ตอนที่ 188
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง
แหงนมองท้องฟ้านภากว้าง เมฆน้อยใหญ่ลอยล่องละลิ่ว ทิวไม้ไผ่เขียวแกว่งไกวไหวโยก สายลมในยามนี้บางเบา คละเคล้ากลิ่นหอมจรุงมวลพฤกษาผสมผสานกับกลิ่นดินฝุ่น เบื้องหน้าเป็นทิวป่าซึ่งสามารถตัดทะลุเข้าสู่ตัวเมืองลั่วหยางได้ คนสี่คนของสำนักอสูรโลกันตร์ พวกมันใช้เส้นทางนี้เดินทางเพื่อหลบลี้หนีหน้าผู้คน
ด้านหลังของพวกมันติดตามมาด้วยสองบุรุษกับสตรีอีกสองนาง บุรุษสองคนคือเฟิ่นมู่เหอเจ้าผาแห่งสายลม บุรุษอีกผู้หนึ่งเป็นศิษย์สำนักเมฆฟ้าพิรุณหนานตี้ สตรีผู้หนึ่งคือศิษย์น้องของเขานามกุ้ยโส่ว ส่วนสตรีอีกนางหนึ่งเป็นศิษย์ผู้พี่ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวซื่อเหมี่ยน คนทั้งสี่สะกดรอยติดตามคนของสำนักอสูรโลกันตร์มาโดยที่พวกมันไม่ทันรู้สึกตัว
เส้นทางด้านหน้าเป็นแนวป่าไผ่เขียวขจี มีเนินดินและหินใหญ่วางเกลื่อนกลาดเรียงราย ในดงไผ่มีพื้นราบที่หนึ่ง พวกมันทั้งสี่คนหยุดเท้าเหลียวซ้ายแลขวา ยอดฝีมือจากอูเยี่ยว์นามเสิ่นซื่อสูอวี้ ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“หยุดเท้าพักผ่อนสักครู่เถิด พวกเราทั้งสี่เดินทางมาเป็นระยะทางไกลโข บริเวณนี้มีป่าต้นไม้หนาแน่น เราคิดว่าปลอดภัยไม่มีผู้ใด? ติดตามเข้ามาอย่างแน่นอน”
อีกสามคนพยักหน้าหยุดเท้าแล้วทรุดลงนั่งกับก้อนหินใหญ่ พากันล้วงกระบอกน้ำในห่อผ้าขึ้นมาดื่มกิน เล่อต้าเต๋อยอดฝีมือจากอุยกูร์ ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“พวกเราเดินทางอีกสองวัน หากใช้เส้นทางสายนี้อีกเพียงสองวัน พวกเราก็จะทะลุสู่ตัวเมืองลั่วหยาง”
คนผู้หนึ่งซึ่งปิดผ้าสีดำคาดทับดวงตาข้างขวา มันคือเยี่ยเหว่ย ได้ยินมันส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“พวกเรานัดหมายกับยอดฝีมือจากนอกด่าน ป่านนี้พวกมันคงไปน้อมรอพวกเราที่โรงเตี๊ยมต้าเหอซุนแล้ว ไม่ทราบว่าแผนการต่อจากนี้ยังคงเป็นเช่นเดิมหรือไม่?”
