ตอนที่ 206
สุสานตระกูลจ้าว
เมื่อก้าวเข้าสู่บริเวณสุสานด้านใน หลังกำแพงศิลาหนาทึบ อีกทั้งยังทอดยาวล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เฒ่าชราซูบเซียวหมุนร่างดั่งลูกข่างรอบหนึ่ง จากเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว เพียงชั่วลัดนิ้วบัดนี้กลับกลายเป็นบุรุษหนุ่มอันผึ่งผาย ฉายแววอันหล่อเหลาเค้ารูปหน้าหมดจดคมคาย กลายเป็นประมุขน้อยจ้าวจ่านจือไปในชั่วพริบตา
เยี่ยนผิงจับจ้องมองดูเขาอย่างงมงาย คล้ายกับอีกไม่นานเกินไปเท่าใดนัก ซึ่งเขาจะได้คืนสู่ตำแหน่งประมุขน้อยจ่านจืออีกครั้ง นางส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ข้าพเจ้าคิดว่าเวลานี้ เฒ่าพิษทั้งสองกับอลัชชีชั่วบุตรโฉดของมัน อาจถึงขั้นธาตุไฟแทรกอกแตกตายแล้วกระมัง? ลำพังสูญเสียภาพวาดพวกมันทั้งสองยังแทบกระอักเลือดแล้ว นี่ยังมาถูกท่านใช้ดัชนีจี้สกัดจุดหยุดพวกมันไว้ ทำให้เสื่อมสูญหมดสิ้นอิสรภาพ สงสัยว่าพวกมันคงเกร็งลมปราณเพื่อคลี่คลายจุดให้กับตนเอง เกรงว่านอกจากไม่ได้ผลคนอาจปล่อยลมพิษออกมาคละคลุ้ง”
จ่านจือส่งเสียงหัวร่อขบขัน ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“มาตรว่าพวกมันทั้งสามจะมีพลังยุทธ์สูงส่ง พลังวัตรแก่กล้าปานใด? แต่กระนั้นยังไม่อาจคลี่คลายจุดที่ข้าพเจ้าสกัดไว้ได้เด็ดขาด คงจริงดั่งท่านว่า เวลานี้พวกมันคงสูดดมกลิ่นผายลมของกันและกัน กระทั่งเป็นลมล้มตึงตังไปแล้วกระมัง?”
เยี่ยนผิงนางเองอดที่จะหัวร่องอหงายมิได้ กล่าวเสริมสนับสนุนดังว่า
“พวกมันทั้งสองเป็นถึงเฒ่าพิษ กลิ่นผายลมของพวกมันคงมิระคายปลายจมูก สงสารเพียงแต่หลวงจีนโสโครกถู่ฝู มิรู้ว่ามันจะพาลอ้วกแตกอ้วกแตนไปแล้วกระมัง”
เมื่อทั้งสองหัวร่อขบขันกันจนพอใจ จึงเปลี่ยนเรื่องราวหัวข้อสนทนา จ่านจือกล่าววาจาไถ่ถามกับเยี่ยนผิงว่า
“ชาวบ้านเหล่านั้นป่านนี้คงมีสถานที่ปลอดภัยแล้ว สหายน้อยแซ่เอียวผู้นั้น มันกลับมีมันสมองเฉลียวฉลาด เพียงมองปราดเดียวกลับทราบได้ แถมยังร่วมเล่นละครกับพวกเราได้เข้าขายิ่ง เยี่ยนผิงท่านเห็นเป็นเช่นไร? หากมันผู้นี้จะมีความก้าวหน้าขึ้นมาภายหน้า กระทั่งมีวาสนาปกครองบรรดาขอทานพรรคกระยาจก”
เยี่ยนผิงแสดงสีหน้ายินดี มีรอยยิ้มมั่นใจอยู่บนใบหน้า กล่าววาจาตอบจ่านจือว่า
“จ่านจือ ท่านเองกลับมีสายตาไม่เลว ข้าพเจ้ากับท่านกลับมีความคิดเห็น พ้องต้องกันอีกเรื่องราวหนึ่งแล้ว ข้าพเจ้าถูกชะตากับสหายแซ่เอียวผู้นี้ยิ่ง การแสดงออกของมันเปิดเผยองอาจ มาตรว่าจะยังเยาว์วัย แต่ทว่าความคิดกลับเป็นผู้ใหญ่ไม่เอาแต่ซุกซน องคาพยพของมันยิ่งมีสัดส่วนงดงาม เพียงแต่มันยังซอมซ่ออยู่บ้างดั่งกับท่านในวันแรก ๆ ที่พวกเราได้รู้จักกัน”
