ตอนที่ 209
ฝ่ามือไฟเหมันต์
ลามะจากชมพูทวีปทั้งสองรูปนี้ มีท่าทีสำรวมจริยวัตรนับว่าน่านับถือเลื่อมใส ในเวลานั้นหลวงจีนชั่วถู่ฝูรีบสะอึกปราดออกไปรับหน้า ยกมือข้างหนึ่งยกขึ้นจรดปลายคาง ส่งเสียงกล่าวว่า
“ไต้ซือทั้งสอง อาตมาถู่ฝูแห่งเส้าหลิน ได้ยินท่านกล่าวถามเมื่อครู่ มิทราบว่าท่านทั้งสองหมายถึงพรตสตรีที่ใด? อาตมาพร้อมทั้งประสกทั้งสองท่านนี้ เดินทางมาถึงก็พบซากศพนอนตายกลาดเกลื่อนนี้แล้ว ไต้ซือกล่าวราวกับทราบว่าผู้ที่ลงมือนั้นมันเป็นผู้ใด?”
ลามะถือพลองเหล็กนามทิเทียนเต็ก สำรวจมองคนทั้งสามเที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า
“อาตมาย่อมทราบว่าเป็นฝีมือผู้ใด? ดึกดื่นป่านนี้หลวงจีนแห่งเส้าหลินเช่นท่าน ไฉนจึงมารวมหัวอยู่ได้กับประสกทั้งสองนี้ มันทั้งสองคนล้วนมิใช่ตัวดีมีพฤติกรรมงดงาม ความประพฤตินับว่าน่ารังเกียจเดียดฉันท์มิน่าคบหาเจรจาด้วย อาตมาอยู่ไกลถึงชมพูทวีปยังได้ยินกิตติศัพท์ของมันทั้งสอง ไต้ซือท่านนี้คลุกคลีอยู่กับพวกมันในยามวิกาล มิกลัวจะถูกครหาคะคานว่ามิสมควรหรอกหรือ?”
ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ท่านไต้ซือกล่าววาจายกย่องพวกเราไปแล้ว ชื่อเสียงสองเรากระเดื่องเลื่องลือไปไกลถึงชมพูทวีป คาดคิดมิถึงกิตติศัพท์ของสองเฒ่าพิษยังเป็นที่น่าสนใจให้ท่านไต้ซือกล่าวถึง”
ลามะอีกรูปหนึ่งยังคงมีสีหน้าสำรวมส่งเสียงกล่าวช้า ๆ ว่า
“อาตมาทั้งสองกำลังติดตามคน ในเมื่อพวกท่านทั้งสามไม่พบเห็นจึงมิกล้ารบกวน อีกประการเราทั้งสองเป็นผู้ทรงศีล หากผู้ใดพบเห็นว่าวิสาสะอยู่พวกท่านทั้งสามจะมิดีงาม พลอยทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เชิญพวกท่านทั้งสามตามสบาย อาตมาทั้งสองขอตัวติดตามคนไปก่อน”
กล่าววาจาจบ ลามะทั้งสองพลิ้วร่างออกไปทางช่องแตกฝาผนัง ตำแหน่งทิศทางเดียวกันกับนางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่วหลบหนีไป สภาวะท่าร่างดั่งเหินบินพริบตาเดียวลับหายไปกับความมืดมิด
ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว กระชากเสียงกล่าววาจาว่า
“ลามะเน่าเหม็นทั้งสองรูป พวกมันคล้ายกล่าววาจาด่าพวกเรา นางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ดูนางท่าทีลุกลนรีบร้อนหลบหนีไปกะทันหัน คาดว่านางคงหลบหนีมาจากชมพูทวีป ลามะทั้งสองรูปจึงไล่ติดตามจับตัวนางกลับไป คิดว่านางคงหาทางเดินทางไปเส้าหลินแน่นอน พวกเรายังคงใช้อุบายหลอกใช้นางเป็นเครื่องมือ น่าเจ็บใจทารกสองคนนั้นมันร้ายกาจนัก”
