แม้กระทั่งคนขับที่ทำรถเสียหลักก็สารภาพออกมาจนหมดเปลือกว่าเขาถูกจ้างวานให้ฆ่า โดยคนที่จ้างก็คือสวี่ซินหรานและจางซินแม่บุญธรรม
หลักฐานมัดตัวแน่นหนา ทุกสิ่งอย่างปรากฏออกมาเป็นที่ประจักษ์
เขาเคยให้โอกาสสวี่ซินหรานแล้ว หากเธอสารภาพถึงเหตุผลที่กระทำ บางที...เขาอาจจะยอมให้อภัยและก้าวผ่านมันเพื่อใช้ชีวิตกับเธอต่อไป ทว่า...สวี่ซินหรานกลับปฏิเสธลูกเดียว นี่เป็นจุดที่ทำให้เขาโมโหที่สุด
ต่อมาจางซินเป็นผู้บอกคนอื่นด้วยปากของตนเองว่า สวี่ซินหรานเป็นเพียงเครื่องมือในการกระชับความสัมพันธ์หว่างตระกูลให้แน่นแฟ้นเท่านั้น โดยชุบเลี้ยงเธอให้เติบโตมาอย่างสง่างามและเพียบพร้อมตั้งแต่เด็ก เพื่อให้กลายเป็นสิ่งเลอค่าที่ทำให้ผู้ชายหวั่นไหวใจเต้น
เจียงจื่อเฉิงถึงได้รู้ว่าทุกอย่างคือแผนการทั้งสิ้น เขาเป็นเพียงหมากในกระดานตัวหนึ่งเท่านั้น
เขาเกลียดผู้หญิงคนนั้นเข้ากระดูกดำ เมื่อเวลาล่วงเลยไป ผู้หญิงคนนั้นก็ถูกเวรกรรมตามทันจนล้มป่วย ซึ่งเขาไปเยี่ยมแค่เพียงครั้งเดียว เพื่อขอให้เธอเซ็นใบหย่า ทว่าเจ้าตัวไม่ยอมเซ็น
นั่นเป็นครั้งที่พวกเขาทะเลาะกันรุนแรงที่สุด ผู้หญิงคนนั้นป่วยจนจะสิ้นใจอยู่รอมร่อ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยผลประโยชน์จากตระกูลเจียงให้หลุดมือไปสักอย่าง รวมทั้งไม่ยอมทิ้งตำแหน่งคุณนายเจียงไปอีกด้วย
หญิงสาวร่างซูบผอมดุจไม้กระดานนอนซมอยู่บนเตียง ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววพยศ จ้องมองเขาประหนึ่งจะเอาชีวิต แววตาคู่นั่นราวกับกำลังตั้งคำถามต่อเขา ซึ่งแต่เดิมมันเคยส่องประกายความเฉลียวฉลาดดุจดวงดารา
แต่ดูเหมือนหลังจากที่เขาได้รู้ความจริง ทุกอย่างที่เขาเคยมองเธอก็เปลี่ยนไป
กุหลาบงามซึ่งทำให้ผู้คนใจสั่นราวกับต้องมนตร์ที่ได้พบเมื่อครั้งแรกๆ วันนี้กลับกลายเป็นศัตรูที่มองหน้ากันด้วยสีหน้าขยะแขยง พร้อมด้วยสายตาอาฆาต เขาปล่อยผู้หญิงคนนั้นเป็นไปตามยถากรรม และรอให้เธอเซ็นใบหย่า ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่รอจะกลับกลายเป็นข่าวการเสียชีวิตของเจ้าตัว
