ตอนที่ 190
ปิดประตูตายตีแมวเป็น
เบื้องนอกโรงเตี๊ยมอากาศหนาวเหน็บ คล้ายกับมีลูกเห็บหิมะโปรยปราย สายลมพัดหวีดหวิวเย็นยะเยือกสะท้านผิวกาย ภายใต้สภาพอากาศอันเลวร้ายในค่ำคืนนี้ คล้ายยังมีเงาคนเคลื่อนไหวแล้วหายไปทิศทางมุ่งสู่ดอยตะวัน
เงาคนที่เคลื่อนไหวจากไปมีฝีเท้ารวดเร็วยิ่ง มิได้มีผู้เดียวแต่มีถึงสองคน ความจริงสองคนนี้ซุ่มสังเกตการณ์อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่มิได้ปรากฏตัวออกมาให้ผู้คนพบเห็น พอทราบความเคลื่อนไหวแต่ไม่ชัดเจนนัก จึงถอนตัวจากไปมุ่งสู่งานชุมนุมบุปผาดอยตะวัน สองคนที่ว่านี้เป็นสองเฒ่าพิษแห่งสำนักอสรพิษดำ ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินและยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วนั่นเอง
เฒ่าพิษทั้งสองเพียงลอบมาสืบความเคลื่อนไหว เนื่องจากพบเห็นคนแปลกหน้ามากมายเข้าพักแต่ไม่เห็นผู้ใดออกไปโรงเตี๊ยมแม้เพียงผู้เดียว อีกทั้งหลายวันมานี้โรงเตี๊ยมต้าเหอชุนปิดป้ายไว้ว่าถูกเหมาเอาไว้เต็มแล้ว ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในโรงเตี๊ยมเฒ่าพิษทั้งสองจึงไม่อาจสิบทราบได้ ด้วยทั้งสองไม่ต้องการสร้างความยุ่งยากให้ผู้ใดพบเห็นนั่นเอง
ที่กล่าวว่าสืบทราบความเป็นไปไม่ชัดเจนนัก สืบเนื่องจากทุกผู้คนแต่งกายปลอมแปลงโฉมหน้าอีกทั้งปกปิดฐานะมิดชิด สองเฒ่าพิษแม้โชกโชนมากประสบการณ์ แต่เนื่องด้วยไม่สะดวกอีกทั้งต้องรีบเร่งเดินทางไปงานชุมนุมบุปผา เพื่อสืบทราบดูว่าผู้ใดกันแน่ที่จัดงานนี้ขึ้น อีกทั้งฐานะอันแท้จริงของผีเสื้อหยกดำที่ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวกล่าวถึง เฒ่าพิษทั้งสองวิ่งห้อตะบึงมาเป็นระยะทางหลายลี้จึงลดระดับความเร็วฝีเท้าลง ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วส่งเสียงกล่าววาจาด้วยความสงสัยต่อตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินว่า
“ตาเฒ่า เรายังเคลือบแคลงสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง คนชุดดำสวมทับด้วยหมวกเล้ยล้อมผ้าแพรสีดำ มันผู้นี้ที่แท้เป็นยอดฝีมือจากที่ใดกันแน่? ฝีเท้าก้าวย่างวิชาตัวเบากำลังภายในของมันสูงส่งยอดเยี่ยมนัก ชั่วพริบตาเดียวมันก็หายไปจากคลองจักษุของพวกเรา”
ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินกล่าวตอบว่า
“เราเองก็สงสัยเช่นเดียวกันกับท่าน ยายเฒ่าท่านคิดคล้ายเราตาเฒ่าหรือไม่? คนชุดดำลึกลับนั่นเหมือนจะคุ้นหูคุ้นตายิ่ง ลักษณะท่าร่างการเคลื่อนไหว ใช่เป็นบุคคลคุ้นเคยที่พวกเราเคยคลุกคลีด้วยมาก่อนหรือไม่?”
ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วคล้อยตามเห็นด้วยกับตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน รีบส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ตาเฒ่า ถูกต้องของท่าน เราเองก็คิดเห็นเช่นนั้น เพียงแต่ยังขบคิดไม่ออก ว่าเคยคลุกคลีคุ้นเคยกับคนผู้นี้ที่ใด?”
ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน ทอดถอนใจเฮือกหนึ่งกล่าวว่า
“ยายเฒ่า พวกเราพักเรื่องคนชุดดำลึกลับนี้ไว้ก่อน ตอนนี้รีบเร่งเดินทางมุ่งหน้าไปงานชุมนุมบุปผาดอยตะวันกันก่อนเถิด”
ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกล่าวว่า
“เช่นนั้น ท่านกับเราจะมัวชักช้าเสียเวลาอยู่ไย ไปเถิดพวกเรารีบออกเดินทาง”
กล่าวจบ สองเฒ่าพิษเพิ่มระดับความเร็วเร่งฝีเท้ากระทั่งร่างหายลับไปกับความมืดมิด
บรรยากาศภายนอกออกจะเลวร้าย แต่ทว่าภายในโรงเตี๊ยมกลับไม่เลวร้ายเท่าใดนัก ลมหนาวไม่อาจกรีดผ่านฝาผนังโรงเตี๊ยมเข้ามาได้ ทุกห้องหับดับไฟเป่าเทียนไขหลับนอนหมดสิ้นแล้ว มีเพียงเวรยามของโรงเตี๊ยมต้าเหอชุนซึ่งสลับสับเปลี่ยนเฝ้าระวังเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลง
รุ่งเช้าข้าวต้มร้อนกรุ่นควันตลบอบอวล รวมทั้งกับข้าวพร้อมสรรพจัดวางเอาไว้บนโต๊ะ ทุกคนตื่นนอนกันแต่เช้าตรู่ บัดนี้นั่งพร้อมกันอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว ต่างพุ้ยข้าวต้มร้อน ๆ พร้อมกับข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ผ่านไปไม่นานเท่าใดนัก ทุกคนล้วนอิ่มหนำสำราญกระทั่งท้องแทบปริแตกตาย
ตามแผนการเดิมที่ได้วางเอาไว้ เช้านี้ทั้งหมดจะร่วมเดินทางไปยังหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ยอดฝีมือสี่คนของสำนักอสูรโลกันตร์ยังไม่ทราบว่าแผนการเดิมได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว นอกจากพวกมันสี่คนนอกนั้นทุกคนล้วนทราบ เพียงแต่รอให้ขบวนของหัวหน้าตึกทั้งสี่แห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเดินทางมาถึงนั่นเอง
บัดนี้ ยอดฝีมือทั้งสี่ของสำนักอสูรโลกันตร์พวกมันยังมิทราบชะตากรรมอันเลวร้าย มิทราบว่าถูกรายล้อมเอาไว้ด้วยแผนซ้อนแผนอันแยบยล พวกมันยังเข้าใจว่าสี่โสโครกแห่งหันหู่กวนปลอมแปลงเป็นคนของราชสำนักฉางอาน หลังจากรับประทานอาหารอิ่มแล้ว เสิ่นซื่อสูอวี้ส่งเสียงกล่าวถามขึ้นว่า
“มิทราบว่าพวกเราจะออกเดินทางตอนนี้หรือไม่? เดินทางไปหมู่ตึกกระเรียนฟ้าต้องใช้เวลาอย่างน้อยเกือบสองชั่วยาม เรามิต้องการชักช้าเสียเวลาให้เกิดความผิดพลาดตามมา ประเดี๋ยวเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนเล่นงานพวกเราเอาได้”
ยามนั้น สี่โสโครกแห่งหันหู่กวน ซึ่งความจริงเป็นสี่จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ เฟิ่นมู่เหอซึ่งปลอมตัวเป็นพี่ใหญ่ของสี่โสโครกแห่งหันหู่กวนนามเจ๊กอวู้ข่วยส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ท่านเสิ่น ท่านจะรีบร้อนเดินทางทำไมให้เหน็ดเหนื่อย อีกสักครู่หมู่ตึกกระเรียนฟ้าก็ส่งรถม้าเกี้ยวหามมารับพวกเราแล้ว มิสู้เอนกายพักผ่อนให้อาหารย่อย หากไม่เช่นนั้นตอนที่ลงมืออาจจะไม่แคล่วคล่องหนักท้องก็เป็นได้”
สี่ยอดฝีมือของสำนักอสูรโลกันตร์ได้ยินเช่นนั้น พากันสงสัยอดแปลกประหลาดใจมิได้ เล่อต้าเต๋อรีบส่งเสียงกล่าวถามว่า
“เจ๊กอวู้ข่วยท่านว่ากระไร? ไฉนก่อนหน้านี้ พวกท่านทั้งสี่ไม่ได้บอกกล่าวกับพวกเราเช่นนี้ พวกท่านมีสิ่งใดปิดบังอำพรางหรือไม่?”
