Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (หน้ากากสะคราญโฉม)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

หน้ากากสะคราญโฉม

  • 13/08/2565

ตอนที่ 30

หน้ากากสะคราญโฉม

เหยาจิ้งเฟยเมื่อฝ่ามือทั้งสองลงมือไม่ประสบผล รีบเปลี่ยนกระบวนท่าใช้เท้าขวาเตะวูบเข้าหาไม้เท้าในมืออี้เซินจนไม้เท้าไถลออกไปราวหนึ่งวา เหยาจิ้งเฟยอาศัยจังหวะนั้นเคลื่อนกายเข้าใกล้ซื่อเหมี่ยน พร้อมฝ่ามือพุ่งออกฟาดใส่ไม้เท้าในมือซื่อเหมี่ยนอย่างหักโหมรุนแรง ขณะเดียวกันนั้นอี้เซินวกไม้เท้าในมือกลับมา จี้ปราดพุ่งเข้าหาบริเวณชายโครงของเหยาจิ้งเฟยโดยหวังผล

เหยาจิ้งเฟยสองมือกำลังพัวพันอยู่กับไม้เท้าในมือซื่อเหมี่ยน ในเวลาเดียวกันคล้ายกับมีตาหลังงอกเงยออกมาโดยมิได้เหลียวกลับมามองแต่อย่างใด เท้าซ้ายรีบเตะกราดเข้าหาไม้เท้าในมืออี้เซินซึ่งจี้เข้าชายโครง แต่หนนี้เหยาจิ้งเฟยบรรจุพลังวัตรสี่ส่วนมาพร้อมกับเท้าซ้าย เมื่อไม้เท้าในมืออี้เซินปะทะเข้ากับปราณพลังที่แผ่พุ่งมา รับทราบถึงความรุนแรงเร่าร้อนของพลังสายนั้น แล้วบังเกิดเป็นเสียงดังปงพร้อมกับไม้เท้าไม้ไผ่ในมืออี้เซินหักสะบั้นออกเป็นสองท่อน            

ซื่อเหมี่ยนเห็นเช่นนั้นไม่ลนลานรีบร้อน ตวัดไม้เท้าในมือจากบนลงล่างแล้วเขี่ยไปยังข้อเท้าทั้งสองของเหยาจิ้งเฟย เหยาจิ้งเฟยขยับสลับเท้าซ้ายขวาอย่างแคล่วคล่องว่องไว หลบท่าไม้เท้าที่เขี่ยมาของซื่อเหมี่ยนไม่ยากเย็น พอหลบหลีกรอดพ้นแล้วใช้เท้าขวาเหยียบปลายไม้เท้าตรึงไว้กันพื้นเวที จากนั้นเกรงพลังลมปราณไปที่เท้าซ้ายแล้วก้าวเหยียบไปตรงกลางของไม้เท้า ในขณะเดียวกันซื่อเหมี่ยนกระชากไม้เท้าในมือกลับไป แต่ทว่าสายไปไม่ทันการเท้าซ้ายของเหยาจิ้งเฟยบรรลุถึงก่อน ผลปรากฏไม้เท้าไม้ไผ่หักสะบั้นขาดออกเป็นสองท่อนเช่นเดียวกับของอี้เซิน            

แท้จริงแล้วอี้เซินกับซื่อเหมี่ยน นางทั้งสองไม่ค่อยถนัดกับอาวุธที่มีความยาวเท่าใดนัก ดังนั้นเมื่อไม้เท่าในมือหักออกเป็นสองท่อน อี้เซินจึงเกิดปฏิภาณวูบร้องบอกต่อซื่อเหมี่ยนศิษย์พี่เบา ๆ โดยที่เหล่าขอทานด้านล่างมิอาจได้ยินว่า

“ศิษย์พี่ใช้ไม้เท้าที่หักแทนกระบี่ ท่านกับข้าพเจ้าประสานวิชากระบี่ดรุณีปราบมาร”            

