เผด็จการ ตรงไปตรงมาและประธานบริษัทหญิงผู้บ้างาน VS พ่อครัว สามี และบอสหมาป่า
เผด็จการ ตรงไปตรงมาและประธานบริษัทหญิงผู้บ้างาน VS พ่อครัว สามี และบอสหมาป่า
เมื่อกลับมาที่สำนักงาน ซู่จินก็หยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าของเธอ
เธอเริ่มพิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์มือถือขณะยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานใหญ่ เธอวางแผนจะถามหยานหลินว่าเขามีเวลากินข้าวหรือยัง
แต่หลังจากลังเลอยู่สักนาที เธอก็เลิกความคิดนี้
การส่งข้อความมันดูเป็นคนขี้ขลาดเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
เวลาพักเที่ยงของเธอสั้นมาก เธอไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะได้รับคำตอบหลังจากส่งข้อความไปแล้ว
นอกจากนี้ หากบุคลิกของหยานหลินค่อนข้างนิ่งเฉยมากกว่าที่เธอคิดและหากเขาเพิกเฉยต่อข้อความ เธอจะแค่นั่งรออยู่อย่างนั้นเหรอ?
เธอใส่เบอร์โทรศัพท์มือถือแล้วโทรออก
“กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง…”
“สวัสดีครับ”
เสียงทุ้มลึกของชายคนนั้นดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือ ทำให้จู่ๆ หูของซู่จินจั๊กจี้
“สวัสดีค่ะ คุณหยาน ฉันชื่อซู่จิน คนที่คุณรับขึ้นรถเมื่อคืนนี้ คุณจำได้ไหม?”
อีกฝ่ายเงียบไปสองวินาที จากนั้น ชายคนนั้นก็ดูเหมือนจะหัวเราะในลำคอ “อ๋อ คุณนั่นเอง”
“ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ถนนตงซิน และอยากจะเลี้ยงอาหารคุณ คุณอยากมาไหมค่ะ?”
จริงๆ แล้วซู่จินก็ได้ใช้เทคนิคการสื่อสารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เธอไม่พูดอะไรสุภาพๆ เช่นคำขอบคุณ และไม่ได้ถามว่าจะซื้ออาหารให้เขากินได้หรือไม่
นี่เป็นเทคนิคการสื่อสารที่เธอใช้เมื่อพูดคุยกับคนแปลกหน้า เมื่ออีกฝ่ายรับทางเลือกแบบเฉยเมยและพวกเขาได้ยินว่ามีทางเลือกอื่นสำหรับคำพูดที่พูดออกไป อีกฝ่ายก็อาจต้องการปฏิเสธโดยสัญชาตญาณ
ซู่จินจึงลดความต้านทานตามสัญชาตญาณของอีกฝ่ายลงอย่างชาญฉลาดเมื่อต้องเผชิญกับการตัดสินใจ ด้วยวิธีนี้ เธอไม่เพียงแต่จะบรรลุเป้าหมายเท่านั้น แต่ยังลดระยะห่างระหว่างพวกเขาลงได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
แน่นอน ทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอคาดหวัง
“โอเค ผมอยู่ใกล้ๆ เหมือนกัน คุณอยากกินอะไร?” ชายคนนั้นถาม
ซู่จินยิ้มทันที แต่เธอยังคงพยายามที่จะทำให้เสียงของเธอสงบ
“ร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นไงค่ะ? ฉันจองโต๊ะไว้แล้ว”
อีกฝ่ายก็ส่งเสียงในลำคอเห็นด้วยและน้ำเสียงก็ราบรื่นเช่นกัน “โอเค แล้วเจอกันครับ”
“แล้วเจอกันค่ะ”
หลังจากวางสายแล้ว ซู่จินก็กำมือแน่นทันที
“เย้!”
ถ้าเธอไม่ได้ใส่รองเท้าส้นสูง เธอคงกระทืบเท้าอย่างบ้าคลั่งแน่
ในที่สุด เธอก็ตื่นเต้นมาก ทันทีที่เธอหันกลับมา เซี๊ยะถงก็ดันประตูเปิดออกพอดี
“เอ่อ จินเจี่ย ฉันเคาะประตูแล้ว” เซี๊ยะถงระมัดระวังมาก
ซู่จินจัดเสื้อผ้าของเธอให้เรียบร้อยแล้วพูดว่า “คุณจองโต๊ะไว้แล้วใช่ไหม?”
“นี่มัน ยู้ววฮู้วว จินเจี่ย ขอฉันดูหน่อย…”
“ไม่”
เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของเซ๊ยะถง ซู่จินก็อดไม่ได้ที่จะปลอบใจเซี๊ยะถงด้วยประโยคหนึ่ง “ฉันจะให้คุณดูทีหลัง มีอะไรให้รีบร้อน?”