หลวงจีนชั่วถู่ฝูส่งเสียงกล่าวอย่างสงสัยว่า
“ท่านผู้เฒ่าทั้งสอง หากสิ่งที่อาตมาสันนิษฐาน กับสิ่งที่พวกท่านสงสัยเป็นความจริง ต่อจากนี้จะมิยิ่งอันตรายหรอกรึ? จะเป็นไปได้เช่นไร ในเมื่ออาตมาหักกระดูกแขนขาทำลายเส้นเอ็น อีกทั้งยังทำลายวรยุทธ์ของมันไปหมดสิ้น ในใต้หล้ายังจะมีปาฏิหาริย์อันใด? ต่อให้เทพยดาเซียนวิเศษเสด็จลงมาเอง ก็ยังไม่มีปัญญา เชื่อมต่อเอ็นกระดูกแขนขาให้กลับมาดั่งเดิมได้ หรือว่าพวกเราคิดวุ่นวายเลอะเลือนเกินไป ทารกผู้นั้นมันอาจมิใช่ประมุขน้อยจ่านจือก็เป็นได้”
ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินส่งเสียงกล่าวว่า
“เราว่าพวกเราอย่าได้ประมาทเลินเล่อ กระทั่งมิระมัดระวังป้องกันไว้บ้าง หากทว่าทารกน้อยผู้นั้นมันเป็นประมุขน้อยจ่านจือขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าแผนการที่ใกล้พังของพวกเรา อาจจะส่งผลจนล้มครืนพังลงในเร็ววัน”
หลวงจีนเส้าหลินถู่ฝูทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวกับผู้เป็นบิดามารดาว่า
“เช่นนั้นอาตมาคงมิอาจรั้งอยู่ได้นาน คงต้องเร่งรุดเดินทางล่วงหน้ากลับเส้าหลินไปก่อน ท่านผู้เฒ่าทั้งสองลองสืบข่าวความเคลื่อนไหวของนางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว รั้งดึงนางเข้าร่วมทางลงเรือลำเดียวกันกับพวกเราให้ได้”
ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วเห็นด้วยกับหลวงจีนชั่วถู่ฝูบุตรนาง ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เราเห็นด้วยกับเจ้า ถู่ฝูหากเจ้าหายหน้าไปนานเกินไป จะเป็นที่สงสัยให้กับทุกคนได้ เจ้ารีบรุดเดินทางล่วงหน้าไปรอบิดามารดาที่เส้าหลิน ส่วนนางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่ว เราทั้งสองจะเสาะหานางให้พบแล้วใช้อุบายหลอกนางร่วมทางลงเรือลำเดียวกันกับพวกเราให้จงได้”
ชั่วครู่ให้หลัง คนทั้งสามออกจากโรงเตี๊ยมไป หยางปู้ชุยชิวพร้อมทั้งเยี่ยนผิงจึงออกจากที่ซ่อน พากันสำรวจตรวจสอบเผื่อจะมีผู้ใดรอดชีวิตอยู่บ้าง หลังจากค้นหาจนทั่วไม่พบว่ามีผู้ใดหลงเหลือลมหายใจ สภาพศพของแต่ละคนชวนสยดสยองยิ่ง นับว่าความอำมหิตของนางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่วน่ากลัวอย่างที่สุด บางศพไหม้เกรียมบางศพแข็งทื่อขาวโพลนราวน้ำแข็ง
