โครกคราก...
เสียงท้องร้องของเฉียวเหม่ยดังขึ้นเมื่อเห็นกับข้าวในหม้อและกลิ่นก็ช่างยั่วน้ำลายเหลือเกิน น้ำลายเธอจะไหลแล้ว
เฉียวเฉียงก็เช่นกัน เขากลืนน้ำลายลงคอเมื่อได้กลิ่นอาหารลอยออกมา
หลังจากเดินทางไกลเพื่อไปซื้อเนื้อ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองหิวมาก
ฝีมือการทำอาหารของเขาพอกินได้และแทบไม่มีกลิ่นหอมเหมือนอาหารที่หลานสาวของเขาทำ เฉียวเหม่ยไม่ใช่คนเลือกกิน เธอกินได้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่อ้วนขนาดนี้
“กับข้าวพร้อมแล้ว ปู่ มากินข้าวกันเถอะ!” เฉียวเหม่ยตะโกน เธอเติมข้าวต้มในชามของเฉียวเฉียงที่เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงจานใหญ่ ในขณะที่เธอมีเพียงชามโจ๊กเจือจางและเครื่องเคียงจานเล็ก
เฉียวเฉียงมองกับข้าวที่อยู่ตรงหน้าและมองไปที่หลานสาวอย่างสงสัย
ผิดชามหรือเปล่า?
“เหม่ยเหม่ย ชามนี้เป็นของหลานหรือเปล่า?” เขาเอื้อมมือไปเปลี่ยนชาม
“ไม่ใช่ค่ะ ชามนี้ของปู่ถูกแล้ว วันนี้หนูจะเริ่มลดน้ำหนัก หนูต้องควบคุมปากตัวเองไม่ให้กินเยอะเกินไป”
“ว่าไงนะ! ลดน้ำหนัก!” เฉียวเฉียงตะลึง คำว่า ‘ลดน้ำหนัก’ ทำเขาขนลุกซู่ ในยุคนี้ใครที่อวบอ้วนนั้นบ่งบอกว่ากินดีอยู่ดี ใครจะอยากลดน้ำหนักกัน?
นอกจากนี้ ผู้คนในสมัยนั้นมักคิดว่าการมีรูปร่างท้วมเล็กน้อยเป็นเครื่องหมายของความมั่งคั่งและโชคลาภ
“ปู่ไม่คิดว่าหนูควรลดน้ำหนักหน่อยเหรอคะ? อ้วนแบบนี้น่าเกลียดออก” เฉียวเหม่ยถามกลับด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เฉียวเฉียงตบโต๊ะ ประกายเย็นๆ ส่องผ่านดวงตาของเขา “ใครกันที่กล้าพูดว่าหลานน่าเกลียด?”
เฉียวเหม่ยถอนหายใจ อ้ววนเป็นหมีดำขนาดนี้ยังไม่เรียกว่าน่าเกลียดแล้วอะไรล่ะถึงจะเรียกว่าน่าเกลียด ปู่รักเธอมากเกินไปแล้ว!
“เซี่ยเจ๋อบอกว่ารูปร่างแบบนี้ไม่เหมาะแก่การมีลูก” เธอไม่มีทางเลือกจึงต้องเอาผู้ชายคนนั้นมาอ้าง
เฉียวเฉียงเงียบกริบเมื่อได้ยินหลานสาวยกเอาหลานเขยมาอ้าง
“เขา.....ไม่ชอบหลาน?”