ซื่อเหมี่ยนเมื่อได้ยินอี้เซินร้องกล่าวพยักหน้ารับทราบ รีบเปลี่ยนกระบวนท่าใช้ไม้เท้าส่วนที่เหลือแทนกระบี่ กลับรู้สึกว่าถนัดและคล่องมือกว่าไม้เท้าที่ยาวเมื่อครู่หลายเท่านัก ทางด้านเหยาจิ้งเฟยความจริงที่ลงมือไปทั้งหมดนั้น มิได้ใช้พลังวิชาที่มีทั้งหมดออกมา เป้าหมายเพียงเพื่อต้องการกระชากหน้ากากของทั้งสองออก เพื่อให้เหล่าขอทานด้านล่างได้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของสองคนที่เหยาจิ้งเฟยมั่นใจว่าสวมใส่หน้ากากอยู่ 

หน้ากากที่ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินสวมปกปิดใบหน้า ก่อนที่จะตกแต่งให้แนบเนียนอีกชั้นหนึ่งนั้น เป็นจ่านจือพกพาติดตัวมาจากหุบเขาผีเสื้อ ซึ่งทำมาจากยางไม้ชนิดหนึ่งจึงมีคุณสมบัติยืดหยุ่นเบาบางแนบกับใบหน้า หากไม่สังเกตให้ดียากที่จะดูออกแต่ทว่าเหยาจิ้งเฟยซึ่งแท้จริงคือเหยาเยี่ยนผิง นางชำนาญในด้านการปลอมแปลงโฉมดังนั้นหน้ากากของจ่านจือจึงมิอาจตบตาของนางได้

บนเวทีตอนนี้อี้เซินอยู่ในตำแหน่งด้านหลังของเหยาจิ้งเฟย ส่วนซื่อเหมี่ยนหันหน้าประจันกับเหยาจิ้งเฟยพอดี อี้เซินวาดไม้เท้าต่างกระบี่เป็นเงาบุปผาวงหนึ่ง จู่โจมเข้าใส่ตำแหน่งสะโพกของเหยาจิ้งเฟย ขณะเดียวกันซื่อเหมี่ยนทิ่มแทงปลายไม้เท้าแทนกระบี่เช่นกัน เมื่ออาวุธถนัดมือจึงสามารถสำแดงกระบวนท่าได้แคล่วคล่องกว่าเดิมมากนัก ปลายไม้เท้าในมือซื่อเหมี่ยนตรงเข้าใส่บริเวณลำคอของเหยาจิงเฟยอย่างเร่งร้อน เหยาจิ้งเฟยรับทราบถึงกระบวนท่าของทั้งสอง ว่ามีความปราดเปรียวคล่องแคล่วขึ้นกว่าตอนที่ใช้ไม้เท้าซึ่งมีความยาวอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้นรีบหมุนกายเคลื่อนขวางออกมายังด้านข้าง ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินพุ่งร่างตามติด พร้อมกับฟันไม้เท้าต่างกระบี่เข้าหาลำตัวของเหยาจิ้งเฟยโดยพร้อมเพรียง ทางด้านเหยาจิ้งเฟยอาศัยความเหนือชั้นช่ำชองกว่า กระโดดลอยตัวตีลังกากลับมาข้ามศีรษะของทั้งสองอีกรอบหนึ่ง สองมือกางออกพร้อมกับตะปบเข้าใส่บริเวณราวกกหูของซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินอย่างรวดเร็วจนดูแทบมิทัน แล้วกระชากหน้ากากของทั้งสองติดมือมาก่อนที่จะทิ้งร่างลงสู่พื้นเวทีอย่างสง่างาม

