ตอนที่ 109: อย่ามายุ่งกับพวกเรา!
“ครึ่งปีก่อนหน้านี้ เขาบอกว่าเพื่อนคนหนึ่งของเขาต้องการขายหยกชุดหนึ่งและเขาขอความเห็นจากผม ตอนนั้นผมขาดหยกอยู่พอดี ดังนั้นผมจึงไปดู ชุดของหยกเป็นระดับกลางและระดับต่ำ พวกมันเป็นของจริงและมีราคาห้าสิบล้านหยวน อย่างไรก็ตามผมไม่มีเงินจำนวนมากขนาดนั้น ผมจึงต้องจำนอง เชาผิงตกลงที่จะให้ผมเขียน IOU ให้เขา ผมต้องการหยกมาก ดังนั้นผมจึงเขียนมัน”
“ธนาคารปฏิเสธให้กู้ยืม ในขณะเดียวกันหยกชุดนั้นก็กลายเป็นของปลอม การเงินของผมก็มีปัญหาขึ้นมา จากนั้นผมก็ตระหนักได้ว่าผมติดกับ ผมรู้ว่าผมถูกหลอกแต่ผมไม่มีหลักฐานอะไรเลย ผมทำอะไรไม่ได้ ในตอนท้ายผมจึงต้องยอมขายบริษัทของผมให้เชาผิง”
“ฉันเคยบอกลุงไปแล้วว่าฉันจะปกป้องคนของฉัน ในเมื่อเราเป็นมิตรต่อกัน ฉันจะช่วยเอาร้านโจวฝูกลับคืนมา ถ้าหากลุงไม่อยากได้มันแล้ว พวกเราก็ทำลายมันซะ” กู้หนิงกล่าว
โจวเจิ้งหงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เขาขอบคุณกู้หนิงอย่างสุดซึ้ง “บอส ขอบคุณมากจริงๆครับ”
เขาเชื่อมั่นในตัวกู้หนิง
ใช้เวลาสี่สิบนาทีก็มาถึงย่านการค้า ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง กู้หนิงจึงบอกให้โจวเจิ้งหงสั่งอาหารรอที่ร้านอาหาร ส่วนเธอจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน พวกเขาวางแผนกินข้าวก่อนแล้วค่อยไปที่ตลาดขายของเก่า
กู้หนิงซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง เธอสวมเดรสสีดำกับถุงน่องสีดำและเสื้อโค้ทขนสัตว์สีเบจ เธอยังสวมรองเท้าส้นสูงสีดำคู่หนึ่ง ส่งผลให้ดูน่าดึงดูดและโดดเด่นยิ่งขึ้น จากนั้นเธอก็ไปทำผมโดยม้วนผมเป็นลอนและแต่งหน้านิดหน่อย
เธอดูเป็นหญิงสาวสวยทรงเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ เธอดูแตกต่างจากลุคเด็กนักเรียนอย่างสิ้นเชิง เมื่อกู้หนิงผลักประตูเข้ามายังห้องทานอาหารส่วนตัว โจวเจิ้งหงจำเธอไม่ได้ เขาจึงพูดว่า
“คุณหนู ต้องขอโทษด้วย เกรงว่าคุณหนูจะเข้าห้องผิด”
“ฮ่า ฮ่า” กู้หนิงอดหัวเราะไม่ได้ “ลุงโจว นี่ฉันเองค่ะ กู้หนิง”
“อะไรนะ?” โจวเจิ้งหงตกใจ “บอส ผมจำคุณไม่ได้เลย!”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันต้องการ! ฉันจะตัดหินเอาหยกออกมาให้มากที่สุด และต้องการปดปิดสถานะของตัวเอง”
โจวเจิ้งหงเข้าใจ แต่เขาก็ยังเซอร์ไพรส์กับรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปของเธอ
“โอ้ นี่กุญแจอพาร์ทเมนต์ครับ” โจวเจิ้งหงหยิบกุญแจออกมาแล้วส่งให้กู้หนิง จากนั้นเขาก็บอกสถานที่ตั้งของอพาร์ทเมนต์
พวกเขาไปที่ตลาดขายของเก่าหลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จ