เฉียวเหม่ยถอนหายใจอีกครั้ง ‘เขาจะชอบรูปร่างแบบนี้ได้ยังไงกันคะคุณปู่ขา’
มีเพียงชายชราคนนี้คนเดียวล่ะมั้งที่ดีและรักเธออย่างจริงจัง
“มันไม่ใช่ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบ อีกอย่างเขาก็พูดไปแล้วว่าจะแต่งงานกับหนู แต่ไม่ว่ายังไงหนูก็ต้องลดน้ำหนักไม่อยากนั้นจะคลอดลูกลำบากเพราะความอ้วนของตัวเอง ถ้าเกิดตายเพราะคลอดลูกยากล่ะก็แย่เลย”
เธอไม่รู้ว่าเจ้าของร่างนี้สามารถคลอดลูกแฝดจากร่างนี้ได้อย่างไร คงจะโชคดีมากพอสมควรที่รอดมาได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดย้อนกลับไป เด็กแฝดคู่นี้ก็ป่วยบ่อยจริงๆ ผอมเหมือนเด็กขาดสารอาหารและดูน่าสงสารอย่างมาก
ถึงเจ้าของจะกินมากแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าสารอาหารจะส่งต่อไปยังลูกๆ เพื่อเห็นแก่เด็กน้อยสองคน เธอจำเป็นต้องลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน
“ใช่ ใช่ มีลูกนั้นเป็นเรื่องใหญ่ พอมีลูกแล้วหลานจะได้มีที่พึ่งในอนาคต อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกขายออกไป” ในที่สุดเฉียวเฉียงก็พยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากคุยกันเข้าใจแล้ว สองปู่หลานก็หยิบตะเกียบลงมือทานข้าว
ทันทีที่เฉียวเฉียงคีบอาหารเข้าปาก ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายระยิบระยับ “นี่มัน...รสชาติดีมาก เหม่ยเหม่ยของเราเก่งจริงๆ รู้วิธีทำกับข้าวแล้ว ปู่ไม่เคยกินของอร่อยๆ แบบนี้มาก่อนเลย”
“ปู่ชอบก็ดีแล้วค่ะ” เฉียวเหม่ยรู้สึกว่าปู่พูดเอาใจเธอไปอย่างนั้นเอง ฝีมือการทำอาหารของเธอไม่ได้เลิศเลออะไร ก็แค่พอกินได้
ปู่ของเธอเป็นทหาร เคยรับใช้คนใหญ่คนโต เดินทางไปทั่วและเคยกินอาหารอร่อยมานับไม่ถ้วน เมื่อเทียบกับพ่อครัวเหล่านั้นแล้ว ฝีมือการทำอาหารของเธอก็แค่มือสมัครเล่น
เธอรู้ขีดความสามารถของตัวเองดี ไม่คิดเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพ่อครัวในร้านอาหาร
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอคีบเอาอาหารเข้าปากก็ถึงกับตะลึงงัน ไม่ใช่แค่ปู่คนเดียวแล้ว แม้แต่เธอเองยังคิดว่าอาหารที่เธอทำนั้นอร่อยมาก มากจนคิดว่าไม่เคยกินอาหารรสชาติดีขนาดนี้มาก่อน แม้แต่อาหารจากร้านห้าดาวยังสู้ไม่ได้เลย
นี่ไม่ใช่แค่กะหล่ำปลีและแครอทแล้ว แต่เป็นกะหล่ำปลีและแครอทที่เยี่ยมยอดที่สุด คงมีแต่เวทมนตร์เท่านั้นที่ทำให้มันอร่อยได้ขนาดนี้
“เป็นไปได้ยังไง?”
เฉียวเหม่ยมองอาหารที่ตัวเองทำตรงหน้า ปากก็พึมพำเบาๆ
ไม่ว่าจะมองมุมไหน อาหารพวกนี้ก็เป็นเพียงอาหารธรรมดาบ้านๆ ตอนทำก็ไม่ได้ตั้งใจทำสุดฝีมือขนาดนั้น แค่ตุ๋นไปเรื่อยๆ เครื่องปรุงที่ใส่ก็มีแค่เกลือเท่านั้น
ประเด็นไม่น่าจะเกี่ยวกับผัก ผักพวกนี้ปู่ของเธอกินจนเอียนแล้วกระมัง ไม่น่าจะให้รสชาติที่ต่างจากเดิมมากนัก