"เลิกถามได้แล้ว ฉันเป็นเจ้าของร้าน" เฉินฉือกล่าว
สวี่เฉียวหลีมองไปที่เขา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก "แล้วทำไมนายไม่ต้อนรับลูกค้า?"
"คนไม่มีมารยาท ก็เลยไม่อยากต้อนรับ" เฉินฉือยังคงเอนตัวอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
ฟังเขาพูดจบ สวี่เฉียวหลีก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า "สวี่เฉียวหลี ชื่อฉันเอง"
เธอมองเฉินฉือ พยายามวิเคราะห์บางอย่าง ตอนที่สวี่เฉียวหลีคนเดิมอยู่ที่โรงเรียน ส่วนใหญ่ไม่มีใครไม่รู้จักเธอ แต่เฉินฉือกลับเอ่ยปากถามชื่อเธอ
เขาลุกขึ้นยืน แล้วดึงกีต้าร์จากมือเธอไป ก่อนจะเริ่มประเมินอย่างถี่ถ้วน เขาดีดสายไปสองครั้ง แล้วใช้จูนเนอร์บิดไปมาเพื่อปรับเสียง
สวี่เฉียวหลีมองดูมือเรียวขาวคู่นั้น ที่ปลายนิ้วหยาบกร้าน มองแวบแรกก็รู้เลยว่าเป็นคนที่เล่นดนตรีเครื่องสายเป็นประจำ จากนั้นจึงรู้สึกว่าตัวเองอคติกับคนอื่นมากเกินไป อย่าบอกนะว่าเข้าใจคนอื่นผิดเข้าให้แล้ว ไม่แน่ว่าเฉินฉือคนนี้กับชวี่เสี่ยวเอ๋อร์อาจจะไม่ใช่พวกเดียวกันด้วยซ้ำ
น้ำเสียงของเฉินฉือแผ่วเบา ราวกับเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก เขาพูดว่า "อืม กีต้าร์ตัวนี้เป็นของเธอเหรอ?"
"ใช่" สวี่เฉียวหลีกล่าว
มือของเฉินฉือชะงักไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่สวี่เฉียวหลีพูดคุยกับคนคนนี้นานถึงเพียงนี้ และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอารมณ์อ่อนไหวของเขา เมื่อครู่เขายังมีท่าทีไม่สนใจโลกอยู่เลย
"ได้แล้ว" เฉินฉือเอ่ย แล้วยื่นกีต้าร์คืนให้สวี่เฉียวหลี "ลองดูสิ"
สวี่เฉียวหลีลองดีดสายกีต้าร์ดู ผลปรากฎว่าเสียงไพเราะมาก กลมกล่อมคล้ายกับไวน์แดงและใสกังวานเหมือนกับเสียงของสตรีเพศ บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่โทนเสียงนี้ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
เธอลองดีดดูคร่าวๆ ก่อนจะวางลง ในตอนที่เธอเป็นสวี่ซินหราน ตระกูลจางฝึกเธอให้เชี่ยวชาญดนตรีอย่างพวกกางฉิน กีต้าร์ และไวโอลิน ในสามอย่างนี้ สิ่งที่เธอเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือไวโอลิน แต่หลังจากที่ต้องพัฒนาฝีมือการแสดง เธอก็แทบไม่ได้แตะเครื่องดนตรีอีกเลย
ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองฝีมือตกไปไม่รู้เท่าไร แต่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ากีต้าร์ตัวนี้ผ่านการเล่นมาอย่างโชกโชน อีกอย่างนิ้วของเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ได้ด้านขนาดนั้น ในใจนึกกลัวว่าคนตรงหน้าจะเห็นพิรุธอะไรบางอย่าง
