ตอนที่ 149
หมากตายบนกระดานเป็น
หลังจากทุกคนช่วยกันค้นหาหลักฐานอยู่ครู่หนึ่ง มิมีผู้ใด? ได้หลักฐานเพิ่มเติม สรุปได้เพียงว่าผู้ที่ถูกคนร้ายฆ่าตายเป็นผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ท่านนั้นต้องพิษจึงตายด้วยพิษ แต่มิทราบว่าท่านโดนพิษได้เช่นไร
ทุกคนหยุดค้นหาแล้ว มีเพียงเยี่ยนผิงนางเดินวนอยู่อีกเที่ยวหนึ่ง พร้อมกับยกมือข้างขวาชูนิ้วชี้ไปมาทำท่าครุ่นคิด นางเดินเข้ามายังข้างศพผู้เฒ่าลู่ แล้วก้าวเท้าทำปากขมุบขมิบนับตัวเลขอยู่ในใจ จากข้างศพผู้เฒ่าลู่นางดินมาราวเจ็ดแปดก้าว หยุดยืนใกล้ ๆ กับลำไม้ไผ่ที่ตกอยู่ จากนั้นนางเดินมายังซากศพของผู้เฒ่าแปดหว่านฉี นางพลิกลำไม้ไผ่ไปมาอยู่หลายเที่ยว
เมื่อวางลำไม้ไผ่ลงแล้ว นางสำรวจตามร่างกายของผู้เฒ่าลู่ จากนั้นพลิกแขนและฝ่ามือทั้งสองของท่านดู สีหน้าเยี่ยนผิงแปรเปลี่ยนวูบหนึ่ง มิมีผู้ใด? ทันสังเกตเห็น
เยี่ยนผิงนางเห็นรอยรูเล็ก ๆ บนฝ่ามือข้างขวา รูเล็ก ๆ ที่นางเห็นม่วงคล้ำเกือบจะกลายเป็นสีดำ นางได้ข้อสรุปว่าผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ท่านถูกเข็มพิษทิ่มแทงเข้าที่ฝ่ามือข้างนี้เอง ในฝ่ามือคงมิมีผู้ใด? โง่เขลาเอาเข็มพิษมาทิ่มใส่ เนื่องด้วยส่วนอื่นบนร่างกาย ใช้เข็มพิษทิ่มแทงใส่ได้ง่ายดายกว่าหลายเท่านัก
ดังนั้นท่านจึงมิได้ถูกผู้ใดใช้เข็มพิษทิ่มแทงใส่ท่าน เป็นท่านเองที่เอาฝ่ามือมาสัมผัสกับเข็มพิษที่ปักไว้ ลำไม้ไผ่ของท่านตกอยู่ข้างตัว ดังนั้นเยี่ยนผิงสรุปว่าลำไม้ไผ่ท่อนนี้ต้องเป็นอาวุธคู่กายของผู้เฒ่าแปดหว่านฉี
ส่วนลำไม้ไผ่ที่ตกอยู่บนพื้นไกล ๆ ซึ่งนับจากร่างผู้เฒ่าลู่ไปราวเจ็ดแปดก้าว อาวุธคุ่กายผู้เฒ่าลู่มิได้ถูกคนร้ายกระแทกหลุดมือ จะต้องเกิดจากการโยนทิ้งอาวุธนี้ไปอย่างตกใจ นางจึงสรุปว่าเข็มพิษสมควรจะต้องปักอยู่บนลำไม้ไผ่นี้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อครู่นางตรวจสอบดูแล้ว ไม่มีเข็มพิษบนลำไม้ไผ่นั้น ลำไม้ไผ่นั้นย่อมไม่มีเข็มพิษเด็ดขาด เนื่องด้วยเอี้ยวเซียวเก็บมันซุกซ่อนไว้ในที่ใดที่หนึ่งอย่างแน่นอน ก่อนที่ทุกคนจะเดินทางมาถึง และเยี่ยนผิงมั่นใจว่าเอี้ยวเซียวคงมิโง่เขลาถึงขนาดที่จะซุกซ่อนเอาไว้ที่ตัว
เยี่ยนผิงที่นางสีหน้าแปรเปลี่ยนวูบหนึ่ง นางพบเห็นริมขอบฝ่ามือ บริเวณใกล้กับนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ มีร่องรอยเขม่าพลุไฟที่จุดแล้ว กับรอยไหม้พองริมขอบฝ่ามือนั้น อีกทั้งจมูกของนางยังได้กลิ่นดินเขม่าซึ่งยังมิทันจางหายไปหมดสิ้น
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉีเป็นผู้จุดพลุไฟ เอี้ยวเซียวนางมิได้เป็นผู้จุด แต่นางบอกกล่าวกับทุกคน ว่าเป็นนางที่จุดพลุไฟสัญญาณขอความช่วยเหลือ เยี่ยนผิงรีบลุกขึ้น ก้าวเท้าเข้าไปหาเอี้ยวเซียว พร้อมกับส่งเสียงกล่าวว่า
“แม่นางเอี้ยวเซียว ข้าพเจ้าขอยืมกระบอกพลุไฟสัญญาณที่จุดแล้ว ในมือท่านหน่อยจะได้หรือไม่?”