หนออวู้ข่วยซึ่งปลอมตัวโดยหนานตี้ส่งเสียงหัวร่อ กล่าวตอบออกไปว่า
“พวกเราสี่โสโครกแห่งหันหู่กวนกระทำการเปิดเผย จะให้มีสิ่งใดปิดบังอำพรางพวกท่านได้หรือ?”
เยี่ยเหว่ยกระชากเสียงกล่าวถามขึ้นว่า
“ก่อนหน้านี้ พวกท่านมิได้บอกกับพวกเราเช่นนี้ ยังกล้ากล่าวออกมาว่ามิได้ปิดบังอำพราง หรือว่าพวกท่านกำลังเล่นลวดลายอันใดกันแน่?”
ซื่อเหมี่ยนซึ่งปลอมตัวเป็นซาอวู้ข่วยกล่าวตอบว่า
“หรือว่าพวกท่านไม่เชื่อถือพวกเราสี่โสโครกแห่งหันหู่กวน เมื่อสักครู่พี่รองของเราก็ได้กล่าวไปแล้ว พวกเรากระทำการเปิดเผยมิมีพฤติกรรมต่ำช้าเลวทรามดั่งพวกท่าน สำนักอสูรโลกันตร์โหดเหี้ยมอำมหิต สำนักมารสวรรค์ก็เฉกเช่นเดียวกัน ทั้งสองสำนักนี้ล้วนชั่วช้า หรือว่าพวกท่านยังกล้าอ้าปากกล่าวคำปฏิเสธได้?”
ยอดฝีมือทั้งสี่ของสำนักอสูรโลกันตร์พากันกระโดดปราดขึ้นโดยพร้อมเพรียง อาวุธในมือกระชับเตรียมพร้อม จางจิ้งส่งเสียงตวาดถามว่า
“พวกท่านทั้งสี่คนมิใช่สี่โสโครกแห่งหันหู่กวน ที่แท้พวกท่านเป็นใครกันแน่? แล้วพวกมันสี่โสโครกแห่งหันหู่กวนอยู่ที่ใด?”
ลำดับสี่แห่งหันหู่กวนสี่อวู้ข่วยซึ่งปลอมตัวโดยกุ้ยโส่ว ส่งเสียงหัวร่อร่วนกล่าวตอบว่า
“พวกมันสี่คนนอนพักผ่อนยังไม่ตื่น ไม่แน่นักพวกมันอาจจะไม่ตื่นอีก เราบอกกล่าวให้ก็ได้ พวกมันสี่คนนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังโรงเตี๊ยม ไม่เพียงแต่พวกมันสี่คน ต้องกล่าวว่าพวกมันทั้งหมดทุกคนล้วนนอนเฝ้ารากไม้อยู่ใต้ดินด้านหลังโรงเตี๊ยมนี่เอง”
เล่อต้าเต๋อโกรธเกรี้ยวขบกรามกัดฟันกรอด ส่งเสียงอันดังตวาดลั่นถามว่า
“พวกท่านเป็นคนลงมือเข่นฆ่าพวกมันทั้งหมด สี่โสโครกแห่งหันหู่กวนมีฝีมือร้ายกาจสูงส่งยากตอแย อาศัยพวกท่านเอากระไรไปจัดการพวกมันได้ หากพวกท่านมิใช่ชนชั้นยอดฝีมือยุทธจักร รีบเปิดเผยฐานะอันแท้จริงของพวกท่านออกมา ดูสิว่าจะมีปัญญาหลบหนีไปได้จากเงื้อมมือของพวกเราสี่คนได้หรือไม่?”