“ไม่ลองเล่นดูสักเพลงล่ะ?” เฉินฉือเอ่ยถาม
"ไม่ล่ะ ต้องรีบกลับไปเรียน" สวี่เฉียวหลีกล่าว
“เธอซัดได้ยอดเยี่ยมมาก” เฉินฉือพูดพลางหลุบตาลงเล็กน้อย แต่เรื่องที่พูดกลับเป็นเรื่องหนึ่ง
สวี่เฉียวหลีเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพว่า "ขอบคุณนะ"
เมื่อเงยหน้าขึ้น เฉินฉือเห็นสวี่เฉียวหลีเปิดประตูเดินออกจากร้านไปแล้ว เฉินฉือคนนี้ก็ยังคงทำให้ผู้คนคาดเดาไม่ออกเช่นเคย
เมื่อสวี่เฉียวหลีกลับมาที่ห้องเรียนในตอนบ่าย บรรยากาศก็เงียบสงบในทันใด ทุกคนต่างมองไปที่สวี่เฉียวหลี หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบ ทุกคนมองมาที่เธอด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
แน่นอนว่าสงสัยก็ส่วนสงสัย แต่ทุกคนที่เคยรังแกอย่างไรก็ยังคงรังแกอย่างนั้น
ยังไม่ทันเลยช่วงกลางวัน โต๊ะของสวี่เฉียวหลีที่ถูกขีดเขียนไปด้วยถ้อยคำหยาบคายสารพัดตัวนั้นก็กลับมายังตำแหน่งที่นั่งของเธออีกครั้ง คราวนี้สภาพยิ่งดูน่าสังเวชมากขึ้นไปอีก เพราะแขนและขาตุ๊กตาถูกหักจนบิดเบี้ยวอยู่บนโต๊ะ แต่เก้าอี้ก็ยังปกติดีอยู่
สวี่เฉียวหลีหัวเราะดัง ‘ฮึ’ ทันทีที่เท้าถีบเก้าอี้ แขนขาตุ๊กกระตาเหล่านั้นก็กระเด็นกระดอนร่วงลงไปบนพื้นในฉับพลัน สะเทือนจนโต๊ะล้มลงไปบนพื้นด้วย
กลอุบายเด็กๆแบบนี้ช่างกระจอกจริงๆ เธอเอี้ยวหน้าไปมองเกาเฉียวที่กำลังรอดูเรื่องสนุก แววตาปรากฎรังสีเย็นเยือก ใบหน้าฉายแววเอาเรื่อง เกาเฉียวสบสายตาคู่นั้น อดไม่ที่จะตื่นกลัว
จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด "มองอะไร?!"
สวี่เฉียวหลีไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างของเกาเฉียว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กระชากคอเสื้อของเขาขึ้นมา แล้วยื่นเท้าขัด เกาเฉียวจึงสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น ทันทีที่สวี่เฉียวหลีจับมือเขาไพล่หลัง ครึ่งตัวของอีกฝ่ายก็ถูกกดไปที่ริมหน้าต่างแล้ว
เสียงอุทานตื่นตกใจของเด็กสาวหลายคนในห้องเรียนก็ดังขึ้นมา
เกาเฉียวมองลงไปยังด้านล่างด้วยความตื่นตระหนก
แม้จะอยู่บนชั้นสอง ทว่าคนส่วนใหญ่ที่ตกลงไปจากตรงนี้ไม่ตายก็คงพิการ ข้อมือทั้งสองถูกกดเอาไว้กับที่ ดิ้นรนเพียงเล็กน้อยก็เจ็บแทบน้ำตาไหล
“หากครั้งต่อไปเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ฉันจะโยนนายลงไป" สวี่เฉียวหลีกล่าวเสียงเย็นเยียบ
“แกมันบ้า!” เกาเฉียวตะเบ็งเสียงพูด เขาพยายามขืนตัวสุดชีวิตเพราะกลัวมากจริงๆ แค่สวี่เฉียวหลีปล่อยมือ ศีรษะของเขาคงได้ดิ่งลงไปจนเละแน่นอน
“นี่แกกำลังจะฆ่าคนนะ!” เกาเฉียวตะโกนลั่นด้วยความตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น