สีหน้าของเยี่ยนผิงมิได้บ่งบอกสิ่งใด? เอี้ยวเซียวนางเองมิได้เฉลียวใจฉุกคิดเช่นกัน นางมิทันฉุกคิดว่าบัดนี้เยี่ยนผิงเริ่มสงสัยในตัวนางเข้าให้แล้ว
แต่แท้จริงแล้ว เยี่ยนผิงนางเริ่มสงสัยในตัวเอี้ยวเซียวมาสักระยะหนึ่งแล้ว ยิ่งได้ฟังเรื่องราวจากคำบอกเล่าของเฉาลู่ฟาง กับสองสามีภรรยาแซ่เซียว ซึ่งปลอมตัวเป็นเอี้ยวค้วง กับสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า เพียงแต่นางต้องการหาหลักฐานเพิ่มเติมให้มั่นใจ
เอี้ยวเซียวรีบยื่นส่งกระบอกพลุสัญญาณให้กับเยี่ยนผิง เยี่ยนผิงเอื้อมมือคว้ารับกระบอกพลุเอาไว้ พร้อมกับสังเกตสองฝ่ามือของเอี้ยวเซียว ฝ่ามือทั้งสองของนางสะอาดยิ่ง ไม่มีคราบเขม่าพลุไฟกับรอยไหม้พองแต่ประการใด?
เยี่ยนผิงแสร้งเป็นสำรวจกระบอกพลไฟ แล้วโยนทิ้งไป จากนั้นคว้าจับสองมือของเอี้ยวเซียวมาเกาะกุมไว้ นางบีบเคล้นสองมือเบา ๆ แล้วส่งเสียงกล่าวว่า
“พวกเราทุกคนต้องขอบคุณแม่นางเอี้ยวเซียว หากมิได้แม่นางเอี้ยวเซียวจุดพลุสัญญาณแจ้งไป พวกเราอาจจะยังมิทราบเรื่องราวเลวร้ายนี้”
ทุกคนส่งเสียงเห็นด้วย เยี่ยนผิงบีบสองมือของเอี้ยวเซียวเบา ๆ อีกครั้ง พร้อมกับลูบคลำสองมืออย่างปลอบใจ เมื่อปล่อยมือของเอี้ยวเซียวแล้ว เยี่ยนผิงนางส่งเสียงกล่าวว่า
“แม่นางเอี้ยวเซียวหายหวาดกลัวแล้วหรือไม่? ข้าพเจ้าลูบคลำสองมือแม่นางเมื่อครู่ คล้ายกับยังไม่หายอาการเสียขวัญหวาดกลัวกระนั้น?”
เอี้ยวเซียวส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าหายจากอาการเสียขวัญแล้ว โชคดีที่พวกท่านรีบรุดมา แต่น่าเสียดายหากพวกท่านมาเร็วกว่านี้ ไม่แน่นักผู้เฒ่าทั้งสองอาจจะไม่ถูกคนร้ายฆ่าได้ก็อาจเป็นได้”
ในขณะที่รับฟังเอี้ยวเซียว เยี่ยนผิงยกมือขึ้นทำทีเป็นเขี่ยปลายจมูกไปมา แท้จริงนางต้องการดมพิสูจน์ว่า บนฝ่ามือทั้งสองของเอี้ยวเซียวมีกลิ่นเขม่าพลุไฟหรือไม่? ไม่มีกลิ่นเขม่าไหม้ในมือของเอี้ยวเซียวจริง ๆ เยี่ยนผิงนางมั่นใจแล้ว
ยังเหลือท่อนคบไฟท่อนนั้นซึ่งนางยังมิได้ตรวจสอบดู ดังนั้นนางจึงเดินไปหยิบคบไม้ท่อนนั้นขึ้นมาสำรวจดู แต่คราวนี้สีหน้าเยี่ยนผิงแปรเปลี่ยนรุนแรง จนกระทั่งทุกคนสังเกตเห็น
ไป่ชิงส่งเสียงกล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า
“แม่นางเยี่ยนผิง มีอันใดให้สงสัยเช่นนั้นรึ? ข้าพเจ้าเห็นสีหน้าท่านพลันแปรเปลี่ยนรุนแรงเพียงนั้น”
เยี่ยนผิงรีบเปลี่ยนสีหน้า ส่งเสียงกล่าวตอบกลบเกลื่อนออกไปว่า
“มิมีอันใด? เพียงแต่ข้าพเจ้าเกิดสงสัยว่า หากผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ท่านมิได้ถูกเข็มพิษจากคนร้ายซัดใส่ หากเป็นท่านเองที่ลูบคลำหรือกำลำไม้ไผ่ของผู้เฒ่าลู่ หรือไม่ก็เป็นคบไฟในมือข้าพเจ้าเล่า?”
