ถ้อยคำยังหลุดออกมาไม่ทันหมด ชายสวมหน้ากากก็เข้ามาอุดปากเธอเอาไว้ เขาพูดว่า “เบาๆ หน่อยสิ เธอมาที่นี่ได้ยังไง? พี่ชายเธอไม่น่าจะให้เธอมาสถานที่แบบนี้นี่?”
“ที่นี่มันทำไมเหรอคะ?” เจียงเสี่ยวอี้ถามเสียงอู้อี้
กู้เฉินเงียบไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร เสี่ยวอี้ พี่มีธุระต่อ ระวังตัวด้วย ถ้ามีเรื่องอะไร พี่อยู่ห้องซ้อมเปียโน 1043 นะ” ก่อนไป เขายังเหลือบมองสวี่เฉียวหลีที่อยู่ถัดไปแวบหนึ่ง
สวี่เฉียวหลีมองจนแผ่นหลังของเขาห่างไกลออกไปจึงละสายตากลับมา เฉินฉือคิ้วขมวด “คนนี้เป็นใคร?”
“พี่กู้ไงล่ะ หน้าหล่อจะตายไป”
“ปิดขนาดนั้น ใครจะไปดูออก” เฉินฉือเอ่ย
“เฮอะ ฉันว่าอิจฉามากกว่า!” เด็กสาวเบะปากพูด
“มีแต่เด็กผีเท่านั้นแหละที่จะอิจฉา” เฉินฉือพูดเสียงเรียบพลางชำเลืองมองอีกฝ่าย
“นายนั้นแหละเด็กผี!”
“ไปซ้อมกันเถอะ” สวี่เฉียวหลีขัดคอเด็กน้อยทั้งสองคน
คราวนี้ทั้งคู่จึงไม่ปริปากอีก เจียงเสี่ยวอี้แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนเฉินฉือ อีกฝ่ายมองแวบเดียวอย่างไม่ใส่ใจ คนที่โตแล้วอย่างเขาจะมาต่อล้อต่อเถียงกับเด็กได้อย่างไร?
สิ่งที่สวี่เฉียวหลีนำติดตัวมาด้วยคือไวโอลินที่ซื้อมาจากร้านของเฉินฉือคราวก่อน เนื่องจากไม่สามารถยกเปียโนมาด้วยได้ จึงจำเป็นต้องใช้ตัวที่อยู่ในร้านเท่านั้น
ตอนแรกเด็กหนุ่มนึกว่าสถานที่แบบนี้จะไม่มีเครื่องดนตรีดี ๆ แน่ แต่เปียโนหลังที่วางตั้งอยู่เป็นถึงเปียโนแกรนด์สไตน์เวย์ ราคาขายตามตลาดของเปียโนหลังนี้ขั้นต่ำก็หลายล้าน
“เป็นไง? เปียโนหลังนี้เป็นที่น่าพอใจสำหรับคนช่างเลือกอย่างคุณชายเฉินไหมคะ?” สวี่เฉียวหลีพูดพลางหยิบไวโอลินออกมาเช็ดถูอย่างขะมักเขม้น
“เอาล่ะ ผู้ชมคนแรกของพวกเธอนั่งอยู่นี่แล้ว” เจียงเสี่ยวอี้เอ่ยขึ้นขณะนั่งอยู่ตำแหน่งด้านข้างอย่างว่าง่าย
“ดีมาก” สวี่เฉียวหลีเห็นท่าทางแบบนั้นของเด็กน้อย ก็อดลูบศีรษะเธอพร้อมกับคลี่ยิ้มเอ็นดูออกมาไม่ได้ ก่อนจะพูดกับเฉินฉือว่า “นายซ้อมเพลงนั้นเป็นยังไงบ้างแล้ว? มีตรงไหนที่ไม่เข้าใจไหม?”