ในขณะเดียวกันหลินหลี่หยวนก็โทรหากู้ม่าน แต่กู้ม่านไม่รับสาย ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ หลินหลี่หยวนก็อดโมโหไม่ได้ เธอขับรถไปที่โรงงานที่กู้ม่านทำงาน
เมื่อเธอมาถึง เธอก็แปลกใจกับความจริงที่ว่ากู้ม่านลาออกจากงานไปแล้ว กู้ม่านลาออก? แล้วตอนนี้เธอไปมุดหัวอยู่ที่ไหน? มันเป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงวัยกลางคนที่เรียนไม่จบอย่างเธอจะหางานใหม่ได้
หลินหลี่หยวนโทรบอกกู้ฉินเซียงทันทีว่ากู้ม่านตอนนี้ลาออกจากงานไปแล้ว กู้ฉินเซียงเองก็แปลกใจเช่นเดียวกัน เขาบอกให้หลินหลี่หยวนไปรอที่บ้านหลังเก่าตอนบ่าย
กู้ฉินเซียงไม่รู้ว่ากู้ม่านและลูกสาวของเธอ ถูกไล่ออกจากบ้านเก่าไปเรียบร้อยแล้ว
หลินหลี่หยวนนิ่งไปสองวิ จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กู้ฉินเซียงฟัง
กู้ฉินเซียงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาโกรธที่กู้ม่านและลูกสาวของเธอกล้าต่อต้านครอบครัวของเขา
“โทรหากู้ชิง ถามว่ากู้ม่านอยู่ที่ไหน” กู้ฉินเซียงเอ่ย จากนั้นหลินหลี่หยวนก็โทรหากู้ชิง
ตอนแรกกู้ชิงก็รับสายอยู่หรอก แต่เธอไม่บอกอะไรเกี่ยวกับกู้ม่านให้หลินหลี่หยวนฟัง ดังนั้นหลินหลี่หยวนจึงโทรหาเธอหลายต่อหลายครั้ง กู้ชิงเริ่มรำคาญและไม่รับสายหลินหลี่หยวนอีกเลย หลินหลี่หยวนจึงโมโหจนแทบกระอักเลือด
เธอพยายามโทรหาเจียงซู่ แต่เจียงซู่ก็ทำแบบเดียวกัน เขาไม่ยอมบอกอะไรและไม่สนใจโทรศัพท์จากเธออีก ตอนนี้เจียงซู่ยุ่งมาก
หลายวันมานี้ เจียงซู่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการตกแต่งร้าน การประสานงานกับโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้าง จ้างพนักงานและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสำนักงานพาณิชย์
เจียงซู่รู้กฎเป็นอย่างดี เขารู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้เงินในการเจรจาข้อตกลง แต่เขาไม่อยากทำให้มันเลยเถิดไปไกลนัก เจียงซู่เป็นคนซื่อตรงก็จริง แต่เขารู้ว่านักธุรกิจควรทำอย่างไรและจัดการอย่างไรเมื่ออยู่ในแวดวงธุรกิจ ตราบใดที่เขาไม่ทำร้ายใครและไม่ได้ใช้เงินไปในเรื่องไม่ดี เขาก็เต็มใจทำตามกฎที่ไม่มีตัวหนังสือนี้
หลินหลี่หยวนไม่ชอบถูกเมินใส่ เธอโทรหากูฉินเซียงอีกครั้ง เขาบอกเธอไปหากู้ชิงที่ทำงานแทน
หลินหลี่หยวนไปที่ทำงานของกู้ชิงและเจียงซู่ ผลปรากฏว่าพวกเขาได้ลาออกไปเรียบร้อยแล้ว หลินหลี่หยวนนิ่งบื้อใบ้เหมือนคนโง่ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเขาทั้งหมดถึงลาออก?
ในขณะนั้นเองจู่ๆก็มีความคิดแวบเข้ามาในสมองหลินหลี่หยวน ครอบครัวของกูชิงคงจะย้ายออกไปเหมือนกัน คิดได้แบบนั้น หลินหลี่หยวนต้องการจะพิสูจน์ เธอจึงไปที่บ้านเช่าของกู้ชิง และผลปรากฏว่าครอบครัวกู้ชิงก็ย้ายออกจากบ้านเช่าเช่นเดียวกัน
เกิดอะไรขึ้น?