ทันใดนั้น ประตูโรงเตี๊ยมเปิดออก มองออกไปเห็นคนราวสิบกว่าคนยืนอยู่ เป็นหัวหน้าตึกทั้งสี่แห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้าและผู้ติดตาม หัวหน้าตึกทั้งสี่ประกอบด้วย หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย หัวหน้าตึกเมฆาฉีฝ่าน หัวหน้าตึกอินทรีต้าถง สุดท้ายหัวหน้าตึกคชสีห์คนใหม่ลวี่เชียงชิ่ว หัวหน้าตึกทั้งสี่ก้าวเท้าเข้ามาภายในโรงเตี้ยม จากนั้นหัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ยหันไปส่งเสียงสั่งกำชับคนด้านนอกว่า
“พวกเจ้าแยกย้ายแบ่งกำลังเฝ้าระวังโดยรอบโรงเตี๊ยม ผู้ใดเล็ดลอดออกไปจากด้านในลงมือเข่นฆ่าได้ทันที”
หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ยกล่าววาจาจบ ส่งสัญญาณให้คนด้านนอกปิดประตูโรงเตี๊ยม นี่จึงเรียกว่าปิดประตูตีแมวที่แท้จริง แมวที่ว่านี้มีถึงสี่ตัวด้วยกันอีกทั้งยังเป็นแมวที่ดุร้ายยิ่ง ยิ่งดุร้ายเท่าใดยิ่งต้องตีให้ตาย
หัวหน้าตึกทั้งสี่คนแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า พากันประสานมือทักทายไปโดยรอบ หัวหน้าตึกอินทรีต้าถงส่งเสียงกล่าววาจาดังว่า
“ข้าพเจ้าหัวหน้าตึกอินทรีนามต้าถงขอคารวะทุกท่านในที่นี้ รวมทั้งสี่ยอดฝีมือของสำนักอสูรโลกันตร์ด้วย มิทราบว่าพวกเราสี่คนเดินทางมาล่าช้าเกินไปหรือไม่?”
ยามนั้น เถ้าแก่โรงเตี๊ยมนามเตาเทียนเต็กรีบวิ่งออกมารับหน้า ประสานมือคราหนึ่งส่งเสียงกล่าวตอบออกไปว่า
“พวกท่านทั้งสี่มาได้จังหวะเหมาะเจาะยิ่ง ไม่เร็วเกินไปและไม่ช้าเกินไป เพียงแต่ยอดฝีมือทั้งสี่ของสำนักอสูรโลกันตร์ใจร้อน พวกมันต้องการไปพบพวกท่านทั้งสี่ที่หมู่ตึกกระเรียนฟ้าแทบตายแล้ว”
หัวหน้าตึกทั้งสี่แห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า พากันจ้องมองสี่ยอดฝีมือของสำนักอสูรโลกันตร์แสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจ หัวหน้าตึกเมฆาฉีฝ่านส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“พวกเราทั้งสี่คนแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ต้องขอขมาต่อพวกท่านทั้งสี่ซึ่งเป็นยอดฝีมือของสำนักอสูรโลกันตร์อย่างยิ่ง พวกเราคล้ายทราบว่าพวกท่านใจร้อนต้องการพบพาน ดังนั้นจึงพากันเร่งรุดเดินทางมาหาพวกท่านยังที่นี่”