“ฉันปรับโน้ตเปียโนไปบางส่วน” เด็กหนุ่มยื่นกระดาษโน้ตเพลงให้สวี่เฉียวหลี จากนั้นนิ้วมือเรียวยาวก็จรดลงบนแป้นเปียโน กดขึ้นลงเบา ๆ เสียงเพลงอันนุ่มละมุนก็ดังเอื่อยออกมา
สวี่เฉียวหลีอ่านโน้ตเพลงครู่หนึ่ง ก่อนจะวางไวโอลินไว้บนบ่า นิ้วมือดีดดึงว่องไวจนตามจังหวะของเฉินฉือทัน
การสอดประสานของทั้งคู่ บอกได้คำเดียวเลยว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เมื่อเพลงจบลง เจียงเสี่ยวอี้ก็ปรบมือ “เพราะมากเลยอ่ะ! ฉันไม่เคยฟังเพลงที่เพราะขนาดนี้มาก่อนเลย หลีหลี เพลงนี้ชื่อว่าอะไรเหรอ?”
“เป็นเพลงที่ฉันแต่งเอง” เด็กสาวพูดพลางยิ้มสดใส เพียงแต่บทเพลงนี้ยังไม่ทันถูกเผยแพร่ เธอก็เข้าโรงพยาบาลไปเสียก่อน
“โห! ให้ตายเถอะหลีหลี ฉันล่ะนับถือเธอจริงๆ เลย!” เจียงเสี่ยวอี้โอบไหล่เพื่อนรัก พร้อมกับพูดด้วยความทึ่ง
“พอแล้ว ๆ” สวี่เฉียวหลีขำ
เฉินฉือทำเครื่องหมายบางส่วนเอาไว้บนโน้ตเพลง “ตรงจุดพวกนี้ ความสอดคล้องและการรับส่งของเรามันแข็งทื่อไปหน่อย”
“อืม ฉันก็โน้ตเอาไว้เหมือนกัน ฉันซ้อมไปสองสามรอบเมื่อหลายวันก่อน ยังไม่ค่อยคล่องเท่าไร”
การซ้อมกินเวลาไปจนพลบค่ำกว่าจะเสร็จสิ้น เจียงเสี่ยวอี้เอนตัวหลับอยู่บนโซฟาที่อยู่ด้านข้างไปเรียบร้อยแล้ว ปากอ้าเล็กน้อย ดูแล้วท่าจะฝันหวาน สวี่เฉียวหลีสะกิดเจ้าตัว แต่อีกฝ่ายกลับเพียงพลิกตัวแล้วนอนหลับต่อ
“เรียกแบบนี้ไม่ตื่นหรอก” เฉินฉือเอ่ย จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปบีบจมูกของเจียงเสี่ยวอี้ ผ่านไปไม่กี่วินาที เจ้าตัวก็ตื่นขึ้นมาแล้วส่งเสียงประท้วงไปว่า “นายทำบ้าอะไรเนี่ย!”
“พวกเราจะกลับกันแล้ว เธอเกือบจะถูกทิ้งไว้ที่นี่แล้วนะ” สวี่เฉียวหลีเอ่ย
เจียงเสี่ยวอี้ตาสว่างทันที “อ้าว! ฉันนึกว่าอยู่ที่บ้านซะอีก!” จากนั้นก็ดีดตัวลุกขึ้น เก็บข้าวของ พอมองโทรศัพท์ก็ตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน “ทำยังไงดี! พี่ชายฉันโทรมาตั้งหลายสาย แต่ฉันไม่ได้รับสักสายเลย ตายแน่ ๆ พี่ต้องตามมาแล้วแน่ๆ”
“ก็โทรกลับไปสิ” สวี่เฉียวหลีเอ่ย พร้อมเปิดประตูออก ประตูชนิดนี้ทำมาจากวัสดุคุณภาพแบบพิเศษที่ให้ประสิทธิภาพการเก็บเสียงได้ดีมาก เปิดประตูออกถึงจะได้ยินเสียงวุ่นวายภายนอก
สวี่เฉียวหลีชะโงกหน้าออกไปมอง ด้านหน้าถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มคน ท่ามกลางกลุ่มคนมีผู้ชายตัวสูงใหญ่สองคนยืนอยู่ คนหนึ่งก็คือกู้เฉินที่สวมหน้ากากเมื่อครู่ ส่วนอีกคนคือเจียงจื่อเฉิงในชุดสูทภูมิฐานเต็มรูปแบบดูเอาการเอางาน
แค่เห็นรังสีของทั้งคู่ที่แผ่ออกมาก็รู้เลยว่ากำลังห้ำหั่นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“พี่!” เจียงเสี่ยวอี้ชะโงกหน้าออกมาเช่นกัน แล้วตะโกนด้วยความตื่นเต้นดีใจ จากนั้นก็วิ่งออกไป
สีหน้าเจียงจื่อเฉิงดูไม่ค่อยดีนัก “ทำไมไม่รับโทรศัพท์?”