จ่านจือพยักหน้าเห็นด้วย พลันประหวัดระลึกถึงเรื่องราวในคราวหลัง ใช่แล้วตอนที่เขาก้าวเท้าออกมาจากหมู่บ้านเย้ยอรุณ สารรูปของเขากับมันแทบไม่แตกต่างกันเท่าใด คล้ายดั่งเอียวอั้งเย๊าะยังดูโดดเด่นกว่าตนเองอยู่มาก ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้ากลับต่ำต้อยด้อยกว่ามันอยู่มาก หากเปรียบเทียบกับมันตอนนี้ ในตอนนั้นข้าพเจ้ากลับไม่รู้จักฝีมืออันใดแม้เพียงครึ่งท่า แต่ทว่ามันยังมีฝีมือถือว่าไม่เลวเลย หากท่านเห็นด้วยกับข้าพเจ้า หลังจากสะสางเรื่องราวบู๊ลิ้มเสร็จสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าคิดจะส่งเสริมมันขึ้นรักษาตำแหน่งประพรรคไปพลางก่อน เนื่องจากมันยังอ่อนประสบการณ์ยุทธจักร อีกทั้งยังไม่คุ้นเคยกับศิษย์พรรคกระยาจกทั้งหลาย หากจะให้ขอทานทั้งแผ่นดินยอมรับทั้งกายใจ คงต้องให้มันได้ใช้ความสามารถพิสูจน์ตน”
เยี่ยนผิงนางพยักหน้าเห็นด้วย คงต้องเป็นหน้าที่ของสหายฝ่ายธัมมะ ที่ต้องช่วยส่งเสริมสนับสนุนมัน แต่กระนั้นยังคงเป็นเรื่องราวอนาคต ดังนั้นจึงคิดว่าพักเรื่องราวของมันเอาไว้ชั่วคราวก่อน ตอนนี้สิ่งที่ต้องรีบกระทำอันดับแรก ต้องค้นหาสุสานบรรพบุรุษตระกูลจ้าวให้พบก่อน ภายในบริเวณกำแพงศิลากว้างใหญ่ไพศาล อีกทั้งยังมีสิ่งปลูกสร้างอยู่มากมายหลายสิบหลัง ดังนั้นเยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า
“ข้าพเจ้าคิดว่าในเวลานี้ พวกเราอย่าได้เสียเวลาช่วยกันค้นหาสุสานต้นตระกูลจ้าวของท่านก่อน ภายในนี้กลับมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ สุสานบรรพบุรุษท่านอยู่หลังไหนยังไม่อาจชี้ชัดได้”
จ่านจือเห็นด้วยกับนาง ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ถูกต้องของท่าน เรื่องราวสำคัญต้องค้นหาสุสานบรรพบุรุษตระกูลจ้าวให้พบก่อน เรื่องราวอื่นค่อยเอาไว้ในภายหลัง จริงของท่านภายในนี้มีบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลจริง ๆ”
กล่าววาจาจบ จ่านจือล้วงผืนหนังในอกเสื้อออกมาอ่านทบทวนอีกเที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เราทั้งสองต้องหาสุสานขุนนางชั้นสูงตระกูลหวังให้พบก่อน บนแผ่นหนังผืนนี้จารึกเอาไว้ชัดเจน สุสานบรรพบุรุษตระกูลจ้าว อยู่ใกล้ ๆ ไม่ไกลไปเด็ดขาด เพียงแต่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นหลังไหน? อยู่ทิศทางใดของสุสานตระกูลหวังกันแน่?”