แผนการอันลับสุดยอดสำหรับยึดครองหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ทว่าสี่โสโครกแห่งหันหู่กวนและพรรคพวกถูกกำจัด อีกทั้งคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเดินทางมากะทันหันปานนี้ เห็นทีต้องมีหนอนบ่อนไส้คล้ายเกลือเป็นหนอน หากพวกมันทั้งสี่ทราบว่าแท้จริงสิ่งที่พวกมันทำผิดพลาดมิใช่ความลับรั่วไหลจากไส้ศึกแต่อย่างใด แต่เป็นพวกมันทั้งสี่ปากพล่อยปล่อยเรื่องนี้เข้าหูสี่จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ พวกมันคงต้องพากันกลั้นใจกัดลิ้นตัวเองตายในบัดดล
ยามนั้น หัวหน้าตึกทั้งสี่แห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า พากันหันมาทางด้านสี่จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ หัวหน้าตึกคชสีห์ลวี่เชียงชิ่วส่งเสียงกล่าวทักทายว่า
“สหายน้อยสี่ท่านนี้ เราลวี่เชียงชิ่วแม้จะเพิ่งมารับหน้าที่หัวหน้าตึกคชสีห์ แต่ได้ยินวีรกรรมชื่อเสียงของสหายทั้งสี่มาบ้าง ดังนั้นหากจะเรียกหาสหายทั้งสี่เป็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์แห่งยุคคงมิผิดพลาดเกินไปนัก หากคราครั้งนี้มิได้จอมยุทธ์รุ่นเยาว์อย่างสหายทั้งสี่มีน้ำใจช่วยเหลือ หมู่ตึกกระเรียนฟ้าคงถึงเวลาอัปยศจบสิ้นแล้ว”
สี่ยอดฝีมือของสำนักอสูรโลกันตร์ พวกมันพอได้ยินเช่นนั้นหันขวับมาทางด้านสี่จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ พากันตวาดลั่นพร้อมเพรียงกันว่า
“ที่แท้เป็นพวกเจ้า!”
จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งสี่ดึงหนวดเคราคิ้วยาวบนใบหน้าออก ลอกหน้ากากยางไม้ที่ใช้ปลอมแปลงโฉม ประสานมือพร้อมเพรียงเช่นกัน แล้วส่งเสียงกล่าววาจารับคำพร้อมกันว่า
“ถูกต้อง เป็นพวกเรา”
เฟิ่นมู่เหอส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“ความจริงพวกเราเดินทางมารอคอยพวกท่านทั้งสี่คนอยู่หลายวันแล้ว ดังนั้นจึงเก็บกวาดทำความสะอาดโรงเตี๊ยมแห่งนี้ต้อนรับพวกท่าน ดังนั้นขยะโสโครกทั้งหลายกลายเป็นอาหารต้นไม้ไป อีกทั้งเรายังชำนาญเรื่องอาวุธลับค่ายกล เวลาที่รอคอยพวกท่านว่าง ๆ จึงติดตั้งเครื่องยิงเกาทัณฑ์อาวุธลับ ต่อให้พวกท่านมีสามเศียรหกกร อีกทั้งมีปีกงอกเงยออกมาก็ไม่อาจเล็ดลอดออกไปโดยมีลมหายใจแน่นอน”
เสิ่นซื่อสูอวี้ยกอาวุธคู่กายเป็นดาบสันหนาเจาะร้อยห่วงเก้าห่วงนามเก้าห่วงทะลวงใจชี้มาทางด้านจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ ตวาดเกรี้ยวกราดลั่นว่า
“ชั่วช้า ทารกไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ถึงกับกล้ากล่าววาจาข่มขู่เรา วันนี้โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นที่ฝังสังขารของพวกเจ้า”