ดังนั้น คนทั้งสองจึงออกเดินทางกลางดึกเช่นกัน แหงนมองที่กลางฟ้าเห็นเดือนเสี้ยวแขวนอยู่ในหมู่ดาววับแวม คนทั้งสองมุ่งหน้าสู่คอกปศุสัตว์ป้อมอาชามังกรเขียว ใช้เวลาเดินทางในกลางวิกาลแม้ไม่สะดวกเหมือนกลางวัน แต่อย่างน้อยยังไม่มีผู้ใดพบเห็น ด้วยความสูงส่งของพลังวัตรจึงมิเป็นอุปสรรค มาตรว่าสภาพเบื้องหน้าจะมีแสงสว่างจากจันทร์เสี้ยวสลัวรำไร สายตากลับเจิดจ้ามองคล้ายดั่งกับกลางวันมิปาน
คนทั้งสองเร่งฝีเท้าทะยานร่างราวสายลมหอบหนึ่ง วิ่งตะบึงพุ่งร่างปราด ๆ มองคล้ายภาพมายาเลือนรางอยู่กลาวหาว คล้ายดั่งเงาของภูตผีปีศาจปานฉะนั้น โดยวางแผนเอาไว้ว่าก่อนฟ้าสางคงเดินทางถึงเขตป้อมอาชามังกรเขียว เพียงเสาะหาศาลาศาลเจ้าหลับนอนสักตื่นหนึ่ง ค่อยเดินทางเข้าสู่คอกปศุสัตว์ป้อมอาชามังกรเขียว หากรีบรุดเข้าไปเกรงว่าคนของคอกปศุสัตว์อาจจะยังไม่ตื่น ถือเป็นการรบกวนเจ้าบ้านเสียมารยาทในฐานะผู้เยือน
รุ่งเช้าอากาศแจ่มใส ในม่านหมอกน้ำค้างผสานกลิ่นหอมจาง ๆ ของพฤกษาซึ่งอวดช่อชูก้านเบ่งบานในยามเช้า แมลงภู่ผึ้งบินตอมชอนไชน้ำหวานจากเกสรเสียงดังหึ่ง ๆ วิหคสกุณาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วจิกหนอนแมลง บ้างคาบบินกลับสู่รังรวงป้อนลูกน้อยที่ส่งเสียงร้องจิบ ๆ กระรอก กระแต วิ่งไล่กระโดดจากคบไม้กิ่งหนึ่งไปสู่กิ่งหนึ่ง บ้างคว้ากัดผลไม้สุกงอมซึ่งดกเต็มต้น บรรยากาศในยามเช้าช่างหฤหรรษ์ยิ่ง
ภายในป้อมอาชามังกรเขียว ผู้คนตื่นนอนทำธุระส่วนตัว คนงานพ่อครัวคนรับใช้ต่างเตรียมหุงหาอาหาร จัดเตรียมต้มน้ำชงชาดั่งเช่นปกติ เช้านี้คุณชายของป้อมอาชามังกรเขียวเอียวอั้งเย๊าะ คุณหนูเอียวเซียวกุน หลังจากทำธุระเสร็จออกมาหน้าลานตึกฝึกซ้อมกระบี่ หลังจากได้รับคำชี้แนะจากเจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้งบิดาบุญธรรม อีกทั้งยังได้คู่มือฝึกซ้อมทำให้ทั้งสองคนพี่น้องมีฝีรุดหน้าอยู่มากโข
ด้านหน้าตึกคนรับใช้จัดวางชุดน้ำชาไว้บนโต๊ะนั่งพักผ่อน ชั่วครู่ให้หลังเจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้งก้าวออกมาจากตึกใหญ่ ด้านหลังติดตามมาด้วยเต็กกอ ป๋อกุน หุนเตียว เฉียวอัน ด้านหลังของคนทั้งสี่ยังติดตามด้วยชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนกำยำอีกราวยี่สิบคน
เจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้งนั่งลง คนรับใช้รีบรินน้ำชาร้อนกรุ่นควันโชย เจ้าป้อมส่งเสียงกล่าวกับคนทั้งสี่ว่า
“พวกท่านทั้งสี่รีบมานั่งจิบน้ำชาเป็นเพื่อนเรา อย่าได้ยืนเกะกะทำให้บุตรเราทั้งสองเสียสมาธิฝึกซ้อมฝีมือ คาดคิดมิถึงหลังจากได้คู่มือฝึกซ้อม คนทั้งสองมีฝีมือรุดหน้าเป็นที่น่าพอใจ”
คนทั้งสี่รีบก้าวเท้าเข้ามานั่งลง คนรับใช้รินน้ำชาแล้วล่าถอยออกไปยืนอยู่ด้านข้าง ผู้คนอีกสิบกว่าคนยืนชมดูอยู่ไกล ๆ ไม่มีผู้ใดส่งเสียงดังออกมาด้วยเกรงว่าจะทำให้คุณชายและคุณหนูสูญเสียสมาธิ เอียวอั้งเย๊าะใช้กระบวนท่าวิชากระบี่สายรุ้งหยกขาว ส่วนเอียวเซียวกุนใช้เพลงดาบสกุลเอียว เสียงติงตังขวับเขวียวดังไม่ขาดหู ผู้หนึ่งรุกฝ่ายหนึ่งรับสลับออกกระบวนแคล่วคล่อง เพลงดาบสกุลเอียวเน้นความรวดเร็วดุดัน ดังนั้นเอียวเซียวกุนแม้เป็นอิสตรีอายุเยาว์ แต่ได้รับการถ่ายทอดวิชาดาบนี้แต่ห้าขวบ ดังนั้นนางจึงห้าวหาญชำนาญไม่แพ้ชายชาตรีอกสามศอก
ในขณะที่เอียวอั้งเย๊าะกับเอียวเซียวกุนกำลังทุ่มเทฝึกซ้อม ในอากาศพลันปรากฏเงาร่างสามสายโลดแล่นละลิ่วมา คนน้ำหน้าเป็นสตรีชราผมยาวขาวโพลน สองคนทางด้านหลังเป็นนักบวชศีรษะล้านโล้นสองรูป สตรีด้านหน้ามีสภาวะท่าร่างรวดเร็วยิ่ง พริบตาเดียวพุ่งร่างลงระหว่างกลางของพี่น้องที่ฝึกซ้อมฝีมืออยู่ สองมือซ้ายขวาของนางตะปบหัวไหล่ของทั้งสอง จนทำให้ต้องปล่อยกระบี่และดาบร่วงหล่นสู่พื้น
เจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้ง แม้มีปฏิกิริยาปราดเปรียวเพียงขยับร่างนางเฒ่าผู้นั้นก็ลงมือประสบผลแล้ว นางเสียงกล่าววาจาข่มขู่ดังว่า
“ทารกน้อยชายหญิงสองคนนี้ในมือเรา จะเป็นหรือตายล้วนให้พวกท่านทั้งสองตัดสินใจ เรานางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ต้องสูญสิ้นอิสรภาพยาวนานถึงสามสิบปี ลามะท่านทั้งสอง อ้อต้องกล่าวว่าทั้งสาม พวกท่านกักขังหน่วงเหนี่ยวเราไว้ ดังนั้นอย่าหมายว่าเราจะยินยอมให้พวกท่านคร่ากุมจับตัวเราได้อีก หากพวกท่านทั้งสองลงมือเราจะขยี้ทารกทั้งสองในมือให้แหลกเหลวไปก่อน”
ลามะทั้งสองเมื่อทิ้งเท้าลง ผู้ที่มีนามว่าทิเทียนเต็กซึ่งในมือประคองพลองเหล็กหลายร้อยชั่งส่งเสียงตวาดดังว่า
“นางเฒ่าอสูรมรณะชิ้ว ท่านอย่าได้ก่อกรรมทำเข็ญสร้างบาปให้กับตนเองอีกเลย ทารกทั้งสองยังไร้เดียงสาบริสุทธิ์ อีกทั้งท่านกับทารกทั้งสองมิเคยข้องแวะมีสัมพันธ์ความแค้นต่อกันมาก่อน ท่านรีบปล่อยคนทั้งสองแล้วพูดจากันโดยอาศัยเหตุผลเถิด”
นางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว นางส่งเสียงหัวร่อดังยาวนานแค่นเสียงร้องเฮอะคำหนึ่ง กล่าวว่า
“ลามะท่านทั้งสองอาศัยเหตุผลใดเจรจากับเรา หากพวกท่านมีเหตุผลคงมิคร่ากุมขังเราเอาไว้ถึงสามสิบปี พวกท่านขังเราเอาไว้ก็จริง แต่เรายังมิทอดอาลัยสูญเสียความตั้งใจ สักวันจะต้องออกจากห้องขังกลับคืนสู่บู๊ลิ้มจงหยวน ดังนั้นเราจึงมุ่งมั่นฝึกฝนวิชาฝ่ามือไฟน้ำแข็ง กระทั่งบรรลุสำเร็จขั้นสูงสุด ลามะท่านทั้งสองไม่แน่นักว่าพวกท่านจะเอาชนะเราได้ในตอนนี้ หากพวกท่านรับปากไม่ยุ่งเกี่ยวสร้างความลำบากต่อเรา ทารกทั้งสองนี้เราจะปลดปล่อยพวกมันให้มีชีวิตต่อไป”
ลามะอีกรูปหนึ่ง ซึ่งในมือถือพลองเหล็กหัวสุนัขป่านามเส่าเทียนเต็ก ส่งเสียงกล่าวว่า
“นางเฒ่าอสูรมรณะชิ้ว ท่านจงปล่อยทารกทั้งสองลงก่อน แล้วพวกเราค่อยเจรจาข้อตกลงเงื่อนไข พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับเรื่องราวเหล่านี้ ท่านอย่าได้สร้างความยุ่งยากเพาะสร้างศัตรูเพิ่มให้วุ่นวายในภายหลังอีกเลย”
เจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้ง มีสีหน้าตระหนกตกใจยิ่ง ด้วยความเป็นห่วงบุตรีเอียวเซียวกุน รวมทั้งบุตรบุญธรรมเอียวอั้งเย๊าะ ก้าวเข้ามาสองก้าวประสานมือต่อนางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ส่งเสียงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าแซ่เอียวนามเซียวเล้ง เป็นเจ้าป้อมอาชามังกรเขียวแห่งนี้ มันทั้งสองเป็นบุตรเราไม่เคยล่วงเกินอาวุโสท่านนี้ ได้โปรดปล่อยมือละเว้นชีวิตแก่บุตรเราทั้งสอง เรื่องราวของพวกท่านอย่าได้สร้างความลำบากให้แก่พวกเรา ไต้ซือท่านนั้นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
เอียวเซียวกุนแม้ถูกนางเฒ่าอสูรมรณะคร่ากุมหัวไหล่ แต่นางหาได้เกรงกลัวไม่ ส่งเสียงตวาดด่าว่า
“นางเฒ่าผู้นี้รีบปล่อยเรากับพี่ชายเดี๋ยวนี้ อย่าได้คิดว่าเราจะเกรงกลัวท่าน รีบปล่อยเราแล้วต่อสู้กันอย่างยุติธรรมเปิดเผย อาศัยลงมือลอบกัดเช่นนี้หน้าไม่อาย เป็นผู้ใหญ่คิดรังแกเด็กทราบถึงไหนอับอายถึงนั่น”
เอียวอั้งเย๊าะส่งเสียงกล่าวสืบต่อว่า
“ถูกต้อง น้องเรากล่าวได้ถูกต้อง นางเฒ่าท่านนี้ช่างมิมีศักดิ์ศรีไร้ยางอาย ใช้วิธีการจับคนข่มขู่ หากท่านแน่จริงปล่อยเราสองคน แล้วประลองฝืมือโดยเปิดเผยดีหรือไม่?”
นางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ส่งเสียงหัวร่อกล่าวว่า
“ทารกสองคนนี้มิรู้จักความตายแล้ว พวกเจ้าทราบหรือไม่? เพียงเราขยับนิ้วคราเดียว คนหนึ่งจะกลายเป็นแกะย่างที่ไหม้เกรียม อีกคนหนึ่งจะกลายเป็นซากน้ำแข็งที่หนาวเหน็บ ความตายมาเยือนอยู่ตรงหน้ายังฝีปากดี อายุเยาว์วัยแต่ใจกล้าไม่เลว ก็ได้เรารับปากพวกเจ้าทั้งสอง หากมีผู้ใดเอาชนะเราได้ เราจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งสองคน”
จากนั้น นางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปหันมาทางลามะทั้งสองรูป ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ลามะท่านทั้งสอง พวกท่านได้ยินที่เรากล่าวแล้วหรือไม่? หากในที่นี้หรือผู้ใด? รวมทั้งพวกท่านทั้งสองสามารถเอาชนะเราได้ เราจะไม่แตะต้องเอาชีวิตผู้ใดในป้อมนี้อีก หากไม่มีผู้ใดเอาชัยในฝีมือเรา เราจะปล่อยทุกคนก็ได้ เพียงแต่ต่อไปอย่าได้ติดตามเราอีก แต่ทว่าหากผู้ใดเอาชนะเราได้แล้วละก็ เราจะยินยอมรับฟังวาจาปฏิบัติตามคนผู้นั้น ลามะท่านทั้งสองพวกท่านจะว่าเช่นไร?”
ลามะทั้งสองรูปเห็นว่าคนของป้อมอาชามังกรเขียวหามีส่วนเกี่ยวข้องไม่ นางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่วจับคนเอาไว้ยิ่งไม่สบายใจ เมื่อครู่ได้ยินว่านางสำเร็จวิชาฝ่ามือไฟน้ำแข็งขั้นสูงสุด เช่นนั้นหมายความว่าต่อให้ลงมือโดยพร้อมเพรียงยังไม่แน่นักว่าจะสู้นางได้ แต่เนื่องด้วยช่วยคนสำคัญกว่า ดังนั้นทิเทียนเต็กจึงรับปากส่งเสียงกล่าวว่า
“ตกลง เรารับปากท่านเช่นกัน เพียงท่านรีบปลดปล่อยทารกทั้งสองก่อน แต่ทว่าเราอยากขอร้องท่านสักเรื่องหนึ่ง มิทราบว่าจะอ่อนข้อสักครั้งทำตามที่อาตมาขอร้องได้หรือไม่?”
นางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ส่งเสียงกล่าวไถ่ถามว่า
“เรานางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่ว มิเคยรับปากผู้ใดหากยังมิทราบว่าเป็นเรื่องราวอันใด? ไต้ซือลองกล่าวออกมาดูเผื่อเราจะยอมอ่อนข้อรับปากต่อท่าน”
ลามะนามเส่าเทียนเต็กส่งเสียงกล่าวว่า
“การต่อสู้ย่อมมีบาดเจ็บล้มตาย ดังนั้นอาตมาจึงอยากขอร้อง ท่านลงมือต่อเราได้โดยไร้เงื่อนไข แต่สำหรับกับผู้อื่นท่านอย่าได้ทำร้ายผู้ใดให้ได้รับบาดเจ็บ ใช้วิธีการประลองทราบผลก็หยุดมือ ถือความเมตตาอาศัยธัมมะ อย่าสร้างกรรมทำบาปเพิ่มอีกเลย”