เยี่ยนผิงกล่าวว่า
“ถูกต้องของท่าน พวกเราต้องค้นหาสุสานตระกูลหวังให้พบก่อน น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าไม่มีเวลาไถ่ถามสหายน้อยแซ่เอียว อีกประการหนึ่งไม่อยากให้มันสงสัยประเดี๋ยวจะกลายเป็นมากความ ดังนั้นจึงให้มันเดินทางไปรอพวกเราที่ป้อมอาชามังกรเขียว เราทั้งสองเดินเท้าเข้าไปค้นหากันเร็วเข้า”
กล่าววาจาจบคนทั้งสองเดินสำรวจอาคารเก่าแก่แต่ละหลัง เนื่องด้วยพื้นผิวชั้นนอกของสิ่งปลูกสร้าง ต่างทรุดโทรมแต่มิผุพัง สังเกตจากสุสานชั้นนอกคล้ายดั่งก่อไว้ด้วยอิฐดินเผา เมื่อลองเอามือผลักดูยังคล้ายมีพื้นด้านในเป็นหินศิลาอีกชั้นหนึ่ง เป็นหลังใดกันแน่ที่เป็นสุสานตระกูลหวัง
เยี่ยนผิงนางขบคิดถึงวาจาของสหายน้อยแซ่เอียวขึ้นมา มันเคยกล่าวว่าสุสานขุนนางชั้นสูงที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก นั่นคือสุสานตระกูลหวัง บนแผ่นหนังจารึกว่าตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสุสานตระกูลหวังทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทันใดนั้นเยี่ยนผิงคล้ายนึกถึงอันใดได้ ส่งเสียงร้องอย่างยินดีว่า
“เอียวอั้งเย๊าะบอกว่ามันคุ้นเคยและรู้จักสุสานตระกูลหวัง มันลอบเข้ามาภายในสุสานหลับนอน แสดงว่าสถานที่มันใช้หลับนอนต้องมองเห็นสุสานตระกูลหวังได้ชัดเจน จ่านจือเร็วเข้ารีบติดตามข้าพเจ้ามา”
เยี่ยนผิงวิ่งนำหน้าจ่านจือ ไม่นานนักคนทั้งสองบรรลุถึงเก๋งแปดเหลี่ยมหรือศาลาริมน้ำ ในบึงน้ำยังคงสงบเงียบผิวน้ำราบเรียบ สะท้อนเงาแวววาวราวกระจก คนทั้งสองก้าวเท้าเข้าสู่ศาลาริมน้ำ สายลมพัดเฉื่อยฉิวผิวน้ำยังคงราบเรียบ ลมเย็นเยียบกระทบผิวกายอากาศถ่ายเทสะดวกยิ่ง สบายเช่นนี้นี่เองเอียวอั้งเย๊าะจึงชมชอบหลบเข้ามาหลับนอนราวเป็นบ้านของมันไป
คนทั้งสองทดลองนั่งหันหลังให้กับสระน้ำ ดังนั้นแลเห็นสุสานขนาดใหญ่อยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก คล้ายกับมีขนาดใหญ่กว่าสุสานอื่น ๆ อีกหลายหลัง เยี่ยนผิงกระโดดปราดขึ้น ส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือ พร้อมกับออกวิ่งนำหน้าไปอีกครา
“จ่านจือติดตามข้าพเจ้ามาเร็วเข้า”