นึกย้อนมาถึงตรงนี้ เจียงจื่อเฉิงจึงหยิบกระดาษแผ่นยับย่นใบหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก บนนั้นเขียนเอาไว้ว่า 'ใบสำคัญการหย่า' ส่วนด้านล่างสุด มีตัวหนังสือยึกยือสีจางอยู่สองสามตัว
สวี่ซินหราน
เธอเซ็นมันในที่สุด ซึ่งเซ็นไปเมื่อไหร่นั้นก็ไม่อาจทราบได้ ตอนที่ได้ยินข่าว เขาโกรธจนตัวสั่น มองดูคำว่า 'ใบสำคัญการหย่า' ใบนั้น เขาอยากจะกระชากผู้หญิงไร้ความรู้สึกคนนี้มาถามจริงๆ ว่าเธอมีหัวใจบ้างหรือเปล่า
ทว่าไม่มีวันนั้นอีกต่อไปแล้ว
สภาพอากาศเริ่มเย็นลงแล้ว สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดหมุนเป็นวงผ่านต้นแปะก๊วยริมทางจนเกิดเสียง 'หวีดหวิว' ท้องฟ้าขาวสว่างดุจได้รับการชะล้าง บนทางเท้ามีใบไม้ร่วงสีเหลืองละลานตา เกลื่อนอยู่เต็มพื้น เพียงปรายตามองก็รู้สึกตาลายแล้ว
วันแรกของสัปดาห์ โรงเรียนมัธยมอี้จงยังคงเปิดการเรียนการสอนตามปกติ สองวันที่ผ่านมา พวกเขาหาแพะรับบาปได้แล้ว ซึ่งก็คืออันขุยเสวี่ย หากกล่าวกันตามหลัก เรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมายของสวี่เฉียวหลีพอสมควร ตอนแรกเธอนึกว่าไอพีแอดเดรสที่ตรวจเจอจะเป็นของชวี่เสี่ยวเอ๋อร์เสียอีก
โรงเรียนไม่ได้ไล่อันขุยเสวี่ยออกด้วยซ้ำ
แถมบอกว่าเรื่องนี้ถือเป็นความผิดครั้งแรกของเธอ อีกอย่างก็ยังเป็นเยาวชนอยู่ โรงเรียนจึงให้ทำทัณฑ์บนร้ายแรงเพียงเท่านั้น ไม่ได้ไล่ออกแต่อย่างใด แต่อย่างไรผู้ปกครองจำนวนมากก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี
"คงจะแอบจ่ายเงินปิดเรื่องไปแล้วมั้ง" เจียงเสี่ยวอี้แอบมากระซิบนินทากับสวี่เฉียวหลี
"ช่างเถอะ ว่าแต่โน้ตที่ฉันเขียนให้เธอน่ะ ได้อ่านหรือยัง? อีกไม่กี่วันก็จะสอบกลางภาคแล้วนะ" สวี่เฉียวหลีเอ่ย
เจียงเสี่ยวอี้บุ้ยปาก เอนตัวลงนอนบนโต๊ะ แล้วตอบกลับไปอย่างอ่อนแรง "ยังเลย เดี๋ยวฉันจะอ่านสองวันนี้เอา"
"เป็นอะไรไป?" เด็กสาวเพ่งมองอีกฝ่าย พบว่าใต้ตาทั้งสองข้างของเจียงเสี่ยวอี้มีรอยดำคล้ำ ดูสภาพเหมือนไม่ได้นอน "อกหักเลยหลับไม่ลงเหรอ?"
"ใช่ที่ไหน" เจียงเสี่ยวอี้โบกมือ "ฉันเหมือนคนที่จะเศร้าซึมเพราะผู้ชายหรือไง?" พูดไปได้หน่อยนึงก็พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
ในใจบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคือเรื่องอะไร แต่อีกฝ่ายไม่พูด สวี่เฉียวหลีจึงไม่ซักไซ้ เธอเดาว่าคงจะเป็นเรื่องในครอบครัว หรือไม่ก็เรื่องเล็กน้อยอย่างเจียงจื่อเฉิงโกรธเคืองอะไรทำนองนั้น
เที่ยงวัน เจียงเสี่ยวอี้ยังคงมีอาการเหงาหงอยเศร้าสร้อยอยู่เช่นเดิม สวี่เฉียวหลีซื้อชานมมาสองแก้ว "วันนี้เธอถอนหายใจเกือบสิบรอบแล้วนะ"
"เฮ้อ หลีหลี ฉันล่ะทุกข์ใจจริงๆ" เจียงเสี่ยวอี้กล่าว "ฉันชอบคนคนหนึ่งมาก แต่พี่ชายฉันดูเหมือนจะเข้าใจอะไรเขาผิดไป"
สรุปแล้วก็ปัญหาเรื่องความรัก สวี่เฉียวหลีพึมพำอยู่ในใจ
"ฉันคิดว่าเขาไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้" เจียงเสี่ยวอี้พูดเปรยออกมาอย่างหนักใจ เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี บางทีพี่สะใภ้อาจเป็นคนผิดมาโดยตลอด เฉียวหลีฟังเรื่องนี้แล้วอาจจะคิดว่าหล่อนคิดผิดก็ได้
"แล้วเธอคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหนล่ะ?" สวี่เฉียวหลีถามกลับ
"เขาเป็นคนอ่อนโยนมาก เอาใจใส่ฉันดีทุกอย่าง แล้วก็ดีกับฉันมาก แล้วฉันก็คิดว่าเขาเป็นคนจิตใจดี แต่พี่ชายฉันกลับไม่ชอบเขาซะอย่างนั้น" เจียงเสี่ยวอี้อธิบาย
เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า "แต่พี่ชายฉันบอกว่า...เขาเป็นคนร้ายกาจ เขาฆ่าพี่สาวคนหนึ่งของฉันที่ดีกับฉันมาก ฉันมีความทรงจำกับพี่สาวไม่มากหรอก แต่ฉันจำได้ว่าเธอเป็นคนอ่อนโยนเหมือนกับ....พี่สะใภ้มากๆ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดไปหรือเปล่า"
"พี่สาว?" สวี่เฉียวหลีครุ่นคิดโดยละเอียด เธอเหม่อไปเพราะนึกไม่ออกว่าเจียงจื่อเฉิงมีพี่สาวอีกคน
เหมือนเขาเองจะไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาพูดถึงเรื่องในครอบครัวน้อยมาก เธอรู้จักเพียงเจียงเสี่ยวอี้คนเดียวเท่านั้น
"ใช่ อุ๊ย! เธออย่าพูดไปนะ ความจริงแล้วพี่ชายฉันบอกว่าคนที่ฆ่าพี่สาวก็คือพี่สะใภ้!" เจียงเสี่ยวอี้พลั้งปากบอก
สวี่เฉียวหลีชะงักงัน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจ "พี่ชายเธอบอกว่าสวี่ซินหรานเป็นคนฆ่าพี่สาวเธอเหรอ?"
"ใช่แล้ว ฉันนอนไม่หลับเพราะเรื่องนี้มาสองวันแล้ว ฉันคิดว่าพี่สะใภ้ไม่ใช่คนแบบนั้น ฉันว่าถ้าหากพี่สาวยังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีกับพี่สะใภ้มากๆ แน่" เจียงเสี่ยวอี้กล่าว จากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมา "แล้วเธอคิดว่ายังไง? คิดว่าฉันเข้าใจพี่ชายตัวเองผิดมาตลอดเลยหรือเปล่า?"
สวี่เฉียวหลีรู้สึกข้องขุ่นใจ ชั่วขณะนั้นเธอนึกย้อนกลับไปถึงช่วงที่อยู่ในโรงพยาบาล เจียงจื่อเฉิงมาเยี่ยมเธอครั้งหนึ่ง ถามเธอแค่ว่า "สรุปเธอทำร้ายเจียงอวี๋ทำไมกันแน่"
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจียงอวี๋คือใคร ตอนนั้นทั้งเธอและเขาเล่นสงครามประสาทและมีปากเสียงกัน เธอไม่เคยคำนึงถึงเรื่องนี้โดยละเอียดมาก่อน พอเจียงเสี่ยวอี้เอ่ยขึ้นมาในตอนนี้ เธอยังคงจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองพูดไปด้วยอารมณ์โกรธ เธอพูดว่า “เวลาเกิดเรื่องกับแฟนคนไหนของคุณ คุณก็มาโทษฉันหมด!”