เอี้ยวเซียวร่ำร้องคำร้ายกาจในใจ คำสันนิษฐานของเยี่ยนผิงเกือบจะถูกต้องอยู่แล้ว ยังนับว่าโชคดีที่นางเก็บคืนเข็มพิษไปซุกซ่อนเอาไว้แล้ว
แต่สำหรับเยี่ยนผิง นางร่ำร้องคำร้ายกาจในใจเช่นกัน คำร้ายกาจนางมอบให้กับผู้เฒ่าลู่ กับผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ผู้เฒ่าแปดหว่านฉีตั้งใจทิ้งร่องรอยเขม่าไหม้ไว้ที่ฝ่ามือท่าน สำหรับท่านคงคำนวณเอาไว้แล้วว่า เอี้ยวเซียวจะต้องฉกฉวยความดีความชอบอันนี้ ดังนั้นหากท่านจับส่วนปลายของกระบอกพลุไฟ เขม่าไหม้ดินพลุคงไม่ตกไปในมือท่าน แต่นี่ท่านตั้งในทิ้งร่องรอยหลักฐานเอาไว้
ส่วนผู้เฒ่าลู่กลับร้ายกาจยิ่งกว่า บนคบไม้ที่ตกหล่นอยู่ หากสังเกตให้ดีแล้ว บนคบไม้แม้จะมีร่องรอยจิกเกาเอาไว้เต็มไปหมด แต่กระนั้นยังมีอยู่ร่องรอยหนึ่งซึ่งตั้งใจใช้เล็บกรีดเขียนเป็นตัวอักษร แม้นจะยังเขียนมิจบคำ ท่านสิ้นใจตายไปเสียก่อน แต่ยังพอคาดเดาได้ว่า ท่านตั้งใจเขียนอักษรคำว่า “เอี้ยว”
ในยุทธภพนี้ผู้ที่ใช้คำว่า “เอี้ยว” มิว่าจะชื่อหรือแซ่ มีเพียงสามคนเท่านั้น นั่นคือ เอี้ยวค้วง เอี้ยวเคียก และเอี้ยวเซียว เอี้ยวค้วงนั้นถูกไฟเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านแล้ว ยังคงเหลือเพียงเอี้ยวเคียก กับเอี้ยวเซียวเท่านั้น แต่เท่าที่ทราบจากคำบอกเล่าของเฉาลู่ฟาง และสองสามีภรรยาแซ่เซียว เอี้ยวเคียกเดินทางกลับป่าเก้าหยกไปแล้ว
ดังนั้นจึงหลงเหลือเพียงผู้เดียวที่น่าสงสัยที่สุด นั่นคือเอี้ยวเซียวนั้นเอง เมื่อก่อนตายผู้เฒ่าแปดหว่านฉี กับผู้เฒ่าลู่ท่านทั้งสองทิ้งหลักฐานชี้ตัวคนร้ายเอาไว้ เช่นนั้นผู้เฒ่าโอ่วท่านคงทิ้งหลักฐานใด? เอาไว้ให้สืบสาวอย่างแน่นอน
เยี่ยนผิงมิต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่น นางยื่นส่งคบไฟท่อนนั้นให้เฉาลู่ฟางเก็บไว้ จากนั้นเยี่ยนผิงทำคิ้วขมวดสงสัยแล้วส่งเสียงกล่าวว่า
“เมื่อครู่ข้าพเจ้าเดินสำรวจตรวจสอบจนทั่วบริเวณนี้แล้ว ทุกท่านสังเกตหรือไม่? รอยเท้าบนพื้นดินแม้จะสับสนปนเปกันอยู่บ้าง ถึงแม้นจะยากแก่การแยกแยะ แต่ทุกท่านลองสังเกตดูให้ถ้วนถี่ มิมีรอยเท้าใด? ที่หายไปจากบริเวณนี้ หากทุกท่านไม่เชื่อข้าพเจ้า ลองให้ทุกคนที่อยู่ที่นี้ เหยียบย่ำลงบนพื้นดิน แล้วลองเทียบร่องรอยเท้าที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ มิมีรอยเท้าใด? ที่แปลกปลอมปรากฏอยู่เลย คล้ายกับคนร้ายผู้นี้มิได้ใช้เท้าสัมผัสพื้นกระนั้น หรือไม่อีกประการหนึ่ง คนร้ายใช้เท้าเหยียบย่ำดั่งเช่นเราท่าน เพียงแต่คนร้ายยังมิได้จากไปไหน จึงมิมีรอยเท้าใด? หายไปจากบริเวณนี้ เป็นไปได้หรือไม่? คนร้ายใช่คนหนึ่งคนใด? ในกลุ่มของพวกเรานั้นเอง”