เหยาจิ้งเฟยเมื่อทิ้งร่างลงกลางเวที ในมือเพิ่มหน้ากากยางไม้มาสองชิ้น พร้อมกับยื่นแสดงชูขึ้นเหนือศีรษะให้บรรดาขอทานทั้งหลายด้านล่างได้เห็นโดยทั่วกัน ทางด้านมารนภาหม่าจิ้งเถากับมารธุลีต้าเอ่อคา รีบสะอึกเข้าขวางร่างซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินเอาไว้ ป้องกันทั้งสองจะหลบหนีไป บัดนี้ทั้งสองเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงจากขอทานชราสองคน พอกระชากหน้ากากออกกลายเป็นดรุณีสะคราญโฉมสองนาง เหยาจิ้งเฟยอาศัยโอกาสนี้ส่งเสียงดังกังวานว่า

“ท่านทั้งหลายความจริงได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ทุกท่านต่างเห็นชัดแล้วว่าคนทั้งสองมิได้เป็นขอทานแต่อย่างใด แต่ไฉนจึงปลอมเป็นผู้เฒ่าทั้งสองมีจุดประสงค์อันใดแอบแฝงกันแน่? เห็นทีว่าจะปล่อยให้สองคนนี้หนีรอดไปมิได้ ท่านผู้เฒ่าหว่านผู้เฒ่าเยิ่นท่านทั้งสองรีบคร่ากุมตัวมันสองคนเอาไว้ แล้วนำตัวลงไปให้ขอทานทั้งหลายได้ลงโทษพวกมันทั้งสองด้วยมือของทุกคนเอง ท่านทั้งหลายด้านล่างเห็นว่าเป็นเช่นไร?”

บรรดาขอทานทั้งหลายด้านล่าง เมื่อเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซื่อเหมี่ยนกับอี้เซิน ว่าแท้จริงมิได้เป็นผู้เฒ่าลำดับแปดกับผู้เฒ่าลำดับเจ็ดอย่างที่เห็นก่อนหน้านี้ ต่างแสดงอาการเกรี้ยวกราดโกรธแค้นออกมา ต่างส่งเสียงตะโกนร้องด่าพร้อมกับทำท่าคล้ายจะกรูถาโถมขึ้นมาบนเวที เพื่อคร่ากุมตัวซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินลงไป

เหยาจิ้งเฟยกับมารนภาหม่าจิ้งเถาและมารธุลีต้าเอ่อคา ต่างหันสบตากันวูบหนึ่งเมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ส่วนซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินตอนนี้สถานการณ์อยู่ในช่วงคับขันหวาดเสียวถึงที่สุด ขณะที่ทั้งสองจะกำลังใช้ความคิดว่ากระทำเช่นไรต่อไปดี เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นก่อนพร้อมกับร่างสองสายพุ่งทะยานขึ้นมาบนเวที

“ช้าก่อนพี่น้องขอทานทั้งหลาย”

สิ้นเสียงร่างสองคนพลิ้วกายลงบนพื้นเวที เสียงที่กล่าวเมื่อครู่มิใช่ผู้ใดซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินจดจำแม่นยำว่าเป็นน้ำเสียงของจ่านจือ นางทั้งสองเมื่อได้ยินเสียงต่างแสดงสีหน้าดีใจและหายกังวลคล้ายผลักภูเขาออกจากอกปานฉะนั้น ต่างระบายลมหายใจออกมาจากปากอย่างโล่งอก เมื่อมองออกไปเห็นจ่านจือประคองผู้เฒ่าท่านหนึ่งพลิ้วร่างขึ้นมาบนเวที ทั้งสองคาดเดาได้ทันทีว่าต้องเป็นผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อ ซึ่งจ่านจือเคยเล่าให้ฟังอย่างแน่นอน

ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินทั้งสองจึงรีบสะอึกเข้ามาหาจ่านจือกับผู้เฒ่าท่านนั้นทันที พร้อมกับส่งเสียงเรียกจ่านจือเบา ๆ แล้วประสานมือคารวะแก่ผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อ

“เซี่ยวจือ” 