จ่านจือมิมัวรีรอชักช้า ก้าวเท้าวิ่งตามติดไปทันที ชั่วครู่บรรลุสู่สุสานหลังหนึ่ง เนื่องจากด้านนอกทรุดโทรม ฝุ่นดินซากใบไม้เถาวัลย์ทับถม เยี่ยนผิงนางส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจืออีกว่า
“จ่านจือ ท่านทดลองโคจรพลังฝ่ามือ ใช้เคล็ดวิชาดาวดึงส์เคลื่อนย้ายซากใบไม้ฝุ่นดินเหล่านี้ออกดู หากข้าพเจ้าคาดเดามิผิดใต้พื้นดินนี้ จะต้องมีแผ่นศิลาสลักอักษร บอกความเป็นมาของสุสานเบื้องหน้าพวกเราอย่างแน่นอน”
จ่านจือมิมัวรีรอชักช้า โคจรลมปราณผ่านฝ่ามือใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาดาวดึงส์ในท่าที่แปดนามว่า “ดาวล้อมเดือนเคลื่อนฟ้าย้ายดิน” ในคลื่นปราณไร้สภาพบังเกิดเสียงดังครืน ๆ ฝุ่นดินเศษไม้ใบหญ้าซากเถาวัลย์พลันปลิวว่อนกระจัดกระจาย ชั่วครู่ให้หลังลึกลงไปมองเห็นแผ่นศิลาขนาดใหญ่ เยี่ยนผิงส่งเสียงด้วยความยินดีว่า
“สุสานตระกูลหวัง บนแผ่นหินข้าพเจ้าอ่านได้ว่าสุสานตระกูลหวัง”
จ่านจือรู้สึกยินดียิ่งเช่นกัน ได้ยินเยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวอีกว่า
“หากพวกเราหันหลังให้กับสุสานตระกูลหวัง ขวามือคือทิศอุดร ซ้ายมือเป็นทักษิณ ด้านหน้าคือประจิม ด้านหลังตำแหน่งสุสานตระกูลหวังเป็นบูรพา หรดีหรือตะวันตกเฉียงใต้ จ่านจือเช่นนั้นคือศาลาแปดเหลี่ยมหลังนั้นนั่นเอง”
คนทั้งสองมิรอช้า พากันวิ่งกลับไปยังศาลาริมน้ำอีกครั้ง เมื่อมายืนอยู่ภายในเก๋งแปดเหลี่ยมกลับไม่เข้าใจ ทิศตกวันตกเฉียงใต้เป็นที่นี่ชัด ๆ ถัดจากเก๋งแปดเหลี่ยมย่อมเป็นสระน้ำแล้ว เช่นนั้นสุสานตระกูลจ้าวหายไปที่ใด เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวว่า
“ไฉนจึงไม่มีสุสานตระกูลจ้าว บนแผ่นหนังสลักไว้ชัดเจน ทิศตะวันตกเฉียงใต้จากสุสานตระกูลหวังย่อมเป็นทิศนี้ แต่สำรวจถ้วนถี่ดีแล้วกลับมีเพียงเก๋งแปดเหลี่ยมกับสระน้ำเท่านั้นเอง”
คนทั้งสองทอดถอนใจคล้ายดั่งผิดหวัง หรือว่าสุสานตระกูลจ้าวบนแผ่นหนังไม่มีอยู่จริง เหลือเวลาอีกไม่กี่วันจะถึงวันชุมนุมที่วัดเส้าหลินแล้ว เมื่อค้นหาไม่พบสิ่งใด จึงตัดสินใจชักชวนกันเดินทางไปยังคอกปศุสัตว์ป้อมอาชามังกรเขียว ก่อนจะก้าวเท้าออกจากเก่งแปดเหลี่ยม ไหน ๆ ได้เดินทางมาถึงแล้ว สมควรก้มกราบสักการะ แสดงความเคารพต่อวิญญาณบรรพบุรุษสักครั้งหนึ่ง