นางเฒ่าอสูรมรณะชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ความจริงที่นางหลบหนีจากชมพูทวีปเดินทางสู่จงหยวน เนื่องด้วยมีความแค้นลึกล้ำกับเซียนเมฆาล่องลอยลวี้ยู่เฉียน รวมทั้งเกี้ยบฉิกไต้ซือแห่งเส้าหลิน ส่วนจะเป็นเรื่องราวใดนั้นยังไม่เปิดเผย ดังนั้นจึงไม่ต้องการสร้างความยุ่งยากเช่นกัน เพียงแต่นางยโสโอหังทะนงตนในฝีมือ เห็นว่าเดินทางกลับมาครานี้จะมิมีผู้ใดเอาชัยต่อนางได้อีก ดังนั้นจึงปล่อยมือจากทารกทั้งสอง ส่งเสียงกล่าวว่า
“ตกลง เราจะยอมอ่อนข้อให้หนหนึ่ง เราเองก็ต้องการให้ลามะท่านทั้งสองรับปากเราเรื่องหนึ่งเช่นกัน ก่อนที่เราจะสะสางหนี้แค้นจัดการธุระเสร็จสิ้น พวกท่านอย่าได้ส่งผู้ใดมาไล่ล่าคร่ากุมตัวเราอีก”
ลามะทั้งสองรูปส่งเสียงพร้อมเพรียงกันว่า
“ตกลง”
จากนั้น ลามะนามทิเทียนเต็กกล่าววาจาต่อว่า
“นางอสูรเฒ่ามรณะชิ้ว สามสิบปีที่ผ่านมา อาตมาและศิษย์พี่ศิษย์น้อง ต่างใช้ธัมมะกล่อมเกลาจิตใจท่าน หวังให้ท่านกลับตัวกลับใจในบั้นปลายชีวิต คิดมิถึงว่าท่านยังลอบฝึกฝนวิชาฝ่ามือไฟเหมันต์ ของจอมมารวชิระโลกันตร์ฮั่นป่อป้อกระทั่งสำเร็จขั้นสุดยอดได้ อาตมาทั้งสองจะประลองฝีมือกับท่าน ผู้อื่นนั้นคิดว่าหาใช้คู่มือท่านอย่างแน่นอน”
เอียวอั้งเย๊าะ เอียวเซียวกุนเมื่อเป็นอิสระ ต่างพากันเก็บกระบี่ดาบพากันวิ่งเข้าไปหาเจ้าป้อมอาชามังกรเขียวเอียวเซียวเล้ง เจ้าป้อมโอบกอดทั้งสองไว้ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“พวกเจ้าทั้งสองได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
คนทั้งสองสั่นศีรษะบอกว่ามิได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่เมื่อครู่รู้สึกตกใจที่จู่ ๆ ถูกคร่ากุมจับตัวไว้ นางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว ได้ยินเช่นนั้นส่งเสียงกล่าวตะคอกดังว่า
“ทารกทั้งสองมันมิเป็นเช่นไรดอก เรามิได้ออกแรงเกร็งพลัง หน่วยก้านของทารกทั้งสองถือว่าใช้ได้ หากเรารุนแรงหนักมือไปนับว่าน่าเสียดาย พวกมันทั้งสองกล้าหาญไม่กลัวตาย กำลังขวัญนับว่าไม่เลว หากเราจะฆ่ามันจริง ๆ ป่านนี้พวกมันไม่มีลมหายใจแล้ว”
จากนั้น นางเฒ่าอสูรมรณะแห่งชมพูทวีปชิ้วเชี๊ยะโหล่ว หันมาทางด้านลามะทั้งสองรูป ส่งเสียงราบเรียบเย็นชาว่า
“ไต้ซือทั้งสองพร้อมแล้วหรือไม่? เข้ามาพร้อมกันทั้งสองคนเราจะได้ไม่เสียเวลา จะได้ทราบความร้ายกาจของวิชาฝ่ามือไฟเหมันต์ขั้นสูงสุด”
ลามะทั้งสองรูปยังมิทันกล่าววาจาโต้ตอบ ร่างอีกสองสายโลดแล่นละลิ่วมา พร้อมกับส่งเสียงกล่าววาจาดังนำมาก่อนว่า
“ช้าก่อนท่านอาวุโสทั้งหลาย ผู้เยาว์ขอรับหน้าที่เป็นคู่มือประลองฝ่ามือไฟเหมันต์ขั้นสูงสุดนี้เอง”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564