ชายอีกผู้หนึ่งซึ่งดวงตาข้างขวาปิดทับด้วยแถบผ้าดำเช่นกัน มันคือจางจิ้ง ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“แผนการของพวกเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน รวมทั้งนายน้อยเยิ่นหว่อถิง พวกท่านก่อนออกเดินทางไปถล่มวังบุปผา กำชับให้พวกเราดำเนินแผนการอย่าได้ผิดพลาดได้เป็นอันขาด”
จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งสี่ที่แอบซุ่มดูอยู่หลังก้อนหินใหญ่ ได้ยินเช่นนั้นพากันโล่งใจ คำนวณว่าจ่านจือกับเยี่ยนผิงคงเดินทางกลับไปยังวังบุปผาได้ทันเวลาพอดี หากมีจ่านจืออยู่ด้วยย่อมรับมือกับจอมมารทั้งสามได้อย่างแน่นอน ด้วยระดับฝีมือของจ่านจือในเวลานี้ ในยุทธภพคงไม่มีผู้ใด? สามารถเอาชนะเขาได้เด็ดขาด
เมื่อคิดได้เช่นนั้น จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งสี่จึงตั้งอกตั้งใจรอคอยฟังต่อไปว่าพวกมันทั้งสี่คนจะสนทนาเรื่องราวใดต่อไป เสิ่นซื่อสูอวี้ส่งเสียงกล่าววาจาดังว่า
“แผนการของพวกเรา คือปลอมตัวเป็นเสนาบดีแห่งราชสำนักจากเมืองหลวงฉางอาน ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งจากองค์ฮ่องเต้หลี่หยวน ปฐมกษัตริย์ถังเกาจูฮ่องเต้ ให้เดินทางมาประจำการยังเมืองลั่วหยาง จึงมีพระบัญชาให้ยึดหมู่ตึกกระเรียนฟ้ากลับคืนเป็นสมบัติราชสำนัก ดังนั้นเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน จึงแอบติดต่อสมคบคิดกับโอรสสองพระองค์ของถังเกาจูฮ่องเต้ นั่นก็คือโอรสหลี่เจี้ยนเฉิงกับโอรสหลี่หยวนจี๋ คัดเลือกยอดฝีมือจากนอกด่าน ให้ปลอมแปลงตัวเป็นข้าราชสำนักเดินทางไปประจำยังหมู่ตึกกระเรียนฟ้า”
เสิ่นซื่อสูอวี้เมื่อกล่าววาจาจบ เล่อต้าเต๋อจึงส่งเสียงแสดงความคิดเห็นว่า
“เป็นแผนการอันประเสริฐ แผนการนี้เป็นเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ร่วมมือกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ได้จัดเตรียมยอดฝีมือจากนอกด่านเอาไว้ให้กับพวกเราเรียบร้อยแล้ว หากยึดหมู่ตึกกระเรียนฟ้ามาได้แล้ว หลังจากนี้นายน้อยเยิ่นหว่อถิง รับหน้าที่ส่งคนเข้าไปปะปนอยู่ภายในราชสำนักฉางอาน โอรสทั้งสามของถังเกาจูฮ่องเต้ในเวลานี้ต่างแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีของพวกเราที่จะส่งคนเข้าไป แผนการของพวกเราคือยึดครองยุทธภพ แผนการนี้มิใช่ว่าจะเป็นไปมิได้”
จางจิ้ง มันส่งเสียงกล่าววาจาบ้างว่า
“เหลือเวลาอีกเพียงสิบวัน อดีตเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินท่านจะออกมาจากการกักตัวแล้ว คาดว่าพลังฝีมือของท่านต้าทงไต้ซือคงต้องรุดหน้ามหาศาล เท่าที่พวกเราทราบไต้ซือท่านนี้เป็นอาจารย์ของหลวงจีนถูฝู ดังนั้นในวันที่ท่านออกมาจากการเก็บตัว นายน้อยเยิ่นหว่อถิงจึงได้ร่วมมือกับหลวงจีนผู้นี้กำจัดเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อหรือเทียนเกาไต้ซือ เพื่อคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสให้กับท่านต้าทงไต้ซือ เหตุผลอีกประการที่ต้องการกำจัดเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อ นั่นคือเพื่อปกปิดเรื่องราวความชั่วช้าของตนเองเอาไว้นั่นเอง”
จากนั้น เยี่ยเหว่ยส่งเสียงกล่าวถามไถ่ดังว่า
“มิทราบว่าแผนการหลังจากนี้เป็นเช่นไร?”