เมื่อคิดได้เช่นนั้นชักชวนเยี่ยนผิงหันหน้าสู่สระน้ำทิศตะวันตกเฉียงใต้ คุกเข่าอยู่กลางศาลาแปดเหลี่ยมเคียงคู่กัน ก้มลงกราบสามครั้งศีรษะโขกพื้นเสียงดังตัง ๆ พอครบสามครั้งพลันบังเกิดเสียงครืดครืด พื้นศาลาเคลื่อนเลื่อนเปิดออกช้า ๆ มองลงไปเบื้องล่างเป็นบันไดศิลาทอดเฉียงมุดลงไปใต้สระน้ำ คนทั้งสองแปลกประหลาดใจยิ่ง จ่านจือส่งเสียงกล่าวกับเยี่ยนผิงว่า
“เยี่ยนผิง มีบันไดศิลาทอดลงสู่ใต้สระน้ำ พวกเราทดลองลงไปสำรวจตรวจสอบดูสักครา”
จ่านจือก้าวเท้านำหน้าลงไป ล้วงชุดไฟจุดส่องให้แสงสว่างนำทาง พอเยี่ยนผิงก้าวเท้าติดตามลงมา พื้นศาลาแปดเหลี่ยมเลื่อนเสียงดังครืดครืด เคลื่อนปิดลงเช่นเดิม
คนทั้งสองค่อย ๆ เดินลงบันไดศิลาด้วยความระมัดระวังยิ่ง บันไดศิลานอกจากทอดต่ำลงมาแถมยังคดเคี้ยว จากนั้นเป็นทางเดินพื้นหินหยาบ ถัดมาเป็นบันไดศิลาทอดต่ำลงไปเบื้องล่างอีกทอดหนึ่ง คนทั้งสองเดินลงบันไดศิลากระทั่งสิ้นสุดบันไดขั้นสุดท้าย เห็นเป็นพื้นหินราบเรียบที่หนึ่ง
จ่านจือส่องชุดคบไฟสาดแสงส่องสว่าง รอบทิศทางเห็นเพียงผนังหินศิลาสีดำสนิท นอกจากนั้นมองมิเห็นสิ่งใด จ่านจือพลันบังเกิดปฏิภาณวูบขึ้น เป่าลมหายใจดับชุดคบไฟในมือ ทั้งบริเวณมืดมิดสนิททั่วมองมิเห็นสิ่งใด เขาล้วงหยกเหินลมออกมาจากคอ แสงหยกสีเขียวส่องแสงราวมรกตในความมืดมิด ทันใดนั้นเองผนังศิลาห่างไปสิบกว่าวา ปรากฏแสงสีเขียวชนิดเดียวกันสว่างวูบวาบ
คนทั้งสองรู้สึกยินดียิ่ง พากันก้าวเท้าใช้มือคลำผนังวิ่งตรงไปไม่รอช้า เมื่อบรรลุถึงแสงสว่างเรื่อซึ่งส่องออกมา จากสัญลักษณ์หยกเหินลมบนผนังศิลา จ่านจือส่งเสียงกล่าววาจากับเยี่ยนผิงว่า
“เยี่ยนผิง ท่านดูบนผนังศิลานี้ เป็นแบบเดียวกันกับผนังศิลาในสุสานหลวงใต้แม่น้ำสองสีไม่มีผิด ข้าพเจ้าจะลองนำหยกเหินลมประทับวางลงไปดู”
เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าววาจาสนับสนุนดังว่า
“จ่านจือเร็วเข้า ท่านค่อยๆ บรรจงนำหยกเหินลมวางประทับลงไปช้า ๆ ระมัดระวังด้วย”
