เธอเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายและเอ่ยว่า “ฉันยังต้องฝึกซ้อมมากกว่านี้ แต่ฉันจะแสดงบทนี้ให้ดีที่สุดค่ะ!”
พี่อู๋รู้สึกเอะใจกับคำพูดของเธอแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอจึงพูดว่า “ดี ถ้าอย่างนั้นก็รีบมาล่ะ” หลังจากเจ้าหน้าที่จากบริษัทตัวแทนวางสายไป
เฉียวโม่หยูวางมือถือของเธอออกไปไกลๆด้วยความหงุดหงิด และตรวจสอบที่ข้อมือ สร้อยข้อมือยังอยู่แต่ภัยคุกคามที่ร้ายแรงได้หายไปแล้ว
เธอถอนหายใจโล่งอก สังเกตเห็นว่าลั่วลั่วจ้องมองมาที่เธอ เฉียวโม่หยูจึงก้มตัวลงไปหาลั่วลั่วแล้วถามว่า
“เป่าเป้ย ลูกคิดว่าสร้อยข้อมือแม่สวยไหมจ๊ะ?”
เด็กน้อยจ้องมองเธอด้วยสีหน้าว่างเปล่า ใบหน้าบ่งบอกว่าไม่เข้าใจว่าเธอพูดถึงอะไร หรือว่าเจ้าลั่วลั่วตัวน้อยจะมองไม่เห็นสร้อยข้อมือ? เธอรู้สึกงุนงง แตะไปที่ข้อมือของเธอปรากฏว่ามันหายไปแล้ว
หลังจากที่พี่หยูเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อย เฉียวโม่หยูวางลั่วลั่วไว้ในที่นั่งทานข้าวของเด็ก ยกช้อนป้อนอาหารใส่ปากเด็กชาย “มามะ ทานหน่อยนะจ๊ะ!”
เฉียวโม่หยูวางปลาในปากลูกชายเธอ เด็กชายตัวน้อยอ้าปากขึ้นและเคี้ยวหมับๆ เฉียวโม่หยูหัวเราะเบาๆ เธอยกช้อนขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง คราวนี้เป็นฟักทอง
เด็กชายจ้องไปยังชิ้นผัก ขนตากระพริบขึ้นลงราวกับปีกผีเสื้อ คิ้วย่นเข้าหากันอย่างไม่แน่ใจเมื่อมองดูฟักทอง สุดท้ายเด็กชายยอมอ้าปาก
เมื่อเห็นดังนั้นเฉียวโม่หยูจึงรีบวางฟักทองในปากของเขา เด็กชายเคี้ยวได้สองครั้ง ก่อนที่หน้าจะหงิกเหมือนลูกบอล ดูท่าทางจะไม่อร่อย เด็กชายกลืนลงคอด้วยความยากลำบาก
ถัดจากพวกเขาคือพี่เลี้ยง เธออุทานขึ้นอย่างแปลกใจ “ลั่วลั่วไม่เคยทานฟักทองมาก่อนค่ะ คุณหนูยอมทานเมื่อคุณป้อน!” ทันทีที่พี่เลี้ยงแสดงความคิดเห็น เด็กชายดูเขินอาย น่าเสียดายที่เขากลืนมันลงไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงคายทิ้งออกมาเป็นก้อนกลมๆ
เฉียวโม่หยูเห็นใบหน้าอันเย่อหยิ่งของลูกชายเธอ เธอยิ้มและคิดว่ามันช่างน่ารักอะไรอย่างนี้ คุณแม่ยังสาวหั่นผักออกเป็นชิ้นเล็กๆ ทำเสียงเล็กเสียงน้อยขณะยื่นช้อนไปยังปากของลูกชาย
“เป่าเป้ย ลูกจะกลายเป็นหมูไม่ได้นะ ฟักทองมีสารอาหารที่จำเป็นต่อสายตา ทำให้ดวงตาสดใส แน่นอนว่าลูกลั่วลั่วของแม่มีดวงตาที่สดใสอยู่แล้ว แต่จะยิ่งสดใสและน่ารักขึ้นไปอีกหลังจากกินทั้งหมดนี้นะจ้ะ!”