เสิ่นซื่อสูอวี้ ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“แผนการหลังจากนี้ มีหมากตัวหนึ่งอยู่ในอุ้งมือของฝ่ายเรา นายน้อยเยิ่นหว่อถิงสายตาปราดเปรียวสมองเฉลียวฉลาด ดังนั้นจึงคิดใช้เรื่องราวซึ่งถู่ฝูได้กระทำเอาไว้ ใช้เรื่องราวเหล่านี้ข่มขู่ควบคุมมัน หากไม่เช่นนั้นแล้วเรื่องราวความชั่วช้าของมัน พลันถึงหูของอาจารย์มันอย่างแน่นอน”
เล่อต้าเต๋อส่งเสียงร้องอ้อ กล่าวว่า
“นายน้อยมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง มีแผนการรองรับเอาไว้หมดแล้ว ในวันนั้นคิดว่าจะต้องมีการคัดเลือกประมุขยุทธภพอีกครั้งอย่างแน่นอน แม้นจะยังไม่เป็นทางการแต่ถึงเช่นไรยุทธภพจะต้องมีผู้นำ คนรุ่นหลังอย่างพวกเราสมควรวางมือปล่อยวาง คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง มิน่าเล่า? ท่านเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ทั้งสองจึงได้ทุ่มเทถ่ายทอดสุดยอดวิชาให้กับนายน้อย ที่แท้พวกท่านต้องการให้นายน้อยครอบครองประมุขยุทธภพนั่นเอง”
ยามนั้น จางจิ้งส่งเสียงกล่าววาจา แสดงความคิดเห็นออกมาอีกว่า
“ในเวลานี้ บรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ มาตรว่าจะมีอยู่หลายคนหลายสำนัก แต่ทว่าจ้าวจ่านจือมันก็ได้ตายไปแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่แม้จะมีฝีมือก้าวหน้ารวดเร็ว แต่หากเทียบกับนายน้อยเยิ่นหว่อถิง พวกมันเหล่านั้นยังห่างชั้นกันอยู่มาก”
เมื่อได้ยินจางจิ้งกล่าวเช่นนั้น อีกสามคนที่เหลือต่างพยักหน้าเห็นด้วย เสิ่นซื่อสูอวี้ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ดังนั้น แผนการยึดครองหมู่ตึกกระเรียนฟ้ามาเป็นของฝ่ายเรา จุดประสงค์เพื่อดึงคนของราชสำนักมาช่วยสนับสนุน ป่านนี้ยอดฝีมือเหล่านั้นจากนอกด่าน คงเดินทางถึงโรงเตี๊ยมต้าเหอชุนในตัวเมืองลั่วหยางกันแล้ว”
เล่อต้าเต๋อ ส่งเสียงเห็นด้วยกล่าวว่า
“เช่นนั้น พวกเราพักผ่อนอีกสักหนึ่งชั่วยาม แล้วรีบเดินทางไปสมทบกับพวกมัน”
เรื่องราวที่พวกมันทั้งสี่คนสนทนากัน จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ซึ่งแอบซุ่มอยู่หลังก้อนหินใหญ่ได้ยินจนหมดสิ้น พอทราบว่าพวกมันจะพักผ่อนกันอีกหนึ่งชั่วยาม ดังนั้นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งสี่จึงเร่งรุดเดินทางล่วงหน้ามาก่อน ใช้เวลาเดินทางโดยมิได้หยุดพัก เพียงหนึ่งวันคนทั้งสี่จึงบรรลุถึงตัวเมืองลั่วหยาง เฟิ่นมู่เหอส่งเสียงกล่าววาจาขึ้นว่า
“แผนการของพวกมัน พวกเราล้วนทราบมาจนหมดสิ้น เช่นนั้นอย่าได้ชักช้าพวกเรามาหารือกันว่าจะกระทำเช่นไรกันดีหรือไม่?”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย กุ้ยโส่วส่งเสียงกล่าววาจาแสดงความคิดเห็นว่า
“ในเมื่อพวกเราทราบว่าพวกมันมีแผนการชั่วเช่นไร? เช่นนั้นข้าพเจ้าคิดว่าพวกเราสมควรซ้อนแผนตลบหลังจัดการพวกมันดีหรือไม่?”
ได้ยินเช่นนั้น ซื่อเหมี่ยนส่งเสียงกล่าววาจาถามขึ้นทันทีว่า
“แม่นางกุ้ยโส่ว เจ้ากล่าววาจาออกมาเช่นนี้ แสดงว่าในใจมีแผนการที่กำหนดเอาไว้แล้วถูกต้องหรือไม่?”