จ่านจือค่อย ๆ นำหยกเหินลมสองชิ้นประกบเข้าด้วยกัน ประทับวางลงไปในร่องสัญลักษณ์บนผนังศิลา พอกดหยกเหินลมลงไปกระทั่งสนิทดี พลันในความมืดมิด กลับสว่างจ้าขึ้นมาราวกับกลางวัน บนมุมผนังศิลาหลายที่ คบตะเกียงน้ำมันจุดไฟติดขึ้นมาเองแทบมิน่าเชื่อ นี่คงเป็นกลไกไฟตะเกียงที่มิมีวันดับ
ถัดไปคล้ายมีรูกุญแจอยู่ในผนังศิลา จ่านจือยินดียิ่งล้วงลูกกุญแจเสียบเข้าไปบิดไขเบา ๆ ผลักคราหนึ่ง แผ่นศิลาเลื่อนขึ้นไปบานหนึ่ง ถัดจากศิลาบานนั้นยังมีบานศิลาแน่นหนาอีกชั้นหนึ่ง ริมขอบศิลามีช่องสลักฝังไว้แยบคายยิ่ง จ่านจือเอื้อมมือกดลงไปในช่องที่ว่าง เสียงครืดครืดดังขึ้นอีกคราหนึ่ง ประตูศิลาเลื่อนเปิดออกช้า ๆ แต่ทว่ายังมีทางลาดเอียงลงไปอีกทอดหนึ่ง เมื่อสิ้นสุดทางลาดเป็นทางราบปูหินอ่อน เดินต่ออีกราวสิบวาพบประตูศิลาขนาดใหญ่บานหนึ่ง แกะสลักลวดลายร้อยบุปผาเรียงราย เหนือบานประตูศิลาสลักอักษรคำว่า “จ้าว” เอาไว้ชัดเจน
ประตูศิลาขนาดใหญ่แน่นหนาปิดตาย จ่านจือพร้อมด้วยเยี่ยนผิงสำรวจหาช่องกลไก สำหรับใช้เปิดประตูศิลาอยู่หลายเที่ยวยังไม่พบ เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวว่า
“หาจนทั่วแล้วไม่พบกลไกอันใด? จะทำเช่นไรต่อไป จ่านจือท่านพอนึกออกหรือไม่?”
จ่านจือทอดถอนใจ ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าคิดมิออกเช่นกัน เป็นไปมิได้ที่ประตูศิลาจะไม่มีกลไกสำหรับใช้เปิดปิด”
กล่าววาจาจบ จ่านจือยกมือขึ้นกอดอก เอนแผ่นหลังพิงบานประตูศิลาอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง ทันใดนั้นบานประตูซึ่งแกะสลักร้อยบุปผาพลันเลื่อนวูบลงสู่เบื้องล่าง บานประตูศิลาอีกบานเลื่อนลงมาแทนที่ เป็นศิลาอักษรคล้ายจิ๊กซอว์เรียงต่อติดกัน คนทั้งสองทราบได้ทันทีนี่เป็นประตูกลไกใช้เปิดสุสานตระกูลจ้าวนั้นเอง
กลไกอักษรบนบานศิลา ไม่ทราบว่ากี่ร้อยกี่พันตัวอักษรลายตายิ่ง ดังนั้นจะต้องไขปริศนาอักษรให้ถูกต้องจึงจะเปิดออกได้ เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าววาจากับจ่านจือว่า
“จ่านจือท่านนึกออกหรือไม่? ใช่อักษรคำว่า ‘จ้าว’ ซึ่งเป็นแซ่ต้นตระกูลบรรพบุรุษของท่านหรือไม่?”
