Your Wishlist

ฉันคือนายทุนในสงครามโลกครั้งที่ 1 : เริ่มต้นการกอบกู้ฝรั่งเศส (บทที่ 2 เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา)

Author: Lemprot

ตัวเอกย้อนเวลาไปเป็นทายาทรุ่นที่สามของครอบครัวที่ร่ำรวยที่ผลิตรถแทร็กเตอร์ในสาธารณรัฐฝรั่งเศส

จำนวนตอน :

บทที่ 2 เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา

  • 30/06/2568

บทที่ 2 เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา

เป็นเรื่องธรรมดาที่โยโควิชจะคิดแบบนี้ เพราะชาลส์เดินทางย้อนเวลาจากยุคปัจจุบันมาสู่ยุคนี้

 

ในเวลานี้ สงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งเริ่มต้นขึ้น และทุกคนก็คิดว่าสงครามคงจะยุติลงในเร็วๆ นี้ แต่ชาลส์รู้ดีว่าสงครามจะกินเวลานานกว่า 4 ปี และชาวฝรั่งเศส 1.69 ล้านคนจะเสียชีวิตในสงครามครั้งนี้

 

อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 4.25% หากไม่นับรวมผู้สูงอายุ สตรี เยาวชน และบุตรหลานของข้าราชการซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้ารับราชการทหาร อัตราการเสียชีวิตของทหารก็อยู่ที่ประมาณหนึ่งในสี่

  

มันเป็นตัวเลขที่น่ากลัวมาก เพราะมันหมายความว่าทุกสี่คนจะมีหนึ่งคนที่ต้องเสียชีวิต

 

หากรวมผู้บาดเจ็บเข้าไปด้วย ก็แทบไม่มีทหารคนไหนออกจากสงครามครั้งนี้ไปได้โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ

 

ชาลส์อายุ 17 ปีแล้ว และจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ในเร็วๆ นี้ ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาจะถูกเกณฑ์เข้ากองทัพในปีหน้าหรือปีถัดไป เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ในการรบ

 

เขาไม่ได้หวังให้ตัวเองย้อนเวลามาอย่างยากลำบาก เพื่อมาตายอย่างเป็นปริศนาในสนามรบ 

  

เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ เขาจึงตัดสินใจหาเหตุผลดีๆ ให้กับตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกส่งไปรบ

 

หรือต่อให้ถูกเกณฑ์ทหาร ก็จะไม่ถูกส่งไปยังแนวหน้า

  

ชาลส์คิดว่าอุตสาหกรรมการทหารเป็นหนทางที่ดี

 

หากเขาสามารถจัดหาอาวุธคุณภาพสูงและล้ำยุคให้กับทางกองทัพได้ โดยอาวุธเหล่านี้สามารถช่วยให้ฝรั่งเศสเอาชนะสงครามได้ พวกเขายังมีเหตุผลอะไรที่จะส่งเขาไปออกรบอีก?

  

หากคุณสามารถช่วยชีวิตผู้คนและสร้างรายได้ในเวลาเดียวกันได้ แล้วทำไมถึงไม่ทำมันล่ะ?

  

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ฟรานซิสก็กลับมา

  

เขาชูเอกสารในมือขึ้นแล้วประกาศอย่างตื่นเต้นว่า

 

“โรงงานผลิตจักรยานยนต์เป็นของพวกเราแล้ว ผู้ชายคนนั้นลังเลว่าจะออกจากโรงงานไปดีไหม แต่พอได้ยินเรื่องการแลกเปลี่ยน เขาก็คว้ามันไว้ราวกับเป็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย จากนั้นก็เซ็นสัญญาโดยไม่พูดอะไรสักคำ!”

 

ปิแอร์มองฟรานซิสด้วยความตกใจ เขาคิดว่าเรื่องนี้คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองวันในการหารือ เขาจึงไม่ได้รีบหยุดมัน แต่ไม่คาดคิดว่าสัญญาจะถูกลงนามในชั่วพริบตา

 

“ท่านพ่อ นี่เป็นเรื่องดีจริงๆ เหรอ?”  ปิแอร์ไม่ได้ปิดบังความสิ้นหวังและความผิดหวังของเขา “ตอนนี้ทรัพย์สินทั้งหมดของเราอยู่ที่ดาร์วัวส์ เมื่อพวกเยอรมันมา เราก็จะไม่มีอะไรเหลือเลย!”

 

ฟรานซิสไม่สนใจความโกรธของปิแอร์ เขามองไปทางชาลส์ด้วยรอยยิ้ม “เธอก็คิดเหมือนฉันใช่ไหม ที่พวกเยอรมันคงมาถึงที่นี่ไม่ได้?”

 

ฟรานซิสให้ความสนใจต่อการเคลื่อนไหวของกองทัพ เขาเชื่อว่ากองทัพฝรั่งเศสกำลังล่าถอยอย่างมีกลยุทธ์แบบแผน และดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน พวกเขายังคงมีพลังและกำลังรอโอกาสในการโต้กลับ

  

ดังนั้นเขาจึงเดิมพันทุกอย่างกับมัน

แต่ชาลส์กลับส่ายหน้า

 

“ไม่ครับ ท่าน ตรงกันข้าม ผมคิดว่าพวกเยอรมันจะมาถึงที่นี่!”

  

ฟรานซิสรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบนี้

  

ถึงแม้ว่าเขาจะยึดมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง แต่เขาก็ไม่เข้าใจเจตนาของชาลส์

  

หากเยอรมันสามารถมาถึงที่นี่ได้ การที่เราเพิ่มเดิมพันลงไปก็จะถือว่าเป็นความสูญเสียไม่ใช่หรือ?

  

เมื่อเห็นว่าชาลส์ลังเลที่จะพูด ฟรานซิสก็รู้ทันทีว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่สะดวกที่จะพูดต่อหน้าผู้อื่น

 

เดิมทีฟรานซิสไม่สนใจเรื่องนั้น เพราะว่าเขาก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่น และเด็กวัยรุ่นจะไปเข้าใจอะไรได้? ประโยคก่อนหน้านี้ก็เพื่อดึงดูดความสนใจเท่านั้นเอง เด็กวัยรุ่นก็มักจะทำแบบนี้กัน

  

แต่ความอยากรู้อยากเห็นผลักดันให้ฟรานซิสตัดสินใจคุยกับเจ้าเด็กนี่

  

“เอาล่ะ พวกเราไปดื่มกาแฟที่ห้องทำงานกัน!”

  

น้ำเสียงของฟรานซิสชัดเจนราวกับผู้บังคับบัญชากำลังออกคำสั่งแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา

  

สิ่งนี้ทำให้ชาลส์รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

  

ถ้าตาแก่นี่ไม่ยอมรับเขาเป็นหลาน แล้วมีสิทธิอะไรมาแสดงท่าทางเป็นผู้อาวุโสกับเขา?

 

ไม่ได้ทำหน้าที่ปู่ แต่ก็ยังได้รับสิทธิ์ตามปกติใช่ไหม?

  

หากไม่คิดจะใช้ตาแก่นี่เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการทหาร ชาลส์ก็คร้านจะยุ่งกับเขา!

………

ห้องทำงานอยู่ที่ชั้นสอง โครงสร้างนั้นเรียบง่ายแต่ก็มีเสน่ห์ ผนังทั้งสองข้างเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือซึ่งอัดแน่นไปด้วยหนังสือ ตรงกลางเป็นโต๊ะไม้มะฮอกกานี นอกจากโคมไฟตั้งโต๊ะแล้ว ยังมีเก้าอี้สองสามตัวและบันไดหนังสือสามชั้นอีกด้วย

  

ชาลส์และฟรานซิสนั่งตรงข้ามกันที่โต๊ะทำงาน โดยมีพ่อบ้านนำกาแฟสองแก้วมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขาตามลำดับ กลิ่นหอมอันเข้มข้นฟุ้งกระจายไปในอากาศ

 

เป็นเมล็ดกาแฟของแอลจีเรีย ฟรานซิสเชื่อว่ามีเพียงเมล็ดกาแฟที่ปลูกในพื้นที่สูงและกึ่งร้อนเท่านั้นที่มีรสชาติเข้มข้นเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องขนสินค้ามาไกลหลายพันไมล์ ราคาจึงสูงกว่าถึงสองเท่า

  

เขาเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมกับถือกาแฟไว้ในมือ ดมกลิ่นอย่างเพลิดเพลิน จากนั้นก็จิบกาแฟโดยจ้องไปที่ถ้วย เขาถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เธอดูเหมือนมีอะไรจะพูดใช่ไหม?”

  

ชาลส์เติมน้ำตาลลงไปในกาแฟ คนด้วยช้อน แล้วพูดช้าๆ ว่า “ท่านครับ ผมคิดว่าท่านน่าจะกังวลมากกว่าว่าฝรั่งเศสจะชนะสงครามในครั้งนี้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าเยอรมันจะมาที่นี่ได้หรือไม่!”

  

ฟรานซิสย้อนถามโดยไม่แสดงความคิดเห็นว่า “มันไม่ใช่ความหมายเดียวกันหรือ?

 

ชาลส์ส่ายหน้า

 

“ไม่ครับ ท่าน หากฝรั่งเศสแพ้สงคราม โรงงานจะต้องถูกปล้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าเยอรมันจะมาถึงที่นี่หรือไม่ก็ตาม!”

  

ฟรานซิสเงยหน้ามองชาลส์ด้วยความประหลาดใจ

 

เจ้าเด็กนี่พูดถูก โรงงานผลิตแทรกเตอร์ โรงงานผลิตจักรยานยนต์หรือแม้แต่สายการผลิตปืนกล ล้วนเป็นสิ่งที่ชาวเยอรมันต้องการ

 

หากเยอรมันชนะสงคราม โรงงานที่อยู่ห่างจากปารีสเพียงสิบกว่ากิโลเมตรก็ไม่สามารถรอดพ้นไปได้ และพวกมันจะขนอุปกรณ์ทั้งหมดรวมถึงรถแทรกเตอร์กลับไปที่เยอรมนี

  

ชาลส์กล่าวเสริมว่า “ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำก่อนคือช่วยให้ฝรั่งเศสชนะสงคราม และสอง ปกป้องดาร์วัวส์

อันแรกเป็นทิศทางยุทธศาสตร์ ส่วนอันหลังเป็นทิศทางยุทธวิธี มีเพียงเอาชนะทั้งสองอย่าง ความปลอดภัยของโรงงานจึงสามารถรับประกันได้

  

ฟรานซิสจ้องมองชาลส์อย่างว่างเปล่า จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา เขามองชาลส์เหมือนเป็นเรื่องตลก

  

“เจ้าหนู นายดูเหมือนอยากจะสร้างความประทับใจให้กับฉันมาก แต่ว่าพยายามมากเกินไป!”

  

“ช่วยฝรั่งเศสชนะสงคราม? ปกป้องดาร์วัวส์?”

  

“ถ้าหากนายเป็นนโปเลียน ฉันก็อาจจะเชื่อ แต่ว่า...”

  

ฟรานซิสยิ้มแล้วส่ายหน้า ในดวงตาฉายแววดูถูกเหยียดหยาม

ชาลส์กลอกตา ความเย่อหยิ่งของฟรานซิสทำเอาเขาพูดอะไรไม่ออก ฉันจำเป็นต้องทำให้ตาแก่อย่างนายประทับใจด้วยหรือ?

  

อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดจะโต้แย้งกับฟรานซิสในประเด็นนี้มากเกินไป และการโต้กลับที่ทรงพลังที่สุดก็คือการตบหน้าชายชราด้วยข้อเท็จจริง

 

ชาลส์สังเกตเห็นแผนที่บนโต๊ะ ซึ่งฟรานซิสใช้บันทึกในการขายรถแทรกเตอร์ในสถานที่ต่างๆ

  

ชาลส์เลื่อนถ้วยกาแฟออกไป แล้วหยิบแผนที่ขึ้นมากางออกตรงหน้าเขา พร้อมกับชี้ไปที่แผนที่ขณะวิเคราะห์อย่างมั่นใจ

 

“ชาวเยอรมันวางแผนที่จะใช้กองพลสองกองเพื่อปิดล้อมปารีส โดยกองพลที่หนึ่งอยู่ทางตะวันตกและกองพลที่สองทางตะวันออก”

  

“ในหมู่พวกเขา กองพลที่หนึ่งซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเคลื่อนพลเร็วมาก ทิ้งห่างกองพลที่สองถึง 40 กม.”

  

ฟรานซิสยิ้มแล้วพูดว่า “อืม” เด็กคนนี้ก็พอรู้บางอย่าง

  

แต่เรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่ความลับ มีรายงานการสู้รบอย่างต่อเนื่องมาจากแนวหน้า และทหารที่หนีกลับมาก็นำข่าวสารล่าสุดมาด้วย

  

แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะน่าชื่มชมสำหรับเด็กอายุ 17 ปี แต่ถ้าหากเด็กคนนี้ต้องการใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อแลกกับการยอมรับจากเขาล่ะก็ ไร้ประโยชน์!

ชาลส์เพิกเฉยต่อสายตาประหลาดๆ ของฟรานซิสและกล่าวต่อไปว่า “ถ้าสงครามยังดำเนินต่อไปในลักษณะนี้ เยอรมันจะล้อมปารีสและชนะสงครามได้อย่างไม่ต้องสงสัย”

  

ฟรานซิสพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อยอมรับการคาดการณ์นี้

 

ปารีสเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของฝรั่งเศส เมื่อปารีสพ่ายแพ้ ขวัญกำลังใจของกองทหารฝรั่งเศสและพลเรือน รวมถึงการระดมพลกองทัพจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และสงครามก็แทบจะยุติลง

แต่ว่า...

  

“เธอมีวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้ไหม?” ฟรานซิสกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย

  

เจ้าเด็กโง่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง นึกว่าตัวเองเป็นนโปเลียนกลับชาติมาเกิดรึไง!

  

ชาลส์ชี้ไปที่ตำแหน่งของกองพลที่ 1 ของเยอรมันและกล่าวว่า “หากเปลี่ยนทิศทางการเดินทัพจากล้อมปารีสตะวันตกเป็นล้อมปารีสตะวันออก ฝรั่งเศสก็อาจจะชนะสงครามได้!”

  

ฟรานซิสส่ายหัวเล็กน้อยและพูดติดตลกว่า “น่าเสียดายนะ เจ้าหนู เราไม่อาจสั่งการกองทัพของศัตรูได้!”

  

ฟรานซิสวางถ้วยกาแฟลงและทำท่าจะส่งเขาออกไป โดยตั้งใจที่จะยุติบทสนทนาที่ไม่มีความหมายนี้

  

ชาลส์เข้าใจว่าฟรานซิสอาจจะเป็นนักธุรกิจที่ดี แต่เขาก็ไม่รู้เรื่องกิจการทหารเลย และถึงกับหัวเราะเยาะคนอื่นด้วยความไม่รู้ของตัวเอง

  

ชาลส์ขยับนิ้วไปข้างหน้าเบาๆ “ท่านพูดถูกครับ! ถึงแม้เราจะไม่สามารถสั่งการกองทัพของศัตรูได้ แต่ว่าเราสามารถเปลี่ยนทิศทางในการล่าถอยของกองทัพฝรั่งเศสได้”

  

“และนี่จะดึงดูดความสนใจของศัตรู เพราะศัตรูต้องการทำลายกองทัพฝรั่งเศส!”

 

ชาลส์เงยหน้าขึ้นและมองเข้าไปในดวงตาของฟรานซิส เขามองฟรานซิสเราวกับมองคนโง่

 

ท่าทีของฟรานซิสเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเริ่มรู้สึกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เขาคิด

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า