ทั้งซื่อเหมี่ยนและอี้เซินร้องเรียกจ่านจือพร้อมกัน เมื่อคารวะผู้เฒ่าตรงหน้าแล้วนางทั้งสองส่งเสียงทักทายว่า

“ข้าพเจ้าซื่อเหมี่ยนเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ขอคารวะท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อ” 

พอซื่อเหมี่ยนแนะนำตัวแล้ว อี้เซินจึงแนะนำตัวเองบ้างว่า

“ข้าพเจ้าเอวี้ยอี้เซินเป็นศิษย์น้องของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ขอคารวะท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อเช่นกัน”

ผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อพยักหน้าต่อนางทั้งสองเป็นการรับรู้ พร้อมกับหันไปมองทางด้านเหยาจิ้งเฟยกับมารนภาหม่าจิ้งเถาและมารธุลีต้าเอ่อคา ซึ่งตอนนี้รวมตัวกันอยู่มุมหนึ่งของพื้นเวที ทั้งสามคาดคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อที่เข้าใจว่าตกหุบเขาเสียชีวิตไปแล้วนั้น กลับปรากฏกายขึ้นในเวลานี้ ซึ่งเหนือความคาดหมายของทั้งสามยิ่งนัก

เหยาจิ้งเฟยเพ่งมองมาอย่างคาดคิดไม่ถึง สุดท้ายสายตามาหยุดอยู่ที่ขอทานน้อยผู้ซึ่งนางเคยช่วยเหลือไว้ ในความเข้าใจของเหยาจิ้งเฟยยังคงคิดว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมา เป็นผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อเป็นผู้หอบหิ้วร่างของเขาขึ้นสู่บนเวที หากนางทราบว่าแท้จริงเป็นจ่านจือต่างหากเล่า ที่เป็นผู้หอบหิ้วร่างของผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อขึ้นสู่บนเวที นางจะมีความรู้สึกเช่นไร?

เมื่อผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อปรากฏตัวขึ้นสถานการณ์ย่อมเปลี่ยนไป จ่านจือรีบประคองท่านก้าวออกมาด้านหน้าเวที พี่สาวทั้งสองของเขารีบก้าวตามติดมาไม่ห่าง ได้ยินเสียงบรรดาขอทานด้านล่างส่งเสียงเรียกท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อดังมาไม่ขาดหู จากนั้นผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อส่งเสียงต่อบรรดาขอทานด้านล่างขึ้นว่า

“พี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อ นับว่าสวรรค์ยังมิทอดทิ้งโชคดีที่มีชีวิตรอดกลับมาพบกับพี่น้องทั้งหลายได้ในค่ำคืนนี้ หากมิใช่น้ำใจของพ่อหนุ่มท่านนี้รวมถึงโกวเนี้ยน้อย ศิษย์ทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวช่วยเหลือไว้ เห็นทีค่ำคืนนี้คงเป็นคืนอัปยศที่สุดของบรรดาขอทาน บุคคลทั้งสามจึงถือว่าเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงต่อข้าพเจ้ารวมถึงพี่น้องขอทานทั้งหลายด้วย มิฉะนั้นแล้วหากมิได้โกวเนี้ยทั้งสองยื่นมือยับยั้งเอาไว้ก่อน พี่น้องทั้งหลายอาจจะหลงเชื่อคำพูดของคนชั่วสามคนแล้วย่อมเป็นได้ สองคนที่ปลอมตัวแอบอ้างเป็นผู้เฒ่าลำดับแปดหว่านฉีกับผู้เฒ่าลำดับเจ็ดเยิ่นเหมา มันสองคนเป็นผู้ที่ร่วมมือกันทำร้ายข้าพเจ้าตกหุบเขาไป หากมิได้พ่อหนุ่มท่านนี้ลงไปช่วยขึ้นมาข้าพเจ้าคงไปท่องเที่ยวยังปรโลกแล้ว”