จ่านจือส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าจะทดลองดู”
กล่าววาจาจบ จ่านจือประกบนิ้วชี้กับนิ้วกลาง กดลงไปในกลไกอักษร กระทั่งเกิดเป็นร่องอักษรคำว่า “จ้าว” ดั่งเช่นที่สลักไว้เหนือบานประตูศิลา ทว่าไม่มีปฏิกิริยาใด ไม่มีเสียงมิมีความเคลื่อนไหว ชั่วครู่ให้หลังตัวอักษรที่จมลงไปค่อยเคลื่อนออกมาอยู่ในสภาพเดิม
จ่านจือแสดงสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาและเยี่ยนผิงต่างสลับสับเปลี่ยนกดนิ้วทั้งสองลงไปในกลไกอักษร มิว่าจะเกิดเป็นร่องอักษรคำใดยังไม่ถูกต้อง ทันใดนั้นจ่านจือแสดงสีหน้าอย่างยินดี ส่งเสียงกล่าวดังว่า
“ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว หยกเหินลมของข้าพเจ้าสลักอักษรไว้สองคำ หยกซีกที่ข้าพเจ้าพกพาติดตัวตั้งแต่เล็กสลักอักษรคำว่า ‘จ้าว’ ส่วนอีกซีกหนึ่งจารึกอักษรคำว่า ‘ซิ่ว’ ย่อมไม่ผิดพลาดแน่นอน”
กล่าววาจาจบ จ่านจือประกบสองนิ้วกรีดลงไป เกิดเป็นร่องอักษรคำว่า “ซิ่ว” เสียงครืดครืดดังขึ้นอีกคราบานศิลาซึ่งสลักร้อยบุปผาเลื่อนขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเลื่อนเปิดออกทางด้านข้างขวามืออย่างช้า ๆ เยี่ยนผิงนางปรบมือชื่นชมยินดีส่งเสียงกล่าวว่า
“สำเร็จแล้ว ประตูสุสานตระกูลจ้าวของท่านเปิดออกแล้ว ท่านกับข้าพเจ้าเข้าไปด้านในกันเถิด”
จ่านจือรู้สึกยินดีเช่นกัน พยักหน้ารับทราบก้าวเท้าเข้าไปด้านในสุสาน เยี่ยนผิงก้าวเท้าตามติด ภายในสุสานเป็นห้องศิลาขนาดใหญ่ ทางด้านซ้ายขวาและลึกเข้าไปด้านใน ยังมีประตูทางเข้าไปสู่ห้องศิลาอื่น ๆ อีกด้วย ภายในห้องศิลาขนาดใหญ่ เรียงรายอยู่ด้วยรูปปั้น รูปแกะสลักอันล่ำค่า ทางด้านซ้ายขวามีรูปแกะสลักลักษณะเท่าคนอยู่สองคู่ รูปคนแกะสลักนี้ถึงกับแกะสลักจากหยกสีเขียวสดใส
กึ่งกลางระหว่างรูปคนแกะสลักวางป้ายวิญญาณสลักอักษรอยู่หลายแท่ง พร้อมกับแท่นวางสิ่งของมีค่าเครื่องประดับ นอกจากนั้นยังมีอาวุธมีดดาบชนิดต่าง ๆ โล่กำบัง ชุดเกราะ ชุดหนังที่เก่าคร่ำผ่านการใช้งานมาสมบุกสมบัน ด้านหน้าแท่งป้ายวิญญาณตั้งกระถางธูปอยู่กึ่งกลาง
ในสุสานไม่มีน้ำชา ดังนั้นจ่านจือกับเยี่ยนผิงคุกเข่าลงตรงหน้าป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ จุดธูปกราบไหว้ตั้งจิตอธิษฐาน หลังจากเสร็จสิ้นพากันลุกขึ้นเดินสำรวจ กลับสะดุดตาเข้ากับรูปแกะสลักคนสองคู่ซึ่งเหมือนกัน แตกต่างกันอยู่บ้างที่ชุดแต่งกายเท่านั้นเอง
รูปแกะสลักทางด้านขวามือแต่งชุดเต็มยศสูงศักดิ์ ส่วนรูปแกะสลักทางด้านซ้ายอยู่ในชุดชาวบ้านธรรมดาสามัญ แต่ทั้งซ้ายและขวาเป็นรูปแกะสลักบุรุษสตรีคนเดียวกัน หากจะให้คาดเดารูปแกะบุรุษสมควรเป็นท่านแม่ทัพลวี้ยู่เฉิน ปู่ทวดของจ้าวจ่านจือนั่นเอง ส่วนสตรีผู้นี้กลับคุ้นตายิ่ง คุ้นยิ่งจนต้องหันสบตามองหน้ากัน จานจือล้วงภาพวาดในอกเสื้อออกมาคลี่ออก เทียบใบหน้าสตรีในภาพวาดกับใบหน้าสตรีรูปแกะสลัก คนทั้งสองส่งเสียงโพล่งกล่าวพร้อมเพรียงกันว่า
“สตรีท่านนี้คือพระสนมซิ่วซู่เจิน”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564