หนานตี้ รีบแสดงความคิดเห็นสนับสนุนคำพูดของซื่อเหมี่ยนว่า
“เราเองก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับแม่นางซื่อเหมี่ยน ศิษย์น้องเจ้ามีแผนการใด? รีบบ่งบอกออกมาให้กับพวกเราทราบ”
กุ้ยโส่ว นางแย้มยิ้มอย่างมีแผนการ ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“พวกเราแบ่งกำลังออกเป็นสองฝ่าย ข้าพเจ้ากับพี่มู่เหอจะปะปนอยู่ภายในเมืองลั่วหยาง เพื่อคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกมันที่โรงเตี๊ยมต้าเหอชุน ส่วนศิษย์พี่กับพี่ซื่อเหมี่ยน พวกท่านทั้งสองรีบเดินทางไปยังหมู่ตึกกระเรียนฟ้า บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้กับหัวหน้าหมู่ตึกทั้งสี่ได้รับทราบ”
เฟิ่นมู่เหอพอฟังวาจาของกุ้ยโส่ว จึงพอคาดเดาได้ว่านางมีแผนการเช่นไร ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“จากนั้น ให้หัวหน้าหมู่ตึกทั้งสี่จัดขบวนกำลังคนรีบเดินทางมายังเมืองลั่วหยาง จัดริ้วขบวนให้ยิ่งใหญ่ทำทีเป็นเดินทางมาต้อนรับมหาเสนาบดีแห่งราชสำนัก เดินทางมาเพื่อเชิญมันกับคณะเดินทางไปหมู่ตึกกระเรียนฟ้าอย่างเอิกเกริก ส่วนท่านหนานตี้กับแม่นางซื่อเหมี่ยน แบ่งคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าอีกส่วนหนึ่ง ปลอมแปลงตัวว่าเป็นคนของราชสำนักฉางอาน ภายใต้ธงทิวของราชโอรสหลี่ซื่อหมิน เปิดโปงฐานะของพวกมัน จากนั้นคงต้องลงมือกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก มิเช่นนั้นพวกมันจะไปก่อเรื่องราวชั่วช้าสามานย์ไม่จบสิ้น”
ซื่อเหมี่ยน แสดงสีหน้ากระตือรือร้นเห็นด้วยกับความคิดนี้ ส่งเสียงกล่าววาจาแสดงความคิดเห็นว่า
“หลังจากร่วมมือกันกำจัดพวกมันแล้ว พวกเราทั้งสี่รวมทั้งหัวหน้าตึกทั้งสี่ ค่อยร่วมเดินทางไปวัดเส้าหลินพร้อมกันถูกต้องหรือไม่?”
กุ้ยโส่ว นางส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ถูกต้อง พวกเราจะไปสมทบกับจ่านจือและแม่นางเยี่ยนผิง รวมทั้งพี่น้องสหายของพวกเรา ที่เดินทางไปช่วยเหลือหลวงจีนเส้าหลินเหล่านั้น พวกเราอย่ามัวชักช้าเสียเวลา แยกย้ายกันทำงานตามแผนการที่วางไว้ คาดว่าป่านนี้จ่านจือกับแม่นางเยี่ยนผิง พวกเขาคงกำลังเดินทางไปงานชุมนุมบุปผาที่ดอยตะวันเช่นกัน”
คนทั้งสี่ หลังจากรับประทานบะหมี่กันคนละสองชาม ทบทวนแผนการกันจนเข้าใจแล้ว จึงพากันแยกย้ายทันที หนานตี้พร้อมด้วยซื่อเหมี่ยนเดินทางมุ่งหน้าสู่ทิศใต้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า
สำหรับเฟิ่นมู่เหอกับกุ้ยโส่ว คนทั้งสองเข้าไปในร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง หลังจากเลือกเสื้อผ้าสำหรับปลอมแปลงตัวแล้ว คนทั้งสองจึงเข้าไปอีกร้านหนึ่งซึ่งขายเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด เฟิ่นมู่เหอเลือกปี่แป้มาคันหนึ่ง(พิณจีน)