เมื่อผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อกล่าวจบ จ่านจือจึงส่งเสียงกล่าวต่อบรรดาขอทานทั้งหลายด้านล่างว่า

“ข้าพเจ้ามีนามว่าจ้าวจ่านจือ มีเรื่องสำคัญอยากเรียนแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านอาวุโสขอทานพเนจรหวงเกาฉือบัดนี้ท่านอยู่ในเขตจงหยวน และก่อนหน้านั้นท่านมิได้เดินทางลงใต้แต่อย่างใด เมื่อสองวันก่อนข้าพเจ้าพร้อมกับพี่สาวทั้งสองได้มีโอกาสคารวะท่าน พอดีท่านอาวุโสมีธุระต้องไปกระทำเรื่องหนึ่งจึงได้ไหว้วานให้ข้าพเจ้ากับพี่สาวทั้งสอง เดินทางล่วงหน้ามาแจ้งข่าวแก่ทุกท่าน กลับคิดไม่ถึงว่ามาจะเกิดเรื่องราวขึ้นเสียก่อน”

ทางด้านเหยาจิ้งเฟยกับสองมารฟ้าดินเมื่อแผนการถูกเปิดโปง จึงเห็นต้องพ้องกันว่าก่อนจากไป ขอลงมือทำร้ายคนทั้งสี่ให้สาสมแก่ใจก่อน ดังนั้นเหยาจิ้งเฟยจึงส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า

“นึกไม่ถึงท่านผู้เฒ่าจะมีชะตากล้าแข็งนัก ขนาดถูกสองมารฟ้าดินทำร้ายจนตกเขาไป กลับยังมีชีวิตรอดกลับขึ้นมาได้อีก หากทราบเช่นนี้ตั้งแต่แรกข้าพเจ้าคงลงมือเองตั้งแต่ต้น เสียดายที่ตอนนั้นมิทันได้คิดแต่ท่านเฒ่าอย่าเพิ่งด่วนดีใจไป ในเมื่อข้าพเจ้าขอยืมมือขอทานทั้งหลายของท่านผู้เฒ่ามิได้ ข้าพเจ้าเห็นทีต้องเข่นฆ่าเสียให้หมดสิ้น เพื่อจะได้ไม่เป็นเสี้ยนหนามทิ่มตำในภายหลัง”

ผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อรู้ดีว่าตัวท่านในตอนนี้ คงไม่มีความสามารถที่จะรับมือกับสามคนร้ายได้ แต่ท่านยังเชื่อมั่นว่าเหล่าบรรดาขอทานด่านล่างมีจำนวนถึงพันกว่าคน หากจะเข่นฆ่าให้หมดสิ้นลำพังคนสามคนหากระทำได้ จึงกล่าววาจาสวนกลับไปทันทีว่า

“น่าขันกล้ากล่าววาจามิอายปาก ท่านบอกว่าขอหยิบยืมแต่กลับใช้วิธีการสกปรกชั่วช้า หากท่านสามคนคิดว่ามีความสามารถลงมือเข่นฆ่าได้ง่ายดายเช่นนั้น ท่านทั้งสามอาจจะดูแคลนบรรดาขอทานมากเกินไปแล้ว หากเจ้าสามคนคิดว่าจะหนีไปได้เชิญลงมือ”

เหยาจิ้งเฟยส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า

“เฉาลู่ฟาง”

ทันใดนั้นปรากฏคนผู้หนึ่งพลิ้วร่างขึ้นมาบนเวที เมื่อหยุดยืนต่อหน้าเหยาจิ้งเฟยแล้ว ประสานมือคราหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า

“นายน้อย ข้าพเจ้าเฉาลู่ฟางอยู่นี่แล้ว มีสิ่งใดให้ไปกระทำอีกหรือไม่?”

“สิ่งที่ข้าพเจ้าให้ท่านไปกระทำเป็นเช่นไร?”