“ฉันต้องสนใจด้วยเหรอว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าคน? เรื่องที่พวกนายผลักฉันตกลงมาจากดาดฟ้าก่อนหน้านี้ คิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?” เสียงของสวี่เฉียวหลีไม่ดังนัก มีเพียงเกาเฉียวเท่านั้นที่ได้ยิน
เมื่อได้ยินคำนี้ เกาเฉียวก็เงียบกริบในพริบตา ไม่กล้าปริปาก ใบหน้าซีดเผือด จากนั้นสวี่เฉียวหลีก็ดึงเขากลับมาจากนอกหน้าต่าง
เกาเฉียวทรุดตัวลงนั่งกับพื้น มองหน้าสวี่เฉียวหลี จากนั้นก็หัวเราะออกมาทันที “แกคิดว่าแกเก่งแค่ไหนกัน? แกเคยเอาชนะใครได้ด้วยเหรอ? ในโรงเรียนนี้ตระกูลสวี่ของพวกแกก็มีดีได้แค่นี้แหละ" ขณะที่พูดก็ชูนิ้วกลางใส่อีกฝ่าย
สีหน้าของสวี่เฉียวหลีนิ่งสงบราวกับไม่รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใด เธอคว่ำถังขยะลงไปบนตัวของเกาเฉียวอย่างแรง
จากนั้นก็กวาดตามองคนทั้งห้อง "ต่อไปถ้าใครพูดแบบนี้ ได้มีจุดจบแบบเขาแน่"
คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เกาเฉียวไม่มีชวี่เสี่ยวเอ๋อร์คอยหนุนหลัง ดังนั้นทุกคนจึงไม่กล้าออกความเห็นใดๆ ความจริงแล้วมีคนหลายคนคอยกลั่นแกล้งสวี่เฉียวหลีเป็นประจำ ทว่าล้วนลงมือร่วมกันกับเกาเฉียว ตอนนี้สวี่เฉียวหลีเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และสายตาคู่นั้นก็รังแต่จะทำให้ผู้คนรู้สึกประหม่าอีกด้วย
คนที่ถูกสวี่เฉียวหลีจ้องมองและคนที่เคยรังแกเธอก็ได้แต่รู้สึกผิดอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นจึงเลี่ยงสายตาของเธอและกลับไปยังที่นั่งของตน
ส่วนเกาเฉียว นอกจากเอาชนะสวี่เฉียวหลีไม่ได้แล้ว วันนี้เขายังถูกถังขยะครอบศีรษะเป็นครั้งที่สอง เมื่อดิ้นออกมาจากถังขยะได้ ก็ร้องไห้ออกมาอย่างลืมตัว
บนศีรษะมีเศษบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปห้อยอยู่ อีกทั้งแว่นตาก็ยังเต็มไปด้วยคราบน้ำมันและสิ่งสกปรกต่างๆ มากมายอีกด้วย เกาเฉียวนั่งร้องไห้โฮอยู่ตรงนั้น ดูสภาพของเขาแล้วก็ฮาจนท้องแข็ง และแล้วละครตลกเรื่องนี้ก็จบลงเมื่อครูเฉินลี่เดินเข้ามาในห้องเรียน เธอมองเกาเฉียวที่นั่งอยู่บนพื้น แล้วเหลือบมองสวี่เฉียวหลีตาเขม็ง จากนั้นก็พูดจากระแทกกระทั้นว่า "สวี่เฉียวหลี! ตามครูไปที่ห้องพักครูเดี๋ยวนี้!"
ผู้ปกครองของเกาเฉียวมาถึงแล้ว หล่อนสวมใส่เพชรพลอยเต็มตัว ใบหน้าอิ่มเอิบ ทว่ารูปร่างอิ่มเอิบกว่ามาก หล่อนสวมรองเท้าส้นสูงซึ่งเนื้อเท้าล้นทะลักออกมาเกือบครึ่ง
คุณนายเกาเดินมาพร้อมกับเกาเฉียว วินาทีที่เดินเข้ามา คุณนายเกาก็ชี้นิ้วไปที่สวี่เฉียวหลีแล้วแผดเสียงดังลั่นห้องพักครู "แก นางเด็กชั้นต่ำ เป็นใครมาจากไหนถึงกล้ารังแกลูกชายของฉัน?!"