ในตรอกแคบยังคงพลุกพล่านด้วยผู้คน โรงเตี๊ยมต้าเหอชุนซึ่งตั้งอยู่ในตรอกแห่งนี้กลับไม่คึกคัก เนื่องด้วยตอนสายของวันนี้ ได้มีขบวนคนกลุ่มใหญ่เข้ามาจับจอง คนกลุ่มนี้มีมากราวยี่สิบกว่าคน ทุกคนล้วนมือเติบจ่ายเงินก้อนโต เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงยิ้มแก้มปริ ยินยอมปิดโรงเตี๊ยมจัดเตรียมห้องพัก จัดหาอาหารสุราอย่างดีมาคอยต้อนรับ เมื่อทราบว่าพวกมันเหล่านี้เป็นคนของราชสำนักฉางอาน
ในจำนวนคนราวยี่สิบกว่าคน มีอยู่ห้าคนแต่งกายด้วยชุดหรูหราดูออกว่ามีศักดิ์ตำแหน่งอันสูงส่ง และยังมองออกได้ว่า คนทั้งห้ายังมีพลังฝีมือไม่ธรรมดา พวกมันรับประทานอาหารมูมมามเสียงดัง ดื่มกินสุราราวกับน้ำเปล่า คนผู้หนึ่งในจำนวนห้าคนส่งเสียงกล่าววาจากับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมว่า
“เถ้าแก่ มิทราบว่าโรงเตี๊ยมของท่านคล้ายมีชื่อเสียงที่หนึ่งในเมืองลั่วหยาง แต่เหมือนกับยังขาดสีสันไปบ้าง หากมีนักดนตรีนางระบำมาบรรเลงเพลงฟ้อนรำให้กับแขกได้เพลิดเพลิน โรงเตี๊ยมของท่านคงขี้คร้านจะต้อนรับแขกไม่ทันเลยทีเดียว”
ทันใดนั้น เบื้องนอกด้านหน้าโรงเตี้ยม แว่วได้ยินเสียงปี้แป้บรรเลงบทเพลงอันไพเราะ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหันมาส่งเสียงกล่าวกับเสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งว่า
“เจ้ารีบออกไปดูด้านหน้า ว่ามีผู้ใดมาบรรเลงเพลงปี่แป้อยู่ข้างนอก”
เสี่ยวเอ้อผู้นั้นวิ่งออกไปได้ครู่เดียวแล้ววิ่งกลับมา ส่งเสียงกล่าววาจารายงานดังว่า
“เถ้าแก่ ด้านหน้าโรงเตี๊ยมมีนักดนตรีชราตาบอดผู้หนึ่ง พร้อมกับหลานสาวหน้าตางดงามสะคราญอีกผู้หนึ่ง สอบถามทราบว่าเป็นนักดนตรีตาบอดพเนจรเดินทางผ่านมา พวกเขาประทังชีวิตด้วยการบรรเลงเพลงแลกกับเศษเงินเล็กน้อย เฒ่าชราตาบอดแม้ไม่น่าสนใจเท่าใดนัก แต่หลานสาวของมันหน้าตาจิ้มลิ้มสะสวย รูปร่างอ้อนแอ้นอรชร นางคล้ายน่าสนใจอยู่ไม่น้อย”
คนทั้งห้าได้ยินเช่นนั้น สายตาลุกวาวเป็นประกาย คนผู้หนึ่งในจำนวนห้าคนส่งเสียงกล่าววาจากับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมว่า
“เถ้าแก่ ท่านรีบไปพาพวกมันสองคนเข้ามา บอกกับพวกมันว่ามีแขกกระเป๋าใหญ่ใช้จ่ายมือเติบ หากหลานสาวของมันสามารถฟ้อนรำให้กับพวกเราได้เพลิดเพลิน รับรองว่าหลังจากนี้ไม่ต้องเร่ร่อนเล่นดนตรีแลกเศษเงินอีกแล้ว พวกมันจะมีเงินใช้จ่ายไปอีกหลายปีเลยทีเดียว”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมพยักหน้าส่งเสียงรับคำ ก้าวเท้าออกไปด้านหน้าโรงเตี๊ยม เสียงปี้แป้ยังคงส่งเสียงอันไพเราะชวนให้เคลิบเคลิ้ม เถ้าแก่โรงเตี๊ยมทอดสายตาสำรวจเห็นเป็นชายชราผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าฝ่ายเนื้อหยาบซีดเก่า ผมเผ้ายาวขาวราวดอกเลาผู้มัดรวบไว้ด้วยเศษผ้าฝ้าชนิดเดียวกัน ใบหน้าซีดขาวเหี่ยวย่น ดวงตาทั้งคู่สีขาวหม่นดุจน้ำข้าวไร้แววประกาย ชายชรานั่งขัดตะหมาดวางปี่แป้ไว้บนขาซ้าย มือซ้ายประคองปี่แป้นิ้วมือข้างขวาบรรจงไล่ไปตามเส้นเสียงบรรเลงเพลงอันไพเราะ