เหยาจิ้งเฟยกล่าวถามคนผู้นั้นขึ้น คนผู้นั้นประสานมืออย่างนอบน้อม พร้อมกับตอบกลับมาว่า

“ทุกอย่างเรียบร้อยหามีสิ่งใดผิดพลาดแม้แต่น้อย นายน้อยโปรดวางใจ”

จ่านจือกับซื่อเหมี่ยนและอี้เซินเมื่อเห็นคนผู้นั้นจดจำออกโดยทันที ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเฉาลู่ฟาง ที่แท้คือขอทานน้อยที่ชื่ออาฉินเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง ทั้งสามคาดเดาไว้มิผิดว่าขอทานน้อยผู้นั้นจะต้องไม่รวบรัดธรรมดา จากปฏิกิริยาแววตาและท่วงท่าก้าวย่าง จะต้องเป็นผู้มีวรยุทธ์ไม่ต่ำทรามอย่างแน่นอน

จากนั้นเหยาจิ้งเฟยหันมาทางด้านจ่านจือกับผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

“ท่านผู้เฒ่า ท่านคิดว่าตำแหน่งที่ตั้งของเวทีตรงนี้ทิศทางอยู่เหนือลมใช่หรือไม่?”

“ถูกต้องท่านกล่าวมิผิด  ผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อกล่าวตอบไป”

“ฮาฮา หากเป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าต้องแสดงความเสียใจต่อบรรดาขอทานทั้งหลายของท่านด้วย  ข้าพเจ้าเรียนต่อท่านตามตรงว่าในกองไฟทั้งสองกองนั้น คนของข้าพเจ้าได้ใส่ผงหอมหวนสิบทิศลงไป ตอนนี้คิดว่าผงหอมหวนสิบทิศคงกระจายไปตามควันไฟและสายลม ขอทานทั้งหลายของท่านอยู่ตำแหน่งใต้ลม ถูกต้องหรือไม่?”

เหยาจิ้งเฟยหัวร่อด้วยความเจ้าเล่ห์ พร้อมกับกล่าววาจาอย่างเย้ยหยัน แม้แต่จ่านจือยังนึกไม่ถึงว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะอำมหิตโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ให้คนซึ่งคือเฉาลู่ฟางแอบโปรยผงหอมหวนสิบทิศลงไปในกองไฟ แรงลมและเปลวไฟที่โหมกระหน่ำทำให้ผงหอมหวนสิบทิศกระจายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เหยาจิ้งเฟยกล่าววาจาต่ออีกว่า

“ภายในสิบสองชั่วยามหากไม่มียาถอนพิษ พิษทั้งหมดจะกระจายไปทั่วร่างและเสียชีวิตในที่สุด ส่วนตอนนี้ผู้ที่สูดพิษเข้าไปเพียงหมดสิ้นเรี่ยวแรงอ่อนล้าสูญเสียพลังวัตรชั่วคราว ท่านผู้เฒ่ายังคิดว่าข้าพเจ้าดูแคลนบรรดาขอทานของทานอยู่อีกหรือไม่?”

“ท่าน...ท่านช่างอำมหิตโหดเหี้ยมนัก ผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อส่งเสียงด่าทอเหยาจิ้งเฟยอย่างระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่”

ตอนนี้ด้านล่างหน้าเวทีบรรดาขอทานทั้งหลาย ต่างเริ่มทยอยทรุดกายลงนั่งกับพื้นอย่างคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง ทางด้านมารนภาหม่าจิ้งเถากับมารธุลีต้าเอ่อคา กล่าวขึ้นกับเหยาจิ้งเฟยว่า

“นายน้อย คนพวกนี้จะให้กระทำเช่นไรกับพวกมัน? ข้าพเจ้าว่าเก็บมันทั้งสี่คนไว้จะเป็นขวากหนามได้ในภายหลัง ทางที่ดีควรลงมือสังหารเสียให้สิ้น”

