขวัญได้นะคะ”
“อะไรหรือ?” อ้ายกวงเหยาถามสงสัย
“ภาพวาดของก่วนจงค่ะ” กู้หนิงตอบ
“อะไรนะ? ภาพวาดก่วนจง?” อ้วยกวงเหยาตื่นตะลึง
อ้ายกวงเหยาไม่มีความสนใจในของเก่าหรือภาพวาด แต่เขาพอรู้จักอู๋ก่วนจงศิลปินผู้โด่งดัง
เขาอ่านข่าวเกี่ยวกับภาพวาดสีน้ำมันของอู๋ก่วนจงที่ขายได้ชิ้นละห้าล้านหยวน
“กู้หนิง ลุงคิดว่ามันเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ คนอื่นอาจจะคิดว่าเราต้องการประจบประแจงตระกูลฉิน” อ้ายกวงเหยากล่าว เขาไม่คิดว่าเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลุงก็อธิบายไปว่าของชิ้นนี้เจ้าของเจิ้งหัวตัวจริงบังเอิญซื้อมาได้ในราคาหนึ่งพันหยวน ถ้าเป็นแบบนี้ก็ถือว่าไม่ใช่ของหายากอะไรและไม่แพงเกินไปอีกด้วย ขณะเดียวกันคนอื่นจะได้คิดว่าเจ้าของเจิ้งหัวตัวจริงไม่ใช่คนธรรมดาที่จะประมาทได้” กู้หนิงกล่าว
“ซื้อมาได้โดยบังเอิญ?” อ้ายกวงเหยาถาม “กู้หนิง จริงหรือที่หนูซื้อมาได้โดยบังเอิญ?”
แค่คิดว่ากู้หนิงได้มันมาโดยบังเอิญเขาก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นมา
“ใช่ค่ะ หนูบังเอิญซื้อมันมาจากตลาดขายของเก่าในเมือง G เมื่ออาทิตย์ก่อน”
ได้ยินแบบนั้นอ้ายกวงเหยาก็ดวงตาเบิกโตกลั้นลมหายใจ พระเจ้า! เจ้านายของเขาช่างโชคดีอะไรอย่างนี้! ว่าแต่เธอรู้ได้อย่างไรว่าเป็นของจริงไม่จริง?
อ้ายกวงเหยาค่อยๆสนใจกู้หนิงมากขึ้นทีละนิด นับวันเธอยิ่งลึกลับในสายตาของเขา
กู้หนิงพูดเสริมขึ้นอีกว่า “หนูจะเอาให้ลุงพรุ่งนี้ตอนบ่ายแล้วกันค่ะ”
“ได้” อ้ายกวงเหยาตอบ จากนั้นจึงวางสาย
เขาไม่คิดว่าการเอาของจากกู้หนิงเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะเขาเป็นตัวแทนของ บริษัทอสังหาริมทรัพย์เจิ้งหัว ในขณะที่กู้หนิงเป็นเจ้าของตัวจริง
ระหว่างทางกลับบ้าน กู้หนิงบังเอิญเจอกับซู่จินเฉินและเลิ่งเชาถิงตอนที่เธอกำลังจะเดินผ่านโซน C และพวกเขาก็กำลังเดินออกมาจากโซน C เมื่อเธอเห็นเลิ่งเชาถิง เธอก็นึกถึงใบหน้าที่ประหม่าของเขา เธอจึงยกริมฝีปากขึ้นยิ้มอย่างมีเลศนัย
เลิ่งเชาถิงรู้สึกไม่เป็นตัวเองที่เจอเธอ เขาจงใจเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“เฮ้ สาวน้อย เธอเพิ่งเลิกเรียนเหรอ?” ซู่จินเฉินทักทายเธออย่างสนิทสนม
“ใช่ค่ะ คุณกินไรยังคะ?” กู้หนิงถาม
“พวกเรากำลังจะออกไปกิน จะว่าไปตั้งแต่เจอกันพวกเราก็ไม่เคยกินข้าวด้วยกันเลยนะ พรุ่งนี้พวกเราจะไปจากที่นี่แล้ว และไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ ทำไมเธอมากินข้าวกับพวกเราล่ะ? ฉันเลี้ยงเอง!” ซู่จินเฉินออกปากชวน เขาอยากจะเป็นเพื่อนกับเธอจริงๆ
เลิ่งเชาถิงไม่พอใจที่เห็นซู่จินเฉินทำตัวสนิทสนมกับกู้หนิง แต่เขาไม่ได้ห้ามปรามซู่จินเฉินแต่อย่างใด
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเองก็ต้องการกินข้าวกับกู้หนิงเหมือนกัน เขาไม่แม้กระทั่งรู้ตัวเอง
“ได้สิคะ” กู้หนิงตอบรับอย่างไว เธอปรายตามองเลิ่งเชาถิงตอนที่ตอบ เห็นได้ชัดว่าคำตอบของเธอเป็นเพราะเลิ่งเชาถิง
ซู่จินเฉินไม่ทันเห็น เขาดีใจที่กู้หนิงตอบตกลง “เธออยากกินอะไรเหรอ?” เขาถาม
“อาหารทะเล” กู้หนิงตอบอย่างไม่ลังเล
ได้ยินแบบนั้นทั้งซู่จินเฉินและเลิ่งเชาถิงก็ขมวดคิ้ว
กู้หนิงทำสีหน้างงงวย “ทำไมเหรอคะ?”