จากนั้นเธอและเขาก็ทะเลาะกันยกใหญ่ แต่ในเวลานั้นเธอป่วยหนัก เลยจำได้ไม่ถี่ถ้วนเท่าไรนัก
"พี่สาวเธอชื่อเจียงอวี๋ใช่ไหม?" สวี่เฉียวหลีถาม
"เธอรู้ได้ยังไง?" เจียงเสี่ยวอี้น้ำตาคลอหน่วยด้วยความอัดอั้นตันใจ ขอบตาแดงก่ำ จากนั้นก็ร้องโฮออกมาสุดเสียง "ฉันไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดี ฉันรู้สึกว่าพี่สะใภ้ไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ๆ แต่ว่าพี่เจียงอวี๋ก็เป็นคนจิตใจดีมากจริงๆ พี่ชายเคยบอกกับฉันว่าพี่เจียงอวี๋เคยปกป้องเขาตอนที่ยังเด็กมาก จนได้รับบาดเจ็บที่ขา กลายเป็นคนพิการ"
ครั้นเห็นอีกฝ่ายร้องห่มร้องไห้ สวี่เฉียวหลีก็เจ็บแปลบในใจ เธอโอบเด็กน้อยให้เข้ามาอยู่ในวงแขน "ไม่ร้องนะ อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ เธอเชื่อคนที่เธอรู้สึกว่าควรจะเชื่อก็พอแล้ว"
"ฉันคิดว่าคงจะมีเรื่องเข้าใจผิดระหว่างพี่ชายกับพี่สะใภ้แน่ๆ" เจียงเสี่ยวอี้พูดสะอื้นตัวโยน จากนั้นก็ซุกตัวลงร้องไห้กับอกของสวี่เฉียวหลี "ฉันเองก็ไม่ได้อยากสงสัยใคร แต่พี่ชายฉัน...พี่ชายฉันเหมือนจะมั่นใจมาก เขาไม่ใช่คนที่ไม่แยกแยะดีชั่ว เป็นคนทำอะไรรอบคอบมาตลอด หากเขามั่นใจกับเรื่องนี้แล้ว นั่นก็หมายความว่าเขาตรวจสอบมาอย่างดีแล้ว"
สะอื้นไห้ไปสองสามครั้ง เจียงเสี่ยวอี้ก็เอ่ยต่อว่า "แต่ว่า..."
"ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อใจพี่ชายเธอเถอะ" สวี่เฉียวหลีกล่าว เธอไม่เคยทำร้ายคนที่ชื่อเจียงอวี๋คนนี้เลย กระทั่งไม่เคยติดต่อกับคนคนนี้เลยด้วยซ้ำ จะต้องมีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นแน่
มิน่าล่ะ! ตอนนั้น...เจียงเจื่อเฉิงถึง...
ไม่! เป็นไปไม่ได้ สวี่เฉียวหลีปฏิเสธความคิดที่อยู่ในใจนี้อย่างรวดเร็ว เจียงเจื่อเฉิงเกลียดเธอเพราะข่าวฉาวเหล่านั้นต่างหาก เขาไม่เคยเชื่อใจเธอเลย
"จริงเหรอ? แต่ฉันคิดว่าพี่สะใภ้..."
"ไม่เป็นไรหรอก หล่อนจากโลกนี้ไปแล้ว พี่ชายดูแลเธอย่างดี เธอเชื่อใจเขาก็สมควรแล้ว" สวี่เฉียวหลีตอบ
เธอไม่คิดจะแก้ต่างให้ตัวเองเลยแม้เพียงนิด และก็ไม่มีหลักฐานมากพอที่จะเอามาแก้ต่างให้ตัวเองได้ หากเจียงเสี่ยวอี้ลำบากใจหรือเสียใจ ให้เธอเป็นคนเลวก็ไม่เห็นเป็นไร
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดบางอย่าง สวี่เฉียวหลีจึงดักคอเธอทันที "เลิกพูดเถอะ ถ้าพี่สะใภ้ของเธอได้ยิน หล่อนคงไม่อยากให้เธอเศร้า ดังนั้นถ้าเธอเป็นทุกข์ หล่อนต้องเสียใจไปด้วยแน่"
"จริงเหรอ?" เจียงเสี่ยวอี้ถามพลางกระพริบตาที่น้ำตายังเอ่อคลอ
"อืม จริงสิ สู้เชื่อใจซึ่งกันและกันไม่ดีกว่าเหรอ? บางทีอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดเหมือนที่เธอบอกก็ได้นะ" สวี่เฉียวหลีปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"อื้ม! เธอพูดถูก!"