หลินหลี่หยวนบอกกู้ฉินเซียงถึงเรื่องที่เกิดขึ้น กู้ฉินเซียงโกรธจัดจนแทบบ้า เขาโทรหากู้ม่าน กู้ชิงและเจียงซู่ด้วยตัวเอง แต่ไม่มีใครรับสายเขา
พวกเขาต้องการตัดขาดกับตระกูลกู้จริงๆหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร?
กู้ฉินเซียงโทรหากู้ฉินหยางและเล่าให้เขาฟัง เขาขอให้กู้ฉินหยางโทรหากู้ม่านและถามว่าเกิดอะไรขึ้น กู้ฉินหยางก็แปลกใจเช่นเดียวกัน เขาคิดว่าเป็นความผิดของกู้ม่าน เขาจึงโทรหาเธอ
กู้ม่านรับสายกู้ฉินหยาง เธอรู้ว่ากู้ฉินเซียงเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง แต่เธอไม่อยากมีเรื่องกับกู้ฉินหยางอีกคน
“กู้ม่าน เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? ทำไมเธอ พี่กู้ชิงและเจียงซู่ถึงย้ายออกจากบ้าน? ทำไมไม่พากันรับโทรศัพท์พี่ใหญ่? พวกเธออยู่ที่ไหนตอนนี้?” เมื่อกู้ฉินหยางได้รับคำตอบ เขาก็คำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว แม้แต่กู้ชิงที่นั่งอยู่ข้างๆกู้ม่าน ก็ยังได้ยินเสียงของเขาอย่างชัดเจน
กู้ม่านเจ็บปวดใจและอยากจะร้องไห้
กู้ชิงคว้าโทรศัพท์ออกจากมือกู้ม่านและตะคอกกลับไปว่า “ระวังคำพูดนายด้วย! ทำไมพวกเราต้องบอกนายทุกเรื่อง ห้ะ?! นี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนาย! อย่ามายุ่งกับพวกเรา!”
ตอนที่ 110: ตัดหินเอาหยก
“พวกนายก็เอาแต่โทษพวกเรา มีอะไรบ้างที่พวกเราไม่ได้ทำผิด? จากนี้ไปนายควรจะทำตัวดีกับพวกเราไว้นะ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะถือว่าพวกนายไม่ใช่พี่น้องอีกต่อไป!” พูดจบกู้ชิงก็กดตัดวางสาย
กู้ฉินหยางโกรธจนเกือบปาโทรศัพท์ลงพื้น เขาไม่อยากยอมรับความจริงว่ากู้ชิงเมินเขา กู้ฉินหยางรู้สึกมาตลอดว่าเขาเหนือกว่ากู้ชิง เขาไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเขาเองเป็นคนผิด
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวของกู้ม่านและกู้ชิง ถึงอย่างนั้นพวกเขาคิดว่าตัวเองรวยกว่าพี่น้องผู้หญิงสองคน ดังนั้นพวกเขาจึงมีสิทธิ์ก้าวก่ายควบคุมพี่สาวน้องสาวได้
กู้ฉินหยางโทรหากู้ชิงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอไม่รับสาย
ตัดมาที่กู้หนิง เธอใช้ตาทิพย์ของเธอสำรวจไปรอบๆ ขณะที่เดินไปตามถนนขายของเก่า ของเก่าหลายชิ้นเป็นชิ้นเดียวกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีของเก่าชิ้นใหม่สองสามชิ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นของปลอม
แม้ว่าพวกมันจะเป็นของปลอมซะส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางชิ้นเป็นของแท้ นอกจากนี้กู้หนิงก็โชคดีมากตั้งแต่เธอกลับมาเกิดใหม่