เล่อต้าเต๋อยกค้อนเหล็กหนักพันชั่งนามพันชั่งอสูรคลั่งขึ้น ส่งเสียงคำรามแล้วกล่าววาจาต่อทันทีว่า
“บังอาจ เด็กเมื่อวานซืนกล้ายกหางตนเองให้ผู้คนเรียกหาเป็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์แห่งยุค วันนี้เราจะดูว่าพวกเจ้าจะมีความสามารถใด? หนีพ้นจากค้อนเหล็กนี้ของเราไปได้จากที่นี่”
ทางด้านเยี่ยเหว่ยกับจางจิ้ง สองมือดีข้างกายมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง พากันชักกระบี่ตระเตรียมพร้อม พวกมันทั้งสองเคยสูญเสียดวงตาข้างขวาให้กับจอมยุทธ์รุ่นเยาว์พรรคไผ่หลิว ดังนั้นจึงขาดความมั่นใจไปส่วนหนึ่ง แต่ทว่าจะสังหารพวกมันได้ภายในร้อยกระบวนท่าก็ใช่ว่าจะกระทำได้ง่ายดาย
จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งสี่กระโดดปราดออกมา ชักกระบี่ออกจากฝักส่องประกายวาววับ หนานตี้หันมากล่าววาจากับหัวหน้าตึกทั้งสี่และคนของโรงเตี๊ยมต้าเหอชุนว่า
“พวกท่านทั้งหลายถอยไปยืนชมดูอยู่ทางฟากนั้นก่อน วันนี้พวกเราทั้งสี่จะขอคิดบัญชีกับคนชั่วช้านี้เอง หากทว่าพวกเราไร้ความสามารถทำอับอายขายหน้าพวกท่าน เวลานั้นพวกท่านทั้งหลายค่อยลงมือต่อพวกมันทั้งสี่คนโดยพร้อมเพรียงกัน”
ยามนั้น เฟิ่นมู่เหอชักนำกระบี่พุ่งเข้าหาเสิ่นซื่อสูอวี้ ใช้ออกด้วยวิชากระบี่วายุกรีดนภาติดต่อกันในคราวเดียวหกกระบี่ สภาวะกระบี่ครอบคลุมหนุนเนื่องดั่งร่างแห เสิ่นซื่อสูอวี้เค้นเสียงร้องคำรามคำหนึ่ง สะบัดดาบสันหนาเก้าห่วงออกติดต่อกันหกดาบติดต่อกัน เสียงติง ๆ ตัง ๆ ดังสดใส ในเสียงติงตังดาบสันหนาเก้าห่วงส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง พอสลายกระบวนท่ากระบี่ที่หกแล้ว สภาวะกระบี่ของเฟิ่นมู่เหอยังไม่สิ้นสุด ใช้ออกติดต่อตามมาอีกสิบเอ็ดกระบี่
เสิ่นซื่อสูอวี้สะกิดปลายเท้าลอยตัวขึ้นบนโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง เฟิ่นมู่เหอพุ่งกระบี่ตามติดชิงเป็นฝ่ายรุกบังคับฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายรับ ยอดฝีมือจากอูเยี่ยว์ส่งเสียงร้องกึกก้องว่า
“เป็นกระบวนท่าวิชากระบี่ที่ดี นี่เพียงไม่กี่ปีเจ้ากลับมีฝีมือกล้าแข็งรุดหน้าปานนี้ เห็นทีเราคงประมาทประเมินฝีมือเจ้าต่ำทรามไป”
กระบี่ที่สิบเอ็ดของเฟิ่นมู่เหอ พลิกแพลงสำแดงท่าร่างพิสดารผสานวิชาลมบูรพา คมกระบี่นี้ถึงกับตวัดตัดมวยผมบนศีรษะของเสิ่นซื่อสูอวี้ขาดไป หากกระบี่นี้ต่ำลงมาอีกสองคืบ คมกระบี่ที่ตัดไปเมื่อครู่คงมิใช่มวยผมแต่เป็นลำคอของมันแล้ว