“อืม พอดีว่าเชาถิงแพ้อาหารทะเลน่ะ” ซู่จินเฉินอธิบาย
กู้หนิงประหลาดใจ เลิ่งเชาถิงแพ้อาหารทะเล? ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมวันนั้นเขาถึงไม่กินอะไรอะไรเลย
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันกินอย่างอื่นได้” เลิ่งเชาถิงพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เขาทำแบบนี้เพราะอยากเธอได้กินสิ่งที่เธออยากกิน
“เอ่อ ฉันไม่อยากกินอาหารทะเลแล้ว” กู้หนิงตอบ “มีร้านอาหารดังร้านหนึ่งบนถนนโหยวอี้ ไปที่นั่นกัน!"
เลิ่งเชาถิงเหลือบมองกู้หนิง มีบางอย่างซ่อนอยู่ในแววตาของเขา กู้หนิงยิ้มให้เขาหนึ่งทีทำเอาหัวใจของเขาสะดุดไปหนึ่งจังหวะ เขาขยับตัวหนีห่างจากเธอทันที
กู้หนิงรู้สึกอยากจะหัวเราะ เลิ่งเชาถิงช่างขี้อายและตลก!
หลังจากนั้นกู้หนิงก็โทรบอกแม่ว่าเธอจะไปกินข้าวกับเพื่อน
เดี๋ยวนี้กู้ม่านมักไปกินข้าวกับกู้ชิง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้กินข้าวคนเดียวหรืออยู่ตามลำพัง
ระหว่างทางไปร้านอาหารซู่จินเฉินเอาแต่คุยกับกู้หนิงไม่หยุด ทำเอาเลิ่งเชาถิงไม่สบอารมณ์ เขาอยากจะจับคนทั้งคู่แยกออกจากกัน แต่ทำได้แค่คิดไม่ได้ลงมือทำจริงๆ
“กู้หนิง เธอจะสอบเรียนต่อมหาวิทยาลัยแล้วนี่ เธอเลือกได้ยังว่าจะเข้าที่ไหน?” ซู่จินเฉินถาม
“มหาวิทยาลัยเมืองหลวงค่ะ” กู้หนิงตอบ
“มหาวิทยาลัยเมืองหลวง? ว้าว เธอต้องเป็นนักเรียนดีเด่นสินะ ถ้าอย่างนั้นดีเลยครอบครัวฉันก็อยู่ที่เมืองหลวง ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือในอนาคตมาหาฉันได้เสมอ ถึงแม้ฉันจะไม่ได้รอบรู้ทุกเรื่องแต่ฉันเก่งเรื่องแก้ปัญหานะ อืม..พวกเราแลกเบอร์กันไว้ดีไหม?” ซู่จินเฉินถาม เขาค่อนข้างประหม่า
ได้ยินคำถามของซู่จินเฉิน เลิ่งเชาถิงก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ เขาจึงพูดออกไปโดยไม่ทันรู้ตัวว่า
“เขาค่อนข้างยุ่ง คุณมาหาผมได้”
เลิ่งเชาถิงพยายามจะหยุดซู่จินเฉินไม่ให้เข้าใกล้กู้หนิง
“หา! อะไรนะ? นายต่างหากที่ยุ่งมากกว่าพวกเรา!” ซู่จินเฉินเถียงกลับ
เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว เลิ่งเชาถิงมักถูกเรียกทำงานตลอดทั้งปี เขาอยู่ในกองทัพตลอดไม่ว่าจะมีงานหรือไม่มีงาน
จู่ๆซู่จินเฉินก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เดี๋ยวนะ ไม่ทราบว่านายเป็นมิตรกับคนอื่นเมื่อไหร่กัน?