“ได้จัดการตามที่ท่านว่า ท่านสองคนรวมทั้งเฉาลู่ฟางจัดการกับสามคนนั่น ส่วนขอทานน้อยผู้นั้นข้าพเจ้าขอลงมือจัดการเอง”

เหยาจิ้งเฟยกล่าวตอบไปบอกให้มารฟ้าดินกับเฉาลู่ฟางสามคน ลงมือต่อซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินและผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อส่วนนางจะลงมือต่อจ่านจือเอง กล่าวจบคนทั้งสี่ต่างดาหน้าเข้าหากลุ่มของจ่านจือโดยมิรั้งรอ

แต่ก่อนที่ทั้งสี่คนจะบรรลุถึงห่างราวห้าหกก้าว ทันใดนั้นเงาสองร่างปรากฏขึ้นพร้อมกับพุ่งร่างฝ่าอากาศมาดุจสายฟ้า คนหน้าอายุราวเจ็ดสิบคนหลังอยู่ห่างราวสามวาอายุประมาณสี่สิบเศษ คนหน้าเมื่อทิ้งร่างลงกับพื้นเวที ฝ่ามือซ้ายพุ่งออกเกิดเป็นสายลมหวีดหวิว เหยาจิ้งเฟยเห็นเช่นนั้นรีบพุ่งฝ่ามือออกด้วยวิชาฝ่ามือกระซิบวิญญาณ เข้าต้านทานโดยที่ยังมิทราบว่าผู้ที่มาเป็นผู้ใด

เมื่อสองฝ่ามือปะทะกันเกิดเป็นเสียงหนึ่งคล้ายสายลมกรีดนภา เสียงหนึ่งฟังคล้ายเสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหูพร้อมกับก่อเกิดเป็นคลื่นสุริยันทรงกลด เข้าปะทะกับคลื่นพลังลมปราณซึ่งรวมตัวดั่งมรสุมจนเกิดเป็นเสียงแปลกประหลาดพิกล เสียงเพี้ยะเมื่อสองฝ่ามือปะทะกันร่างของเหยาจิ้งเฟยถอยร่นกลับหลังไปสองก้าว ส่วนอีกผู้หนึ่งที่เพิ่งบรรลุมาถึงร่างยังคงยืนสงบนิ่งอยู่กับที่ พร้อมกันนั้นอีกร่างหนึ่งเพิ่งจะทิ้งเท้าลงใกล้ ๆ กับผู้ที่ปะทะฝ่ามือกับเหยาจิ้งเฟยเมื่อครู่นั่นเอง

เหยาจิ้งเฟยไม่ได้รับบาดเจ็บเท่าใดนัก แต่แสดงอาการตระหนกตกใจเล็กน้อย รีบออกคำสั่งให้สองมารฟ้าดินกับเฉาลู่ฟางถอยออกมาก่อน แล้วประสานมือต่อผู้มาใหม่ทั้งสองพร้อมกับกล่าวว่า

“ขอบคุณอาวุโสที่กรุณาออมมือ มิทราบว่าท่านมีนามสูงส่งว่ากระไร? ข้าพเจ้าเหยาจิ้งเฟยขอรับคำชี้แนะ”

“ข้าพเจ้าฉายาเจ้าผาแห่งสายลมนามเกาทิเหว่ย บังเอิญผ่านมาแถวนี้พร้อมกับศิษย์นามเหมาต้า พอดีได้เห็นท่านใช้วิธีการอันต่ำช้าเลวทรามจึงมิอาจนิ่งดูดายได้ ทางที่ดีท่านจงมอบยาถอนพิษออกมา มิฉะนั้นอย่าคิดว่าข้าพเจ้า เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยจะปล่อยท่านไป”