เจียงเสี่ยวอี้กลับมามีท่าทีสบายอกสบายใจอย่างรวดเร็ว และไม่คร่ำเครียดกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว ทว่าคราวนี้กลับกลายเป็นสวี่เฉียวหลีที่เริ่มเครียดแทน เธอพยายามเค้นความทรงจำโดยถี่ถ้วนว่ามีเจียงอวี๋คนนี้อยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ แต่กลับนึกอะไรไม่ออกเลย
แต่ทันใดนั้นก็มีความจำบางอย่างแวบเข้ามาในหัว ความทรงจำนี้เป็นของเจ้าของร่างเดิม ไม่ใช่ของเธอแต่อย่างใด เหมือนว่าเธอจะหลงลืมบางสิ่งไป แต่พอจะนึกทบทวนก็พลันว่างเปล่า
เจ้าของร่างเดิมรู้จักกับเจียงอวี๋อย่างนั้นเหรอ?
สวี่เฉียวหลีเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าความทรงจำตรงส่วนนี้มีความเกี่ยวข้องกับความทรงจำส่วนที่ขาดหายไปหรือไม่ เธอพยายามค้นหารูปของเจียงอวี๋บนอินเตอร์เน็ต แต่ก็ไม่พบ มีเพียงข่าวๆ เดียวคือ ‘คุณหนูใหญ่ตระกูลเจียงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แพทย์พยายามยื้อชีวิตอย่างสุดความสามารถ’
วันเวลาที่ปรากฎอยู่บนนั้นคือ 3 กันยายน พ.ศ. 2558 เธอลองคำนวณดู จากนั้นก็นิ่งอึ้ง เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นช่วงที่เธอสอบกลางภาคเสร็จ แล้วเตรียมจะเลื่อนชั้นขึ้นมัธยมปลายหรอกหรือ?
แต่ความทรงจำช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนั้นดันหายไปไม่มีเหลือ ต่อมาความทรงจำตอนขึ้นมัธยมปลายก็ขาดหายไปอีก จากนั้นก็ข้ามมาเป็นความทรงจำเรื่องความรุนแรงในโรงเรียน เรื่องราวในช่วงนั้นเว้นว่างไป ไม่ว่าเธอจะพยายามระดมความคิดเท่าไรก็ไม่เป็นผล มีแต่ความจำที่ขาดห้วงและไม่ปะติดต่อกัน
"เฉียวหลี เธอเป็นอะไรไป สีหน้าดูเครียดมากเลย" เจียงเสี่ยวอี้กล่าว ก่อนจะชี้นิ้วไปที่หน้าประตู "มีสาวเปรี้ยวก๋ากั่นมาหาเธอที่หน้าประตูอ่ะ ผมหล่อนอย่างกับบาลาลานางฟ้าปีศาจแหน่ะ
เมื่อสวี่เฉียวหลีหันไปมองก็พบกับแม่สาวผมสีชมพูกำลังยืนอยู่หน้าห้อง จากนั้นชวี่เสี่ยวเอ๋อร์ผู้เปรี้ยวซ่าก๋ากั่นก็พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องว่า "ออกมาหน่อยดิ"
สวี่เฉียวหลีขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ไม่แยแสคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเลยสักนิด เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองถูกเมินก็ชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะของเด็กสาว แล้วถีบโต๊ะไปทีหนึ่งอย่างแรง "บอกให้ออกมา ไม่ได้ยินเหรอวะ?"
มือที่กำลังจับหนังหนังสือของสวี่เฉียวหลีชะงักไปครู่หนึ่ง แหงนหน้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นยะเยือก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับชวี่เสี่ยวเอ๋อร์ "จะพูดอะไรก็พูดเหรอ ปากกับเท้าเธอโตตามวัย แต่สมองไม่ได้โตตามไปด้วยเลยใช่ไหม?"