จากนั้นก็หันไปมองครูเฉินลี่ "เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงไม่ดูแลนักเรียนในห้องของคุณให้ดี"
ครูเฉินลี่มีสีหน้าเคร่งเครียดในทันที แล้วพยายามพูดเกลี้ยกล่อม "เอ่อ...ฉันเองก็ปวดหัวเหมือนกันค่ะ นักเรียนคนนี้ชอบก่อเรื่องเป็นประจำ ฉันคลาดสายตาไปครู่เดียวเองก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว คุณนายอยากจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีคะ?"
"ก็ต้องชดใช้ด้วยเงินอยู่แล้วสิ รีบไปบอกพ่อกับแม่แกให้เอาเงินมาชดใช้ซะ" คุณนายเกาชี้หน้าสวี่เฉียวหลีพลางพูดอย่างดุเดือด
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ แต่…หนูคิดว่าพวกเราควรโทรแจ้งตำรวจก่อนนะคะ” สวี่เฉียวหลีกล่าวอย่างสบายๆ
"แจ้งตํารวจ?!" เสียงของครูเฉินลี่สูงขึ้นหลายเท่า จากนั้นสีหน้าก็พลันตื่นตระหนก แต่เธอก็ซ่อนมันเอาไว้ได้ทัน "แจ้งตำรวจจะมีประโยชน์อะไร! เธอรังแกเพื่อนร่วมห้อง! หรือเธออยากให้ประวัติตัวเองมีเรื่องเสื่อมเสียแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?"
ริมฝีปากหนาของคุณนายเกาคลี่ยิ้ม "ฉันยังไม่ได้บอกว่าจะเอาความเรื่องนี้เลยนะ"
"แล้วใครบอกว่าจะไม่เอาความเรื่องนี้กัน" สวี่เฉียวหลีเลิกคิ้วพร้อมเอ่ยว่า "หนูคิดว่ากล้องวงจรปิดของโรงเรียนบันทึกภาพได้นานกว่าครึ่งปี หนูหยุดเรียนไปไม่ถึงเดือน เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เราก็ควรจะนับมาพิจารณาด้วยถึงจะถูกนะคะ" ขณะพูดเธอก็ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทันใดนั้นเกาเฉียวก็ดูร้อนรน หน้าเผือดสี เขาไม่เคยคำนึงถึงปัญหานี้มาก่อน เมื่อได้ยินสวี่เฉียวหลีพูดแบบนี้ก็ตื่นกลัวทันที "แม่! ช่างเถอะ พวกเรากลับกันเถอะครับ"
"ช่างเถอะอะไรกัน?!" คุณนายเกาทำหน้ารับไม่ได้ คิ้วขมวดกันเป็นปม เนื้อไขมันบนใบหน้าสั่นกระเพื่อม "ถ้าวันนี้ยังไม่มีคำอธิบายใดๆ เรื่องนี้ก็ไม่จบง่ายๆ แบบนี้แน่"
"ฮัลโหล สวัสดีค่ะ 110 ใช่ไหมคะ? มีเหตุเกิดรุนแรงในโรงเรียนค่ะ หนูถูกทุบตี มีบาดแผลฉกรรจ์เต็มตัวไปหมดเลย…" พูดยังไม่ทันจบ เกาเฉียวก็แย่งโทรศัพท์ไป แล้วมองสวี่เฉียวหลีด้วยดวงตาแดงก่ำ
สวี่เฉียวหลีฉีกยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก มองหน้าเขาโดยไม่เอ่ยคำใด
เกาเฉียวเขวี้ยงโทรศัพท์ลงบนพื้น จากนั้นก็ตะคอกใส่แม่ของเขา "แม่ ช่วยหุบปากได้ไหม!" เสียงตะคอกผสมกับเสียงโทรศัพท์แตกกระจายดังก้องไปทั่วห้องพักครู สวี่เฉียวหลีไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย มองดูโทรศัพท์ที่เหมือนกับอี้จิงผู้ถูกฉีกร่างด้วยทัณฑ์ห้าม้าของตัวเองแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็แค่ยกมุมปากขึ้นยิ้มเท่านั้น ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
คุณนายเกาตะลึง เพียงครู่เดียวก็ร้องไห้โฮออกมา "เฉียวเฉียว ลูกมาโกรธแม่ได้ยังไงกัน?"