ที่แท้ผู้ที่มาคือเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยกับศิษย์คนโตนามเหมาต้า ซึ่งเป็นศิษย์พี่ของเฟิ่นมู่เหอกับเฟิ่นไป่ชิง เหยาจิ้งเฟยเมื่อได้ยินเช่นนั่นระเบิดเสียงหัวร่อออกมา ก่อนจะกล่าวตอบว่า

“ท่านคิดว่าข้าพเจ้าจะโง่เขลาถึงเพียงนั้นเชียวรึ? ถึงกับพกพายาถอนพิษติดตัวมาด้วยหรืออย่างไร หากท่านจะเข่นฆ่าก็เชิญลงมือเถอะ แต่หากขอทานนับพันชีวิตไม่ได้รับยาถอนพิษ ภายในสิบสองชั่วยามย่อมต้องตายทั้งหมดอยู่ดี ท่านจะกล่าวโทษข้าพเจ้าตอนนั้นนับสายไปแล้ว”

เหยาจิ้งเฟยกล่าววาจาโต้ตอบอย่างมีอุบายไม่ยอมจำนน จนทำให้เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยอับจนคำพูด จึงได้ถามกลับต่อเหยาจิ้งเฟยไปว่า

“หากเป็นเช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใด? จงรีบกล่าววาจาออกมาอย่าได้อ้อมค้อม”

“ยาถอนพิษข้าพเจ้ามิได้พกติดตัวมานี่เป็นคำสัตย์ หากต้องการยาถอนพิษจงปล่อยพวกเราสี่คนไปแล้วส่งคนของท่านไปรับยาถอนพิษ อีกหกชั่วยามข้างหน้าข้าพเจ้าจะรอคอยอยู่ที่ศาลาชมจันทร์ทางทิศตะวันออกห่างจากที่นี่ราวร้อยลี้ แต่มีข้อแม้ว่าแต่ต้องไปเพียงลำพังผู้เดียวเท่านั้น และข้าพเจ้าจะต้องเป็นผู้คัดเลือกตัวบุคคลผู้ที่จะไปรับยาถอนพิษจากข้าพเจ้าด้วย ท่านจะตกลงหรือไม่?”

“ย่อมได้ข้าพเจ้ารับปากท่าน แล้วท่านจะเลือกผู้ใด ให้ไปรับยาถอนพิษกับท่านจงรีบบอกออกมา หากท่านผิดคำพูดไม่รักษาสัจจะแล้วละก็ ข้าพเจ้าเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยจะตามไปสับท่านเป็นหมื่นชิ้น”

เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยกล่าวรับปาก พร้อมกับกล่าวถามไปว่าจะเลือกผู้ใด ให้ไปรับยาถอนพิษและยังกล่าวอีกว่า หากผิดคำพูดท่านจะไม่ละเว้นอย่างเด็ดขาด

“เช่นนั้นตกลงตามนี้ ผู้ที่ข้าพเจ้าต้องการให้เป็นผู้ที่เดินทางไปรับยาถอนพิษ คือเจ้าทึ่มขอทานผู้นั้น หากส่งผู้อื่นไปอย่าหมายว่าจะได้ยาถอนพิษกลับมาช่วยเหลือขอทานเหล่านั้น ผู้เฒ่าทั้งสองเฉาลู่ฟางพวกเราไป”

กล่าวจบทั้งสี่คนพลิ้วร่างจากไป ก่อนร่างจะลับหายเยี่ยนผิงในคราบของเหยาจิ้งเฟย หันมาจ้องมองจ่านจืออีกวูบหนึ่ง แล้วทั้งสี่จึงพลิ้วร่างลับหายไปกับความมืด ความหวังทั้งหมดของบรรดาเหล่าขอทานทั้งหลาย ต่างฝากเอาไว้กับจ่านจือ บุรุษหนุ่มผู้ซึ่งยังไม่มีผู้ใดทราบชัดว่าเขาเป็นศิษย์ของค่ายพรรคสำนักใด

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป