เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากหลังประตูห้องทรมาน แต่เวลานั้นสั้นเกินกว่าที่ทหารสองนายจะกินอาหารเสร็จ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แซลลี่รีบตรงไปที่เตียง เธอจับผ้านวมที่เปื้อนเลือดออกข้างหนึ่ง แต่ทันใดนั้น ประตูก็เปิดออกอย่างแรง
“…แซลลี่ บริสตอล เธอกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่?”
เสียงที่แผ่วเบาและอ่อนโยนราวกับขนนกกลับเย็นเยียบลงที่กระดูกสันหลังของเธอ…ทำไมกัปตันวินสตันถึงกลับมาตอนนี้ ในช่วงเวลานี้พอดี?
แซลลี่กอดผ้านวมที่เพิ่งดึงออกมาหลวม ๆ แล้วค่อย ๆ หันหลังกลับไป ทหารหนุ่มนายหนึ่งยืนถือประตูที่เปิดกว้างไว้ด้วยท่าทีแข็งทื่อ
ชายผู้หนึ่งเดินผ่านเข้ามาระหว่างพวกเขาโดยไม่ลังเล พร้อมเสื้อโค้ทยาวสีเทาอ่อนพาดบ่า ใต้เสื้อโค้ทที่พลิ้วไหวคือเครื่องแบบนายทหารสีดำที่ประดับด้วยเหรียญตราสีสันสดใส
ทุกครั้งที่เหรียญตราถูกเพิ่มเข้ามาทีละชิ้น เธอยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน เพราะกลิ่นคาวเลือดดูเหมือนจะระเหยออกมาจากเหรียญนั้น
“สวัสดีค่ะ กัปตัน ฉันเอามื้อเที่ยงมาให้แขกและเก็บผ้าซักกลับไปค่ะ”
เธอปรับใบหน้าให้ดูไร้เดียงสาเล็กน้อยพร้อมใส่ท่าทีสงสัยเล็ก ๆ ราวกับไม่รู้อะไรเลย
“เธออยู่คนเดียว?”
“ค่ะ คุณป้าเอเธลลาออกไปเมื่อเดือนที่แล้ว…”
“ฮา…”
กัปตันวินสตันถอนหายใจเสียงแผ่ว แต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียง
แม้ว่าวินสตันจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยพร้อมหัวเราะเบา ๆ แต่ดวงตาเย็นชาของเขากลับไม่ได้แสดงความยิ้มแย้มใด ๆ เลย
เมื่อเผชิญหน้ากับเขาในสภาพเช่นนั้น แซลลี่เองก็รู้สึกอยากจะเลียริมฝีปากที่แห้งผากของเธอ แต่เธอก็อดกลั้นไว้ เพราะไม่ต้องการให้เขารู้ว่าเธอกำลังประหม่า
‘เขายังไม่สังเกตเห็นอะไรใช่ไหม? ถ้าเขาถามว่าเราคุยอะไรกัน ฉันยังมีข้อแก้ตัวอีกเยอะแยะ…’
ขณะที่เธอเร่งคิดแผนการต่าง ๆ นานาในหัว เธอก็เอียงศีรษะเล็กน้อยและกระพริบตา ทำหน้าตาเหมือนไม่เข้าใจอะไร
วินสตันยืนอยู่ระหว่างชายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะและเธอ
ความสูงและรูปร่างที่ใหญ่โตของเขาทำให้แซลลี่รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับกำแพง เขามองชายคนนั้นที่มือเริ่มสั่นอย่างเห็นได้ชัดด้วยสายตาเย็นชาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะละสายตาและลดท่าทีที่เฉียบคมลง
นิ้วมือที่ยื่นออกมาซึ่งคมชัดเหมือนดวงตาของเขา ลูบผมสีบลอนด์ของตัวเองอย่างเรียบร้อย
“ฉันรู้แล้ว แซลลี่ เธอรู้ว่าฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
เขาพูดกดดันเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ฟังดูเหมือนกำลังพูดกับคนรัก ก่อนจะหมุนตัวกลับอย่างกะทันหัน
ปลายแส้สำหรับขี่ม้าในมือของเขา ซึ่งสวมถุงมือหนังสีดำชี้ไปยังร้อยโทคนหนึ่งที่ดูเหมือนผู้ช่วยของเขา
“แคมป์เบลล์ ไปตามคนที่เฝ้าประตูมาเดี๋ยวนี้”
เสียงต่ำลึกที่น่ากลัว
ในชั่วขณะนั้น ภาพหลอนของเสียงแส้ที่แหวกอากาศและฉีกเนื้อของเธอดังก้องอยู่ในหัวของแซลลี่
เธอยืนอยู่อย่างกับนักโทษที่ถูกกดดันติดกำแพง โดยในมือยังคงกอดผ้านวมไว้
ขณะที่วินสตันรอคนของเขา เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องทรมานราวกับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก กระดูกสันหลังของแซลลี่เย็นวาบเมื่อเขายกโซ่ที่ห้อยอยู่ข้างตัวเธอขึ้นมาเล่น ก่อนจะวางไว้เบา ๆ บริเวณลำคอของเธอ
…ถ้าเธอแค่นำ “มัน” มาด้วย แต่เธอกลับไม่ได้ทำ…
“กัปตันครับ ผมพาคนมาแล้ว”
แซลลี่ถอนหายใจเงียบ ๆ ในใจ เธอไม่รู้ว่านี่คือความโล่งอกหรือความสิ้นหวังกันแน่
ริมฝีปากของทหารทั้งสองมันแผล็บด้วยคราบน้ำมัน ราวกับพวกเขาถูกลากมาตรงกลางมื้ออาหาร จ่าสิบโทยืนตรงในท่าทำความเคารพด้วยสีหน้าตึงเครียด ขณะที่มือที่แตะอยู่บนหน้าผากนั้นสั่นเล็กน้อย
“กัปตันครับ คุณเรียกผมหรือเปล่า?”
“ใช่ แล้วนายคิดว่าทำไมฉันถึงเรียกนายล่ะ? ลองเดาดูสิ”
คำพูดที่ดูเหมือนจะล้อเล่นอย่างเป็นกันเอง ราวกับกำลังพูดกับเพื่อน แต่ไม่มีใครมองสถานการณ์นี้ว่าเบา ๆ เลย
ดวงตาของจ่าสิบโทมองไปรอบ ๆ ห้องทรมานด้วยความกังวล เขาทำอะไรผิดไปหรือ? คำตอบต้องอยู่ในห้องนี้อย่างแน่นอน
ทันทีที่เขาเห็นสาวใช้ที่ยืนพิงกำแพงห่างจากกัปตันเพียงหนึ่งก้าว คำตอบก็ผุดขึ้นในใจทันที
‘…เธอบอกว่าจะเข้า ๆ ออก ๆ อย่างรวดเร็ว แล้วทำไมยังอยู่ที่นี่?’
เขาเก็บคำด่าไว้ในใจ
“คุณบอกผมว่าอย่าให้สาวใช้เข้าไปคนเดียว”
“ถูกต้อง”
คิ้วของวินสตันโค้งขึ้นอย่างนุ่มนวล แต่ความตึงเครียดในห้องทรมานกลับเพิ่มมากขึ้น
ฟึ่บ…ฟึ่บ…
แส้ในมือขวาของเขาสะบัดผ่านอากาศเย็นเฉียบและฟาดเบา ๆ ลงบนฝ่ามือซ้าย ทุกครั้งที่เสียงดังขึ้น ทหารทั้งสองก็สะดุ้งเหมือนเป็นคนที่ถูกฟาดเสียเอง
“นายมีหูไว้ฟังคำสั่งของฉัน แต่ดูเหมือนว่านายจะไม่มีสมองไว้เข้าใจใช่ไหม?”
“ไม่…ไม่ครับ—”
“ถ้างั้น ให้ฉันบอกนายว่าทำไมฉันถึงสั่งไม่ให้สาวใช้ของฉัน แซลลี่ บริสตอล เข้ามาคนเดียว”
ท้องของแซลลี่ปั่นป่วนขึ้นมา
ทำไมเธอถึงกลายเป็น ‘สาวน้อยแซลลี่ บริสตอล’ ได้…? ไม่ใช่เพียงเพราะชื่อที่เขาเรียกเต็มไปด้วยความเป็นสุภาพบุรุษเกินจริง หรือการแสดงออกที่หยาบคายเกินไป แต่มันคือการเสียดแทงที่อยู่เบื้องหลังน้ำเสียงนั้นต่างหาก
ทันใดนั้น วินสตันก้าวเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น และมือของเขาก็จับลงบนไหล่ของเธอ ความรู้สึกเย็นวาบแล่นผ่านตั้งแต่จุดที่มือของเขาสัมผัสไปจนถึงเอวด้านหลัง ขนทั่วร่างของแซลลี่ลุกชัน
ถ้าเป็นสาวใช้คนอื่น พวกเธอจะทำอย่างไร...?
แซลลี่ใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว เธอกัดริมฝีปากล่างและยกมือเย็นเฉียบขึ้นแตะที่แก้มข้างหนึ่ง
‘หวังว่าการแกล้งทำเป็นเขินจะได้ผลนะ’
เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความร้อนรนของพลทหารเฟร็ด สมิธ
“ไอ้สารเลวนั่น…”
จ่าสิบโทเหลือบมองชายคนหนึ่งที่นั่งตัวแข็งเหมือนไม้ในอีกฟากของห้อง ก่อนจะหันกลับมามองกัปตันด้วยท่าทีสุภาพ
“…เขาบอกว่าเขาอาจจะเกิดอาการกระวนกระวาย และอาจโจมตีแซลลี่ได้ครับ”
แซลลี่? เกิดอาการกระวนกระวาย...? ทั้งที่เขาไม่มีแม้แต่แรงจะยกช้อนขึ้นมา—
นอกจากนี้ แซลลี่ก็ไม่ได้มีอะไรดึงดูดใจ แม้ว่าเธอจะดูน่ารัก แต่เธอก็ไม่มีเสน่ห์ที่ปลุกเร้าความอยากในตัวชายได้เลย ดังนั้นเหตุผลนี้ฟังดูไร้สาระ
แต่ถึงอย่างนั้น หากผู้บังคับบัญชากล่าวเช่นนั้น ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“แซลลี่ เธอได้ยินไหม?”
วินสตันในที่สุดก็ปล่อยมือลงจากไหล่ของเธอ แต่ก่อนที่แซลลี่จะได้ผ่อนคลายปลดปล่อยลมหายใจ ปลายนิ้วของเขากลับเชยคางของเธอขึ้นเบา ๆ
“ที่นี่อันตรายสำหรับผู้หญิงที่บอบบาง”
“…ค่ะ ฉันจะระวังตัว”
แม้ว่าเธอจะตอบในสิ่งที่เขาต้องการได้ยินทันที แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยคางของเธอ เขาเอียงศีรษะของเธอในมุมหนึ่งราวกับจะจูบ พร้อมกับจ้องมองแซลลี่ด้วยสายตาที่หนักแน่น
‘คุณต่างหากที่อันตรายสำหรับฉัน’
คราวนี้เธอจำเป็นต้องเลียริมฝีปากที่แห้งของเธอ
เมื่อปลายลิ้นของเธอแตะริมฝีปากล่าง วินสตันขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะปล่อยมือจากคางของเธอ
“พวกนายได้ยินด้วยหรือเปล่า?”