หลังจากนั้นไม่นาน กู้หนิงก็พบกับของเก่าที่มีพลัง หลังจากเดินมาได้ครึ่งทาง มันเป็นกาน้ำชาที่มีรอยขีดข่วนเต็มไปหมด มันใหญ่เทอะทะ ดูธรรมดาและไม่สวยงาม หากกู้หนิงไม่ได้สังเกตพลังที่ลอยอยู่เหนือมัน และรู้ว่ามันเป็นของแท้ เธอเองก็คงจะพลาดเช่นกัน
เธอจ้องมันและตกหลุมรักมันอย่างหมดหัวใจ สีของกาน้ำชานั้นเข้มและดูหนา วัสดุของมันเหมือนหยก รูปทรงเรียบง่ายและละเอียดอ่อนแต่มีเสน่ห์ลึกลับ
กู้หนิงไม่รู้เกี่ยวกับของเก่ามากนัก เธอจึงไม่สามารถอธิบายถึงแหล่งที่มาหรือราคาของมันได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าตัดสินจากพลังของมัน กู้หนิงเชื่อว่ากาน้ำชาตัวนี้ต้องมีประวัติอย่างยาวนาน และราคาไม่ใช่ถูกๆ
“กาน้ำชิ้นนี้เท่าไหร่คะ?” กู้หนิงเอ่ยถาม
เจ้าของแผงลอยมองไปที่กาน้ำชา และร่องรอยความไม่ชอบใจฉายชัดในแววตาของเขา กาน้ำชาตัวนี้ทั้งเกรอะกรังและสกปรก ขนาดของมันใหญ่และน่าเกลียด ที่เขาไม่โยนมันทิ้งไปเพราะว่าเขาไม่อยากจะเสียเงินที่ซื้อมาทิ้ง
เจ้าของแผงลอยมองหน้ากู้หนิง ราคาของมันขึ้นอยู่กับว่ากู้หนิงสนใจกาน้ำชามากแค่ไหน ถ้าเธอสนใจ ราคาของมันก็จะสูง หรือกลับกันอาจจะต่ำก็ได้
กู้หนิงรู้กฎข้อนี้ดี ดังนั้นเธอจึงไม่แสดงออกถึงความอยากได้บนใบหน้า แต่แสดงออกถึงความลังเล ดังนี้แล้ว เจ้าของแผงลอยจึงไม่บวกราคาเพิ่ม
“ห้าร้อยหยวน” เขาบอกราคา
เขารู้สึกเสียใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเขาซื้อกาน้ำชาตัวนี้มาในราคาห้าสิบหยวน
“เยี่ยม!” กู้หนิงหยิบเงินห้าร้อยหยวนและยื่นให้เจ้าของร้าน เขารับเงินมาอย่างงงๆ อย่างไรก็ตามเขาเชื่อว่ามันต้องเป็นของปลอมอย่างแน่นอน
กู้หนิงเดินดูของต่อไปเรื่อยๆ เธอพบกับของโบราณอีกชิ้น มันเป็นภาพวาดทิวทัศน์ที่เรียกว่า ‘วิถีชีวิตของผู้คน’ ในภาพวาดเผยให้เห็นถึงวิถีชีวิตเรียบง่าย ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในทางใต้ ไม่มีลักษณะเฉพาะตัว แต่สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความงามของชีวิตได้เป็นอย่างดี
ต้นวิลโลว์หลายต้นบนภาพวาดไม่ได้ถูกวาดด้วยหมึก แต่เป็นวิธีที่สร้างสรรค์ในการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีนและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน สีถูกบีบโดยตรงจากหลอดขณะที่ศิลปินกำลังวาดภาพ ชื่อของศิลปินคือ อู๋ก่วนจง
กู้หนิงรู้จัก อู๋ก่วนจง เขาเป็นศิลปินสมัยใหม่ที่มีชื่อเสียงจากการวาดภาพสีน้ำมันและเป็นนักการศึกษาศิลปะ เขาล่วงลับไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน
ในช่วงชีวิตก่อนหน้าของเธอ พ่อของเธอ ‘ถังเฉินฮั่ว’ เป็นเจ้าของภาพวาด ‘หิมะของปักกิ่ง’ เขาประมูลมาสี่ล้านหยวน ดังนั้นภาพวาดนี้ก็ต้องมีราคาหลายล้านหยวนเหมือนกัน อาจจะแพงกว่าภาพวาดหิมะของปักกิ่งด้วยซ้ำไป