เธอยังคงป้อนลูกของเธอต่อไป “เป่าเป้ย อีกคำนะจ้ะ”
เด็กชายดูอึกอัก แต่ยังคงยอมเคี้ยวอาหารที่แม่ของเขาป้อน
เมื่อเห็นว่าลูกชายเธอเคี้ยวเสร็จแล้ว เธอยิ้มอย่างพึงพอใจ เฉียวโมหยูก้มลงและจูบใบหน้าเล็ก ๆ ของเขา แก้มของเด็กชายเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นเสร็จ เด็กชายเริ่มรู้สึกง่วง ก่อนเข็มนาฬิกาชี้มาที่เลขแปดบ่งบอกว่าสองทุ่ม พี่เลี้ยงพาเขาไปอาบน้ำและพาเข้านอน
แม่ของเขาเล่านิทานก่อนนอนให้เขาฟัง เด็กน้อยไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน จึงมีความกระตือรือร้นอยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร แต่ในที่สุดก็ทนต่อความง่วงไม่ไหว จึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
รุ่งเช้า มีรถมารับเฉียวโม่หยูที่บ้าน ผู้ช่วยของเธอพามาส่งที่กองละคร
ละครจีนโบราณที่เธอร่วมแสดงนี้ส่วนหนึ่งดัดแปลงมาจากนิยาย นิยายเรื่องนี้โด่งดังเมื่อเจ็ดปีก่อนมีฐานแฟนๆมากมาย ในขณะเดียวกันนักแสดงหญิงลำดับที่สามกลับมีบทบาทในเนื้อเรื่องน้อยมาก ถึงแม้ตัวละครเธอจะเป็นถึงรักแรกของพระเอก
ตามความทรงจำดั้งเดิมของเฉียวโม่หยู หยูโหรวฮวนเองก็ไม่ได้บทนี้ถึงแม้เธอจะขอร้องคุณปู่เฉียวด้วยตัวเอง
เวลานี้ยังเช้าอยู่มากนักแสดงหลักทั้งชายและหญิงจึงยังมาไม่ถึง นักแสดงนำฝ่ายหญิงลำดับที่หนึ่ง แสดงโดย ชิงหว่านชวง น้องสาวของชิงอี้เฉิน เพราะเป็นพี่น้องกัน หล่อนจึงกลายมาเป็นนักแสดงหญิงแถวหน้า
และนักแสดงนำหลักฝ่ายชายเป็นผู้ที่ทุกคนรู้จักดี ราชาจอแก้ว ‘เย่เป่ยเฉิง’ เขาเป็นลูกชายคนรองของเย่กรุ๊ป ซึ่งมีอำนาจมาก มีข่าวลือว่าเขาสนใจในวงการบันเทิงมากกว่าการทำธุรกิจ
หลังจากเดบิวต์ได้ห้าปี เขาไม่เคยใช้เส้นสายในครอบครัว เขาประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของเขาเองล้วนๆ เย่เป่ยเฉิงได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมและได้รับการกล่าวขานว่าเป็นนักแสดงชายที่โด่งดังที่สุดในเวลานี้
มีเสียงตะโกนเชียร์ด้านนอก เฉียวโม่หยูลืมตาขึ้น เห็นผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งถูกล้อมรอบด้วยฝูงชน เดินเข้ามาข้างในสตูดิโออย่างช้าๆ
คิ้วเรียวยาวของเขาเหยียดตรงคมราวกับมีด เขาเดินเข้ามาด้วยอารมณ์ปกติ ดวงตาสีเข้มดำทะมึนสะท้อนคืนที่มืดมิด
เย่เป่ยเฉิงคนนั้น? เฉียวโม่หยูถอนหายใจ แม้แต่พระรองของโลกนี้ยังหล่อแบบลืมหายใจกันเลยทีเดียว
ระหว่างที่เธอกำลังใช้ความคิด สายตาของชายหนุ่มมองมายังเธอ ไม่มีร่องรอยอารมณ์ใดๆในดวงตาของเขา ราวกับว่าโลกที่เขาเห็นขณะนี้ไร้ซึ่งชีวิตชีวา
T/N: เฉียวโม่หยูรับบทเป็นนักแสดงหญิงลำดับที่สาม
นักแสดงหญิงลำดับที่หนึ่ง = นักแสดงหลัก
นักแสดงหญิงลำดับที่สอง = นักแสดงสมทบ
นักแสดงหญิงลำดับที่สาม = นักแสดงประกอบ