แม้ว่าขณะนี้ซู่จินจะอยู่ในช่วงที่น่าตื่นเต้นที่สุดของการแอบมีความรัก แต่เธอก็ยังไม่เสียสติ
เธอไม่อยากให้คนรู้เรื่องความสัมพันธ์นี้มากไป จนกว่าเธอจะแน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ตัวตนของเธอค่อนข้างพิเศษ เธอยังคงไม่ชัดเจนเกี่ยวกับตัวตนของหยานหลิน แต่มันต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ฉะนั้น หากบุคคลที่มีเจตนาแอบแฝงรู้เรื่องนี้ ย่อมจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายและก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
ถ้าหากเธอสามารถหลีกเลี่ยงมันได้ เธอก็จะทำเท่าที่ทำได้
ร้านอาหารญี่ปุ่นนั้นอยู่ใกล้กับฉีหยู คอร์ปอเรชั่นมาก ดังนั้นซู่จินจึงไม่ได้ขับรถไป
เธอเดินไปที่นั่นคนเดียวและไม่คาดคิดว่าเมื่อไปถึงประตู หยานหลินก็มาถึงจากฝั่งตรงข้ามพอดี
ทั้งสองต่างอดหัวเราะไม่ได้
วันนี้หยานหลินไม่ได้ใส่สูท และผมของเขาไม่ได้เซ็ททรงเหมือนสองครั้งที่จู่ๆ ก็เจอเขา
เสื้อเชิ้ตสีขาวทรงเรียบง่ายจับคู่กับกางเกงยีนส์สีอ่อนทำให้เขาดูเป็นกันเองและดูเด็กลงนิดหน่อย
ชายคนนี้มีรูปร่างสูง หลังตรง และมีอุปนิสัยสุภาพอ่อนโยน แต่เขาก็ยังคงสะดุดตาเมื่อเขาเดินไปตามถนน
“วันนี้คุณทำงานไหมค่ะ?” ซู่จินถามเบาๆ
“วันนี้ผมหยุดครับ”
จากนั้น หยานหลินก็ผลักประตูกระจกให้เปิดออกและให้เธอเดินเข้าไปก่อน
พวกเขาเดินเข้าไปโดยมีคนคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าและอีกคนอยู่ข้างหลัง ซู่จินก็แจ้งพนักงานเสิร์ฟเกี่ยวกับการสำรองที่นั่ง และพนักงานเสิร์ฟก็พาพวกเขาไปที่ชั้นสอง
ชั้นสองเงียบสงบและไม่มีแขกมากนัก
ที่นั่งของพวกเขาอยู่ใกล้หน้าต่างบานใหญ่ ด้วยที่ตั้งของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ถูกรบกวนแม้ว่าจะมีแขกมาชั้นสองเพิ่มก็ตาม
ซู่จินรู้สึกพอใจมากกับสถานที่นี้ เธอคิดว่าเซี๊ยะถงรู้จักเลือกสถานที่ได้ดี และเธอต้องชมเซี๊ยะถงเมื่อกลับไป
หลังจากที่พวกเขาสั่งอาหารแล้ว พนักงานเสิร์ฟก็เอาเก็นไมฉะ(2) มาให้
เมื่อซู่จินรินชาลงในถ้วย เธอได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ทันที อย่างไรก็ตาม ซู่จินกลับไม่สนใจชา เธอเพียงหยิบมันขึ้นมาจิบเท่านั้น และไม่ได้แตะมันอีกเลย
เธอจ้องมองหยานหลินที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ เขานั่งเงียบ ๆ ขณะที่ไอสีขาวลอยขึ้นมาล้อมรอบเขา เธอรู้สึกทันทีว่าเธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไร และคงจะดีถ้าได้นั่งด้วยกันแบบนี้
แต่การไม่พูดอะไรเลยมันก็ดูเหมือนไม่ดีเท่าไหร่
ในช่วงเวลาถัดมา หยานหลินก็พูดขึ้น
“รถของคุณซ่อมเสร็จรึยัง?”
ชั่วขณะหนึ่งซู่จินรู้สึกผิดและรีบหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบปิดบังใบหน้า “อ๋อ ซ่อมเสร็จแล้วค่ะ เมื่อคืนนี้ขอบคุณนะคะ ที่ให้ฉันติดรถมาด้วย”
"ยินดีครับ"
หยานหลินหยุดชะงัก และทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
เขาหลุบตาลงแล้วพูดว่า “บอกตามตรงนะ เมื่อวานนี้ผมคิดว่าคุณจะขอกู้เงินจากผม”
“....คุณหมายถึงอะไร?” ซู่จินไม่เข้าใจ
“เพราะที่งานปาร์ตี้เมื่อวาน ผมได้ยินคุณกับผู้ชายที่นั่งข้างๆ คุณพูดว่าผมเป็นไข่แตงดิบ”
“พรืดด!”
****
เก็นไมฉะ(2) คือ ชาข้าวคั่ว