เสิ่นซื่อสูอวี้ บัดนี้เส้นผมขาวโพลนบนศีรษะมันสยายยุ่งเหยิง สีหน้าของมันบิดเบี้ยวโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด บังคับดาบสันหนาเป็นฝ่ายรุกตีโต้กลับโดยสุดกำลัง เมื่อทั้งสองทะยานลงจากโต๊ะไม้แล้ว ดาบสันหนาที่ติดตามเฟิ่นมู่เหอมาอย่างน่ากลัว เฟิ่นมู่เหอมีฝีมือรุดหน้าจริง ๆ มองเห็นช่องว่างระหว่างดาบหนา สภาวะดาบกับกระบี่แม้ใช้ออกโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ทว่ากระบี่แคล่วคล่องกว่าดาบ ผนวกกับวิชาวายุกรีดนภามีความรวดเร็วดั่งสายลม ผสมวิชาลมบูรพาที่กราดเกรี้ยวดั่งพายุ ดังนั้นปลายกระบี่จึงชิงบรรลุถึงก่อน
ยามนั้น เสียงสวบดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน ปลายกระบี่ในมือของเฟิ่นมู่เหอเสียบทะลุลิ้นปี่ของยอดฝีมือจากอูเยี่ยว์มาโผล่ทางด้านหลัง ในความเจ็บปวดรุนแรงมันยกมือข้างที่ว่างเปล่ากระแทกใส่ไหล่ขวาของเฟิ่นมู่เหอ
เฟิ่นมู่เหอเมื่อลงมือประสบผลจึงไม่ทันระมัดระวังตัว ถูกฝ่ามือของยอดฝีมือผู้นี้กระแทกใส่ แต่ทว่ายังมีสติแจ่มใสรีบเกร็งลมปราณผ่านมายังไหล่ขวาคุ้มครองกายไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ร่างยังลอยถอยหลังตามความรุนแรงของฝ่ามือ พร้อมกับกระบี่ที่ถอนออกจากร่างของเสิ่นซื่อสูอวี้
ยอดฝีมือจากอูเยี่ยว์ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน แต่ยังรวบรวมเรี่ยวแรงพุ่งร่างดั่งเกาทัณฑ์ขึ้นสู่หลังคาโรงเตี๊ยมหลบหนีเอาชีวิตรอด ร่างเมื่อทะลุหลังคาโรงเตี๊ยมออกไป กลไกของกระบอกยิงเกาทัณฑ์อาวุธลับที่ติดตั้งเอาไว้จึงระดมยิงออกถี่ยิบ ร่างของเสิ่นซื่อสูอวี้ร่วงหล่นตกลงมาทะลุหลังคาโรงเตี๊ยมกระแทกโต๊ะไม้ตัวหนึ่งแหลกละเอียด บนร่างพร่างพรุนด้วยลูกเกาทัณฑ์ดั่งเม่นตายตัวหนึ่ง
สามยอดฝีมือที่เหลือเห็นภาพการตายของสหายใกล้ชิด รู้สึกตระหนกตกใจยิ่ง แต่ไม่มีเวลาให้หันมาดูมากนัก เล่อต้าเต๋อพลิกร่างตีลังกากลับหลังรอดพ้นสภาวะกระบี่ของหนานตี้อย่างหวาดเสียว
สำหรับซื่อเหมี่ยน นางกำลังแสดงวิชากระบี่ดรุณีปราบมารไล่ต้อนคนผู้หนึ่งนามจางจิ้ง สภาวะกระบี่เกรี้ยวกราดน่ากลัว ส่วนยอดฝีมืออีกผู้หนึ่งนามเยี่ยเหว่ยอยู่ในสภาพดุจเดียวกัน มันมือไม้ปั่นป่วนวุ่นวายคลี่คลายสภาวะกระบี่พิรุณโปรยปรายของกุ้ยโส่วอย่างลนลาน เมื่อเหลือบแลเห็นการตายของเสิ่นซื่อสูอวี้วูบหนึ่ง สหายที่มีลมหายใจเมื่อครู่ตายอย่างสยดสยอง อดพากันสยิวกายขวัญกระเจิงมิได้เช่นกัน
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564