ด้านข้างของชายชราผู้นั้น นั่งอยู่ด้วยดรุณีหน้าตาหมดจดงดงามนางหนึ่ง ดรุณีหน้าตาจิ้มลิ้มผู้นี้แต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวสีขาว เรือนผมจัดแต่งเรียบร้อยด้วยริบบิ้นสีขาวเช่นกัน นางส่งสายตาจ้องมองมายังเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ขณะที่ทางด้านหน้าล้วนชุมนุมอยู่ด้วยเหล่านักเดินทาง และพ่อค้าแม่ค้าชาวบ้าน ต่างสนอกสนใจในเสียงบรรเลงเพลงปี่แป้อันเสนาะหู
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกวักมือเป็นสัญญาณเรียกดรุณีนางนั้นให้ลุกเดินมาหาตน เนื่องจากการบรรเลงเพลงของชายชรายังไม่จบลง ดรุณีนางนั้นส่งสายตากลมโตสงสัย แต่ยังลุกขึ้นอย่างแผ่วเบาก้าวเท้าเข้ามาหาเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ส่งเสียงกล่าววาจาไถ่ถามว่า
“ท่านเรียกข้าพเจ้า มิทราบว่ามีธุระใด?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เราย่อมต้องมีธุระจึงเรียกเจ้า มิทราบว่าเจ้ากับชายชราผู้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องใด?”
ดรุณีนางนั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าเรียกว่า เหมยเหมย เป็นเด็กหญิงกำพร้า ท่านผู้เฒ่าที่กำลังเล่นเพลงปี่แป้เป็นท่านตาของข้าพเจ้า ท่านเรียกหาว่าเจี่ยจวง เราทั้งสองไร้ถิ่นฐานญาติมิตรล้วนตายจากไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงเดินทางเร่ร่อนพเนจร ท่านตาเล่นเพลงแลกกับเศษเงินและอาหารพอได้ประทังความหิวโหย ธุระของท่านเป็นเรื่องราวใด?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ความจริงมิใช่ธุระเรื่องราวของเราโดยตรง เราเป็นเพียงคนกลางมาติดต่อเรื่องราวให้กับพวกเขาเท่านั้น”
ดรุณีนางนั้นแสดงสีหน้าสงสัย สายตากลอกกลิ้งไร้เดียงสา ส่งเสียงกล่าววาจาถามเถ้าแก่โรงเตี๊ยมว่า
“เป็นผู้ใด? ที่ไหว้วานท่านมาเป็นคนกลาง แล้วคนเหล่านั้นพวกเขามีธุระเรื่องราวใด? กับข้าพเจ้ากับท่านผู้เฒ่ารีบกล่าวบอกเถิด”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแสดงท่าทีคล้ายตัดสินใจ จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจากับดรุณีนางนั้นว่า
“ภายในโรงเตี๊ยมของเราในวันนี้ มีแขกกระเป๋าหนักใช้จ่ายมือเติบ บอกกับเจ้าตามตรงโรงเตี๊ยมของเรา พวกเขาเหมาเอาไว้แล้ว อาหารสุราในร้านเรามิตกหล่นขาดเหลือ เพียงแต่แขกของเราเหล่านั้นต้องการความครื้นเครงสนุกสนาน”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหยุดวาจาเล็กน้อย ส่งสายตาสำรวจดรุณีนางนั้นกับท่านตาของนางอีกเที่ยวหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“พวกเขาสั่งให้เราจัดหานักดนตรีนางระบำมาแสดงให้กับพวกเขาได้เพลิดเพลิน แต่ทว่าเรายังมิได้ส่งคนออกไปจัดหา พลันได้ยินเพลงปี่แป้ดังแว่วเข้าไปภายในร้าน แขกเหล่านั้นกำลังดื่มสุราต้องการความรื่นรมย์ ก่อนที่เราจะหานักดนตรีกับนางระบำ คิดจะจ้างเจ้ากับท่านตาของเจ้าเล่นเพลงคั่นเวลาไปพลางก่อน เจ้ากับท่านตาสนใจรับงานนี้หรือไม่?”