“พี่ล่ะก็...ฉันจะบรรลุนิติภาวะอยู่แล้วนะ ไม่รับโทรศัพท์ก็ไม่เป็นอะไรหรอกน่า!” เจียงเสี่ยวอี้กล่าว เงียบไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยขอโทษพี่ชายตัวเอง “ขอโทษค่ะ เมื่อครู่ฉันหลับอยู่”
“คราวหน้าห้ามปิดเสียงอีก เข้าใจไหม?” เจียงจื่อเฉิงเอ่ย
“คุณคิดว่าน้องสาวคุณเป็นคนยังไงกัน? เจียงจื่อเฉิง คุณนี่มันมองโลกในแง่ร้ายจริง ๆ !” กู้เฉินโพล่งขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม
เจียงเสี่ยวอี้มองพี่ชาย แล้วหันไปมองกู้เฉิน ก่อนจะเอ่ยถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันคะ?”
“ไม่มีอะไร เรากลับกันเถอะ” เจียงจื่อเฉิงตอบ
ขณะเดินเฉียดข้างกู้เฉิน อีกฝ่ายก็พูดเสียงแผ่วเบาว่า “เรื่องที่คุณฆ่าสวี่ซินหราน ทั้งยังทำลายหลักฐานทิ้ง ผมจะต้องขุดเอาความจริงเรื่องนี้ออกมาให้ได้”
เจียงจื่อเฉิงชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ เขาหันไปมองอีกฝ่าย “ฉันจะพูดอีกครั้งนะ การตายของสวี่ซินหรานไม่เกี่ยวกับฉัน” ระหว่างพูดก็กระชากคอเสื้อของกู้เฉินเข้าหา
“เจียงจื่อเฉิงหยุดนะ!” เสียงของสวี่เฉียวหลีขัดจังหวะทั้งคู่ เธอรีบวิ่งเข้าไปบังด้านหน้าของกู้เฉินเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นแสดงความเกรี้ยวกราด
เจียงจื่อเฉิงปล่อยมือ "นายนี่ถูกชะตากับผู้หญิงชะมัดเลยนะ คนไม่รู้จักมักคุ้นยังมาออกหน้าแทนนายเลย"
กู้เฉินเองก็รู้สึกฉงนกับคำกล่าวนี้เช่นกัน เขาไม่รู้จักสวี่เฉียวหลีเลยด้วยซ้ำ ตอนพิธีเปิดกล้องคุยกันไปแค่สองสามประโยค เขารู้สึกเพียงว่าแม่หนูน้อยคนนี้มีความสุขุมลุ่มลึกอย่างที่คนวัยเดียวกันไม่มี ซ้ำแววตายังดูเจนโลกอีกด้วย ทว่าไม่ได้พูดคุยกับเด็กสาวคนนี้มากมายอะไรเลย อีกทั้งหากพูดถึงบทสนทนาของทั้งสองคนเมื่อครู่แล้ว ดูเหมือนว่าเด็กสาวคนนี้จะรู้จักเจียงจื่อเฉิง
ปกติสวี่เฉียวหลีเป็นคนที่มีนิสัยเย็นชา น้อยมากที่จะออกหน้าเพื่อใคร เธอมีบุคลิกเหมือนกับอ่านทุกอย่างได้เฉียบขาดในทุกเมื่อ ทั้งยังมีความเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าคนวัยเดียวกันอีกต่างหาก
เจียงจื่อเฉิงมองเด็กสาวที่ตอนนี้สีหน้าลนลาน อ้ำอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นมาจากส่วนลึกในใจ "ไม่นึกว่าประธานเจียงผู้สูงส่งจะลนลานเป็นเหมือนกัน?"
