ระหว่างที่มุ่งตรงไปทางทิศเหนือ ด้วยความที่จวนแม่ทัพนั้นไม่ใช่พื้นที่เล็กๆ และกำแพงที่กู้ซีหวงข้ามมานั้นเป็นกำแพงทางทิศใต้ ระยะทางจึงค่อนข้างไกล ดีที่นางยังสามารถพึ่งกำลังภายในได้
นางใช้กำลังภายในจึงทำให้เดินได้เร็ว เพียงครู่เดียวก็มาถึงยังที่ที่หยุนโม่เหิงคุกเข่าอยู่ ถ้าเดินเลยเข้าไปอีกก็จะเป็นที่พำนักของฮูหยินหยุน
กู้ซีหวงไม่ได้เข้าไปในทันที แต่กลับยืนมองคนที่รักนางสุดหัวใจอยู่หน้าประตู
เห็นเพียงชุดสีเขียวอ่อนของเขา ร่างผอมบางผ่ายผอมที่เห็นได้ชัดกำลังคุกเข่าอยู่บนแผ่นหิน บนชายชุดมีรอยเปื้อนอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้ทำให้รัศมีของเขาลดลงเลยสักนิด แถมยังทำให้ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบด้วย
กู้ซีหวงมองแผ่นหลังของหยุนโม่เหิงก่อนพูดในใจว่า ‘ขอโทษที่ข้ามาช้าไป’
เดิมทีแล้วกู้ซีหวงอยากจะมาหาเขาแล้วค่อยเข้าพบฮูหยินหยุน แต่ตอนนี้กลับก้าวขาไม่ออกและทนเห็นเขาทรมานไม่ได้อีกต่อไปแล้ว นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองถูกผีอะไรเข้าสิง ทั้งๆ ที่เมื่อชาติที่แล้วนางเกลียดเขาอย่างกับอะไรดี
ถึงแม้ว่าในสมองจะคิดแบบนั้น แต่ร่างกายกลับรีบเดินเข้าไปหาเขาอย่างซื่อสัตย์ นางยื่นมือออกไปและกำลังจะพยุงเขาขึ้นมา ทว่ากลับรู้สึกลังเลขึ้นมาเสียอย่างนั้น อยากจะเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมก็รู้สึกว่าตนไม่มีสิทธิ์
ใครจะรู้ว่าขณะที่นางกำลังลังเลอยู่นั้น หยุนโม่เหิงก็สลบไปต่อหน้าต่อตา ยังดีที่กู้ซีหวงตาไวมือไวดึงเขาเข้ามาในอ้อมอกได้ทัน ไม่อย่างนั้นหากศีรษะเขาฟาดพื้นขึ้นมา เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่
“น้องรอง!” ตอนที่หยุนโม่เจิงเดินเข้ามาก็เห็นว่าน้องชายสุดที่รักถูกคนกอดเอาไว้ อีกอย่างคนคนนี้ก็คือกู้ซีหวงที่นางไล่กลับไปแล้วอีกด้วย!
เพื่อไม่เป็นการทำให้หยุนโม่เหิงต้องทรมานนานกว่าเดิม กู้ซีหวงจึงชิงเอ่ยปากก่อนว่า “โม่เหิงสลบไปแล้ว ท่านรีบไปเรียกหมอมาเร็วเข้า”
พูดจบแล้วก็มองไปที่ใบหน้าอันซีดขาวราวกับหิมะของหยุนโม่เหิง
“ได้” หยุนโม่เจิงก็ไม่รู้ว่าโดนคำสาปอะไรของกู้ซีหวง หรือคงเป็นเพราะพี่สาวที่เป็นห่วงน้องชายมากเกินไปจึงเป็นกลายเป็นเด็กเชื่อฟังและรีบวิ่งไปทันที
กู้ซีหวงเกรงว่าถ้ากอดหยุนโม่เหิงเอาไว้แบบนี้แล้วจะเขาไม่สบายตัวจึงเปลี่ยนไปโอบที่เอวของเขาแทน ไม่คิดว่าเพิ่งจะจัดตำแหน่งเสร็จ แววตาที่เศร้าโศกของนางก็สบเข้ากับสตรีวัยกลางคนพอดี
ชาติที่แล้วกู้ซีหวงเคยพบกับสตรีวัยกลางคนนี้มาหลายครั้งแล้ว และรู้ว่านี่คือหยุนมู่หลานซึ่งเป็นมารดาของหยุนโม่เหิง จากนั้นนางก็เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “วันนี้ซีหวงมาหาคุณชายรองและมาขออภัยต่อฮูหยินด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูจวนตระกูลหยุนก่อนหน้านี้นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจกันผิดไป ซีหวงจึงบังอาจข้ามกำแพงทางฝั่งใต้เข้ามาเจ้าค่ะ”
หยุนมู่หลานไม่พูดไม่จา เพียงแต่มองหน้าบุตรชายที่อยู่ในอ้อมอกของนาง กู้ซีหวงจึงเอ่ยต่อว่า “ในตอนที่ซีหวงเข้ามาก็เจอคุณชายรองสลบพอดี สถานการณ์ฉุกละหุกยิ่งนัก ซีหวงจึงถือวิสาสะกอดเขาเอาไว้ มิได้มีเจตนาล่วงเกินใดๆ เลยเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินอย่างนั้นรึ?” หยุนมู่หลานมองกู้ซีหวงด้วยสายตาสงสัย เหมือนว่าไม่เชื่อคำพูดที่นางพูดมาทั้งหมด และเรื่องที่บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนต้องอับอายก็เพิ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่นาน นางไม่เชื่อหรอกว่ากู้ซีหวงจะ ‘กลับตัวกลับใจ’ ได้ภายในเวลาอันสั้น
“ซีหวงรู้ดีว่าความผิดของซีหวงนั้นไม่น่าให้อภัย แต่ขอให้ฮูหยินเห็นแก่โม่…คุณชายรอง ไม่ให้เขาต้องทรมานอีกเลยนะเจ้าคะ!” กู้ซีหวงพูดด้วยความจริงใจพร้อมกับแววตาที่เจ็บปวดไม่เหมือนเสแสร้ง
“พอ ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะกลับตัวกลับใจจริงๆ หรือไม่ รีบพาลูกเหิงของข้าไปยังเรือนซีย่วน” พูดแล้วหยุนมู่หลานก็ก้าวเท้าเดินออกจากลานก่อน เพื่อเป็นการนำทางให้กับนาง
ไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างทาง หยุนมู่หลานเป็นแม่ทัพมานาน ฝีเท้าของนางที่ถึงแม้ไม่ต้องเพิ่มความเร็วก็เร็วมากอยู่แล้ว คนปกติต้องวิ่งเหยาะๆ ถึงจะตามทัน แต่กู้ซีหวงที่ขนาดพยุงหยุนโมเหิงไว้ด้วยก็ยังรักษาระยะห่างเพียงสามก้าวเอาไว้ได้ ซึ่งทำให้หยุนมู่หลานรู้สึกแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
กู้ซีหวงไม่ได้สนใจเรื่องอื่นแต่อย่างใด คิดเพียงแค่ว่าหยุนมู่หลานไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายนาง
พวกเขาต่างเดินเร็วทั้งคู่ สักพักก็มาถึงบริเวณเรือนซีย่วน ยังไม่ทันได้เข้าใกล้เรือนที่พักของหยุนโม่เหิงก็เจอกับเงาร่างสีเขียวที่เดินเตร่อยู่นอกตำหนัก หรืออาจจะกำลังเดินผ่าน