ยามนั้น ชายชราตาบอดเล่นเพลงจบลงพอดี ส่งเสียงกระแอมไอร้องเรียกหาดรุณีผู้เป็นหลานดังว่า
“เหมยยี้ เด็กน้อยอันซุกซนของท่านตา เจ้าไปที่ใดแล้ว? ท่านตากระหายน้ำรู้สึกคอแห้งเหลือเกิน มิทราบว่ามีผู้ใดใจดี หยิบยื่นน้ำดื่มกับอาหารให้กับพวกเราทั้งสองหรือไม่?”
ดรุณีนางนั้นรีบวิ่งเข้ามาประคองท่านตาให้ลุกขึ้น ประคองท่านเดินเข้ามาหาเถ้าแก่โรงเตี๊ยม พร้อมกับส่งเสียงกล่าววาจากับท่านตาของนางว่า
“ท่านตา เหมยยี้กับท่านไม่ต้องหิวโหยอดอยากกันแล้ว พวกเรายืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมต้าเหอชุน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมบอกกับผู้หลานว่ามีคนคิดจ้างเราตาหลาน เข้าไปเล่นดนตรีฟ้อนรำให้กับพวกเขาได้เพลิดเพลิน ท่านตาคิดว่าพวกเราควรรับงานนี้หรือไม่?”
ชายชราตาบอด ขยับปี่แป้ในมือคราหนึ่ง ส่งเสียงกระแอมไอแหบแห้ง จากนั้นยื่นมือข้างที่ว่างเปล่าควานหาศีรษะของดรุณีนางนั้น เมื่อคลำพบศีรษะลูบเบา ๆ อยู่คราหนึ่ง ทอดถอนใจส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“เหมยยี้ เจ้าคงหิวโหยแย่แล้ว สองวันแล้วที่เราตาหลานมิได้รับประทานอาหารลงท้อง ท่านตามิขัดข้องที่จะเล่นดนตรีนี้ เพียงแต่เจ้าหลานตา เจ้ามิเคยหัดฟ้อนรำเกรงว่าจะสร้างความอับอาย เจ้าคิดว่าจะร่ายรำให้กับพวกเขาชมได้รึ?”
ดรุณีนางนั้น ใช้สองมือเขย่าแขนขวาของท่านตาคราหนึ่ง ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“ท่านตา เหมยยี้ร่ายรำเป็นอยู่บ้าง เนื่องจากบางครั้งที่ท่านตาพักผ่อนนอนหลับ ข้าพเจ้าเคยซุกซนแอบหนีท่านตาไปชมดูการแสดงฟ้อนรำ ดังนั้นพอจดจำท่วงท่าการร่ายรำมาได้หลายท่า คิดว่าคงไม่สร้างความอับอายขายหน้าเท่าใดนัก”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมพอได้ยินสองตาหลานพูดคุยกันเช่นนั้น แสดงสีหน้ายินดีส่งเสียงกล่าววาจากับทั้งสองว่า
“เช่นนั้นอย่ามัวชักช้าเสียเวลา แขกด้านในรอคอยเกรงว่าจะอารมณ์เสีย รีบพาท่านตาของเจ้าติดตามเราไปด้านในเร็วเข้า”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าววาจาจบ รีบหมุนกายก้าวเท้าเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมทันที ดรุณีนางนั้นหันมองท่านตาของนางคราหนึ่ง ประกายสายตาของนางซ่อนงำบางสิ่งเอาไว้ จากนั้นประคองท่านตาก้าวเท้าตามติดเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเข้าไปภายในทันที
เมื่อก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม ทั้งเถ้าแก่และดรุณีนางนั้นถึงตื่นตระหนกตกใจ ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าสยดสยองโหดร้ายเกินไป บนพื้นโรงเตี๊ยมนอนเกลื่อนกลาดอยู่ด้วยซากศพ เสี่ยวเอ้อหลายคนยืนตัวสั่นอยู่อีกฟากหนึ่ง ดรุณีนางนั้นสอดส่ายสายตาสำรวจจนทั่วบริเวณ พบว่าซากศพที่นอนตายไม่นานมีมากราวยี่สิบกว่าศพ ท่านตาของนางส่งเสียงกล่าวถามขึ้นว่า
“เหมยยี้ เกิดเรื่องราวใดขึ้น? ไฉนท่านตาคล้ายได้กลิ่นคาวเลือด อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงลางอัปมงคล ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เกิดเรื่องราวใดขึ้น?”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564