ชายหนุ่มเค้นเสียงเย็นในลำคอ "สวี่เฉียวหลี ในสายตาเธอ ฉันคงเป็นคนเลวที่ไม่น่าให้อภัยเลยสินะ!" จากนั้นก็สาวเท้าเดินออกไป ทั่วทั้งร่างดูราวกับกำลังแผ่รังสีความเย็นยะเยือกที่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้
เจียงเสี่ยวอี้มองพี่ชายตัวเอง แล้วมองไปยังสวี่เฉียวหลี สุดท้ายก็ได้แต่กล่าวลาเพื่อนรักแล้วรีบวิ่งตามเจียงจื่อเฉิงไป
เฉินฉือมองสวี่เฉียวหลีด้วยสายตาจับผิดเช่นกัน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงกู้เฉิน คราวนี้เด็กสาวเพิ่งจะรู้ตัวว่าลืมตัว หลังจากปรับสีหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยว่า "ฉันแค่ทนดูต่อไปไม่ไหวก็เท่านั้น ขอโทษที่วุ่นวายค่ะ"
พอเธอเดินออกไป เฉินฉือก็รีบรุดตามไปทันที ฝีเท้าของเขานับว่าไม่เร็วนัก ก็แค่เดินตามหลังสวี่เฉียวหลีไปแบบนั้น เมื่อเธอหยุดเขาก็หยุด เมื่อเธอเดินเขาก็จะเดินไปข้างหน้า
หลังเดินไปได้สักพัก เด็กสาวถึงได้หันหลังกลับมาพูดว่า "นายไม่กลับบ้านเหรอ? เดินตามฉันมาทำไม?"
"ทำไมคนขับรถไม่มารับเธอ?" เด็กหนุ่มถาม
เด็กสาวมองดูรถหรูของเฉินฉือที่เคลื่อนตามอยู่ข้าง ๆ มาตลอดทาง เธอพูดออกไปโดยไม่ได้ตอบคำถามของเขา "นายรีบกลับไปเถอะ”
"ฉันไปส่งเธอดีกว่า"
"ไม่จำเป็น" สวี่เฉียวหลีเอ่ย
เฉินฉือไม่ขยับ รถหรูที่อยู่ด้านข้างคันนั้นก็ไม่เคลื่อนที่เช่นกัน สวี่เฉียวหลีหันกลับไปโดยไม่สนใจ ก่อนจะนั่งลงบนที่นั่งรอรถโดยสารประจำทาง เด็กหนุ่มผู้เดินตามหลังชั่งใจครู่หนึ่งแล้วนั่งลงข้าง ๆ เด็กสาว ถึงแม้จะปกปิดได้ดีมาก แต่กิริยาท่าทางยังคงระแวดระวังอยู่หลายส่วน
"คุณชายเฉินคงจะไม่เคยนั่งรถโดยสารมาก่อนสินะ?" พอเห็นท่าทางทำเป็นเข้มของเขาแบบนั้น เธอก็ไม่รู้สึกหงุดหงิดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
"เคยสิ" เฉินฉือเอ่ย เขาแค่คิดว่าสถานที่ที่คนมากหน้าหลายตามาเบียดเสียดยัดเยียดกันค่อนข้างให้ความรู้สึกชวนหยีพอสมควร
"ฉันก็เคยนั่งมาก่อนเหมือนกัน" ตอนอยู่กับกู้เฉิน เธอกับเขานั่งรถโดยสารด้วยกันเป็นประจำ เด็กสาวพูดอย่างทอดถอนใจ เพียงแต่ไม่ได้พูดประโยคครึ่งหลังออกมา เว้นช่วงไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า "ฉันอยากอยู่คนเดียวสักพัก"
"เธอรู้จักกับกู้เฉินนั่นด้วยเหรอ?" เฉินฉือถาม
"ไม่รู้จัก" สวี่เฉียวหลีเอ่ย
"ดูเธอสนใจเขามากเลยนะ เป็นแฟนคลับเขาหรือไง?"