เขาเดินเข้าไปหาทหารที่ทำผิดกฎ
“ที่นี่ อันตราย สำหรับแซลลี่ที่บอบบาง”
ทุกครั้งที่เขาหยุดเว้นวรรคในประโยค ปลายแส้สำหรับขี่ม้าที่เรียวและยืดหยุ่นกลับทิ่มแทงเข้าที่หน้าท้องของทหารอย่างแรง
น้ำเสียงของเขาค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราดราวกับเสียงคำรามของสิงโตที่กำลังโกรธจัด
เหงื่อเย็นไหลลงมาตามแผ่นหลังของแซลลี่ เธอสนิทกับพี่สาวคนที่สามของเฟร็ด และเคยเห็นเขามาตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก เธอจึงกลัวว่าเฟร็ด ซึ่งเหมือนน้องชายแท้ ๆ ของเธอ จะถูกลงโทษอย่างหนัก
แซลลี่ก้มหน้าลงต่ำ
ไม่นาน ไหล่ของเธอก็เริ่มสั่น ขณะที่เธอหดตัวเหมือนกระต่ายที่หวาดกลัว น้ำตาเม็ดโตหยดลงมาจากดวงตาของเธอ
“ฉัน…ฉันขอโทษ… มันเป็นเพราะฉันที่เข้ามาที่นี่เองค่ะ ฉันยอมรับโทษแทนพวกเขาเอง กัปตัน”
เธอจับชายเสื้อโค้ทยาวของเขาไว้แน่นก่อนจะเขย่าเบา ๆ
“ผู้ชายกลายเป็นคนโง่เมื่อผู้หญิงร้องไห้”
นั่นคือสิ่งที่แม่ของเธอเคยพูดไว้
อย่างไรก็ตาม แม่บอกว่าอย่าใช้วิธีนี้บ่อยเกินไป เพราะมันจะไม่ได้ผลถ้าทำซ้ำ ๆ
เขาเป็นผู้ชายที่ไม่สามารถละเลยน้ำตาได้ใช่ไหม? วินสตันหยุดแส้ที่กำลังจะแทงหน้าอกของเฟร็ด ก่อนจะเดินกลับมาหาแซลลี่
“แซลลี่ เธอไม่ต้องทำแบบนี้อีกแล้ว เข้าใจไหม? หืม?”
“ฮึก… เข้าใจค่ะ…”
แซลลี่พยายามเช็ดน้ำตาออกด้วยแขนเสื้อของเธอ แต่เขาหยุดเธอไว้ มือของวินสตันประคองคางของเธอ ก่อนที่ผ้าเช็ดหน้าซึ่งพับอย่างเรียบร้อยจะค่อย ๆ ซับรอยน้ำตาของเธอจนแห้ง
พฤติกรรมที่เอาใจใส่ของเขาทำให้ทุกคนเบิกตากว้าง พวกเขาตกใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นวินสตันจ้องมองผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของสาวใช้ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บมันลงในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต
เขาคือคนที่มักโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งบนพื้นทุกครั้งที่ใช้เสร็จ แต่คราวนี้มันกลับเป็นผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตาจากสาวใช้ต่ำต้อย
“ต่อไปให้วางอาหารไว้ข้างนอก”
“ค่ะ ฉันจะทำตาม…”
เป็นช่วงเวลาที่แซลลี่รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่เหมือนแหย่เด็กของเขา แต่แล้ว มือของวินสตันที่วางอยู่บนคางของเธอก็หยุดชะงักกลางอากาศ ก่อนที่เขาจะจับนิ้วโป้งของมือซ้ายเธอขึ้นมา ดวงตาที่อ่อนโยนกลับเปลี่ยมเป็นคมกริบในทันใด
เลือดในตัวของแซลลี่เย็นเฉียบลงขณะที่เธอจ้องตามสายตาของเขา…เศษเปลือกไข่เล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งติดอยู่ใต้เล็บของเธอ
เขายิ้มมุมปากขณะที่มองเปลือกไข่ที่กองเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าสายลับ แต่ดวงตาของเขาไร้ซึ่งรอยยิ้ม
เล็บของวินสตันที่ตัดอย่างเรียบร้อยจิกลงใต้เล็บของเธอ เล็บที่แทรกลึกลงราวกับจะขุดทะลุผ่านเนื้อถูกบิดอย่างโหดร้าย
แซลลี่กลั้นเสียงครางจากความเจ็บปวดที่บดขยี้เนื้ออ่อนของเธอ นิสัยไม่ดีของเธอที่ชินกับการอดทนต่อความเจ็บปวดจากการฝึกทนทรมาน ทำให้เธอพยายามอดกลั้นแม้ในเวลาที่ไม่จำเป็น
วินสตันจ้องมองเศษเปลือกไข่ขาวที่ติดปลายเล็บของเขาเงียบ ๆ ก่อนจะสะบัดมันทิ้ง
คำพูดเย็นชาเหมือนใบมีดพุ่งผ่านหัวเธอไปพร้อมกับเศษเปลือกไข่
“แซลลี่ เธอช่างใจดีจนทำให้ฉันรำคาญ”