กู้หนิงซื้อภาพวาดมาในราคาหนึ่งพันหยวน ทุกคนคิดว่ามันเป็นของปลอมเพราะมันวางขายบนแผงลอย ถ้าเจ้าของแผงลอยรู้ว่ามันเป็นของแท้ เขาคงขายให้กับคนรักศิลปะและได้กำไรงาม
เมื่อกู้หนิงเดินมาเกือบสุดถนน เธอก็เจอแก้วสีชมพูที่ตกแต่งด้วยหัวกวาง เธอไม่รู้ถึงความเป็นมาของมัน แต่ก็ซื้อเพราะว่ามันมีพลัง
กู้หนิงคิดในใจว่า เธอต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับของเก่าบ้าง ต่อให้เธอจะรู้ว่าของชิ้นไหนเป็นของแท้หรือของปลอม แต่เธอไม่รู้ราคาจริงๆของมัน เธอไม่อยากถูกหลอกเมื่อเอามันไปขาย
เธอจ่ายไปหนึ่งพันสองร้อยหยวนสำหรับแก้วสีชมพู
โจงเจิ้งหงที่ยืนอยู่ข้างๆมีความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เขาไม่รู้ว่าของที่กู้หนิงซื้อนั้นเป็นของแท้หรือของปลอม กู้หนิงใช้เงินซื้อไปไม่กี่พันหยวนเท่านั้น อย่างไรก็ตามเขาเชื่อว่ากู้หนิงไม่มีทางเสียเงินไปกับของปลอม เธอซื้อ เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นของแท้ ถ้าพวกมันเป็นของแท้จริง มันต้องมีค่ามหาศาล
กู้หนิงรู้ได้อย่างไรว่าเธอหยิบเอาของแท้? โจวเจิ้งหงสงสัยและประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ความอยากรู้อยากเห็นของเขาคงไม่ส่งผลดี เขารู้แค่เพียงว่ากู้หนิงช่วยเหลือเขาไว้มากและเขาต้องภักดีกับเธอ
จากนั้นทั้งสองก็เดินไปยังถนนพนันหิน และเริ่มต้นจากร้านแรกก่อน
มีหินก้อนใหม่เกือบทั้งหมด จำนวนของหินที่มีหยกอยู่ข้างในก็มีแนวโน้มว่าจะมีอยู่เหมือนกัน กู้หนิงเจอหินสองก้อนที่มีหยกระดับสูงข้างใน และสี่ก้อนที่มีหยกระดับกลาง ขนาดของพวกมันเท่ากับลูกแอปเปิ้ลและลูกฟุตบอล
ยังมีหินก้อนอื่นที่มีหยกระดับต่ำ แต่กู้หนิงไม่ได้ซื้อพวกมัน ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบ แต่เป็นเพราะเธอต้องการเหลือไว้ให้ลูกค้าคนอื่นด้วย
เธอไม่ได้จะผ่าเอาหยกออกจากที่นี่ เธอจึงไม่ซื้อหินที่ใช้ไม่ได้เพื่อกลบเกลื่อนการกระทำของเธอ กู้หนิงซื้อหินทั้งหมดเจ็ดก้อน จากนั้นก็ไปร้านอื่นและซื้ออีกสี่ก้อนถึงหกก้อนจากแต่ละร้าน
ตอนนี้เธอมีหินทั้งหมดยี่สิบแปดก้อนในมือ ถึงแม้พวกมันจะมีขนาดเล็กแต่ก็มีค่ามาก น้ำหนักรวมกันทั้งหมดสามร้อยสามสิบหกปอนด์ และราคาของมันอย่างต่ำก็หนึ่งพันล้านหยวน น้ำหนักของมันหนักมากที่จะใส่ในรถเข็นและเข็นไปรอบๆ
ถึงอย่างนั้นในเมื่อโจวเจิ้งหงอยู่ที่นี่ มันไม่สะดวกสำหรับกู้หนิงที่จะเก็บหินในพื้นที่กระแสจิตของเธอ
แม้ว่าลูกค้าสามารถฝากร้านค้าเก็บไว้ให้ได้ แต่กู้หนิงไม่อยากทำเช่นนั้น เพราะเธอรู้ว่าหินของเธอมีหยกอยู่ข้างใน เธอทำได้เพียงเอามันไปเก็บที่รถและให้โจวเจิ้งหงเฝ้ามันเอาไว้ ส่วนเธอก็กลับไปซื้อเพิ่มอีก
ครั้งนี้เธอจะตัดเอาหยกออกมา และขายพวกมัน