"นายจะถามมให้ได้โล่เลยเหรอ?"
เฉินฉือเลิกถามต่อ แต่ในใจนั้นเจ็บจี๊ดราวกับโดนเล็บแมวข่วน ผ่านไปสักพักเด็กสาวถึงเอ่ยว่า "ฉันไม่ได้สนิทกับเขา แล้วก็ไม่ได้เป็นแฟนคลับเขาด้วย เด็กอย่างนายอย่ามาจุ้นจ้านให้มากนักเลย"
"เราสองคนอายุเท่ากันไม่ใช่เหรอ?" เด็กหนุ่มถามกลับ
สวี่เฉียวหลีหันไปมองอีกฝ่าย ก่อนจะยีศีรษะของเขาไปมา "นายก็เหมือนน้องชาย"
เฉินฉือ : “….”
“เอาล่ะ นั่งรถนายกลับก็ได้” สวี่เฉียวหลีลุกขึ้นแล้วพูด “เดี๋ยวแม่นายจะหาว่าคนเสเพลอย่างฉันพานายมาลำบาก”
“เกี่ยวอะไรกับแม่ฉันด้วย?” เด็กหนุ่มนิ่วหน้าเล็กน้อย รู้สึกขัดใจ
“ช่วงวัยต่อต้านของนายมาช้าจังเลยนะ” สวี่เฉียวหลีพูดพลางยิ้มให้เขา
เฉินฉือเปิดประตูรถให้เธอแล้วพูดไปด้วยว่า “ฉันไม่เคยมีช่วงต่อต้าน”
หลังจากขึ้นรถมา ทั้งสองคุยกันไปได้สองสามคำ สวี่เฉียวหลีก็ไม่พูดอะไรอีก เมื่อกลับถึงบ้าน เธอรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าได้คลายตัวไปบ้างแล้ว
ทว่าในสมองไม่อาจลืมเรื่องกู้เฉินได้เลย ทำไมเขาถึงผอมลง ทำไมถึงขัดแย้งกับเจียงจื่อเฉิง หากไปเหยียบหางเจียงจื่อเฉิงเข้า กู้เฉินจะทำอย่างไร? คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวเธอไม่หยุดราวกับต้องคำสาป
เธอรู้สึกละอายใจต่อเขา ในอดีตเคยใช้ชีวิตด้วยกันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พอโตขึ้นมาก็ยังคงเป็นเพื่อนที่แสนดีต่อกัน เธอยังจำได้ดี เจียงจื่อเฉิงเคยพูดคำเสียดแทงใจไว้ประโยคหนึ่ง เขาบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปแต่งงานกับกู้เฉินเลยสิ ไม่ว่ายังไงชีวิตนี้เธอก็ขาดผู้ชายไม่ได้อยู่แล้ว คนอย่างเจียงจื่อเฉิงไม่ต้องการของที่คนอื่นใช้แล้ว"
เธอโกรธมาก ทำไมเจียงจื่อเฉิงถึงพูดให้กู้เฉินแบบนั้น แล้วยังต่อว่าเธอแบบนั้นอีก ทำเหมือนว่าเธอกับกู้เฉินทำเรื่องผิดมหันต์ร้ายแรง ในสายตาของเขา เธอก็เปรียบเหมือนผู้หญิงแพศยาที่น่ารังเกียจคนหนึ่ง เรื่องนั้น ความจริงสืบดูก็รู้แล้วว่าเป็นมาอย่างไร ทว่าเธอได้วางเอกสารการวินิจฉัยส่วนประกอบยาในร่างกายของตัวเองไว้ตรงหน้าเขาแล้ว