"เงียบนะ!" เกาเฉียวดวงตาเบิกกว้าง คิดไม่ถึงเลยว่าแม่ของเขาจะร้องไห้ต่อหน้าครูมากมายขนาดนี้ได้ รังแต่จะทำให้เขารู้สึกขายหน้า จากนั้นเขาก็มองไปที่สวี่เฉียวหลีอีกครั้ง นัยน์ตาฉายแววเดือดดาล "เรื่องนี้ยังไม่จบหรอก!"
สวี่เฉียวหลียืนแคะหูอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเอ่ยแบบไม่ไว้หน้า "เดี๋ยวฉันจะส่งบิลค่าโทรศัพท์ไปที่บ้านนายนะ คงจะไม่เท่าไรหรอก คุณชายตระกูลเกาบ้านออกจะใหญ่โตคงไม่เบี้ยวหนี้แน่นอน อีกอย่าง อยู่ต่อหน้าผู้ปกครอง คราวหน้า ควรล้างหางน้อยๆ ของตัวเองให้สะอาดก่อนจะดีกว่า" พูดจบ เธอก็สะบัดผมเดินออกจากห้องพักครูไป
“สวี่เฉียวหลี!” เกาเฉียวตะโกน คิดจะเดินตามไป แต่คุณนายเกาคว้าเขาเอาไว้ "เฉียวเฉียว แม่ดูแลลูกมาตั้งหลายปี แต่ลูกกลับตวาดแม่? จิตสำนึกไปอยู่ที่ไหนหมด? ลูกยังมีจิตสำนึกบ้างไหม?" โรคคนแก่ของแม่เขากำเริบขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อไรก็ตามที่เกาเฉียวไม่เป็นไปตามความต้องการของเธอแค่นิดเดียว เธอก็จะร้องไห้ แล้วพูดพร่ำว่าการเลี้ยงเกาเฉียวให้เติบใหญ่มันลำบากแค่ไหน
“สวี่เฉียวหลี!” คราวนี้ไม่ใช่เกาเฉียวที่ตะโกนใส่เธอ แต่เป็นครูเฉินลี่
ครูเฉินลี่ไม่ชอบสวี่เฉียวหลีตั้งแต่แรกแล้ว ตระกูลสวี่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ส่งของขวัญให้ สวี่เฉียวหลีเองก็ไม่ใช่นักเรียนระดับหัวกะทิ แค่พอถูไถไปวันๆ เท่านั้น แล้วยังตายยากชะมัด นึกว่าจะขจัดตัวปัญหาที่ฉุดเกรดได้แล้วเชียว ปรากฎว่านางเด็กเจ้าปัญหานี่กลับดวงแข็งมาก คิดไม่ถึงว่าตกตึกแล้วยังไม่ตาย ยังกลับมาเรียนอย่างไม่สะสะท้าน
เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เพิ่งกลับมาไม่ถึงวันก็ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว ตระกูลเกาก็นับว่าส่งของขวัญมาให้เธอไม่น้อย เรื่องนี้ต่อให้เป็นความผิดของเกาเฉียวจริง เธอก็ต้องอยู่ข้างเกาเฉียวอย่างไม่ต้องสงสัย