ทุกคนเหลียวมองหน้ากันไปมา ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ พิจารณาตามคำสันนิษฐานของเยี่ยนผิง หลังจากเทียบรอยเท้าของทุกคนแล้ว รวมทั้งรอยเท้าของผู้ตายผู้เฒ่าแปดหว่านฉี กับผู้เฒ่าลู่ ในบริเวณนี้มิมีรอยเท้าอื่นแปลกปลอมเข้ามาจริง ๆ จึงส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“โกวเนี้ยน้อยเยี่ยนผิง เจ้าจึงเป็นคนช่างสังเกต แถมมีสายตาปราดเปรียวจริง ๆ มิมีรอยเท้าใด? ที่แปลกปลอมเข้ามา เช่นนั้นคนร้ายย่อมยังอยู่ในกลุ่มของพวกเรา”
ทุกคนส่งเสียงเห็นด้วย มีเพียงเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กับเอี้ยวเซียว ทั้งสองเหลียวมาสบตากัน จากนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ส่งเสียงสนับสนุนแล้วออกความเห็นต่อว่า
“แม่นางเยี่ยนผิง เจ้าช่างเฉลียวฉลาดนัก เรื่องราวที่พวกเรามองข้ามไปเจ้ากลับมองเห็น เป็นไปได้ทีเดียวที่คนร้ายอาจยังมิได้จากไปไหน? เพียงแต่ในที่นี้มิมีคนอื่นอยู่เลย และเรายังมองมิเห็นผู้ใด? เป็นที่น่าสงสัยเช่นกัน ดังนั้นเราจึงสงสัยอยู่ประการหนึ่ง?”
บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ รีบส่งเสียงกล่าวถามขึ้นทันทีว่า
“เจ้าโอสถสายรุ้ง ท่านมีข้อสงสัยใด? ในเมื่อพบเห็นสิ่งใด? โปรดจงรีบบอกกล่าวออกมาอย่าได้ชักช้า”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน แสดงสีหน้าคล้ายลำบากใจ เหลียวมองหน้าผู้เฒ่าเก้าทิกว่อ จากนั้นหันมาทางด้านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ สีหน้ายิ่งเพิ่มความลำบากใจคล้ายกับคำพูดที่ท่านกำลังจะกล่าว มีส่วนเกี่ยวข้องกับขอทานเฒ่าทั้งสองกระนั้น
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านผาดโผนยุทธภพโชกโชน มองปราดเดียวทราบได้ถึงความลำบากใจของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ดังนั้นท่านจึงส่งเสียงเอ่ยว่า
“ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง ท่านกับเรารู้จักคุ้นเคยกันมาช้านาน มีสิ่งใด? ขออย่าปิดบังเกรงใจ ดูจากสีหน้ากับสายตาท่าน คำพูดที่ท่านกำลังจะกล่าว คล้ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา และผู้เฒ่าเก้าทิกว่ออยู่บ้างกระนั้น”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“นับถือ ๆ ขอทานเฒ่า ท่านสมเป็นปรมาจารย์ยุทธจักรอันแท้จริง ขนาดข้าพเจ้ายังมิได้เอ่ยกล่าวออกไป ท่านกลับมองออกได้ว่า เรื่องที่ข้าพเจ้ากำลังจะกล่าว มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านและขอทานเก้าทิกว่อ”
ขอทานเก้าทิกว่อ ได้ยินเช่นนั้น ส่งเสียงกล่าวต่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนว่า
“ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง คำลำบากใจของท่าน เราและทุกท่านในที่นี้ล้วนรับทราบแล้ว แต่ทว่าหากท่านไม่เอ่ยกล่าวออกมา เกรงว่าทุกคนย่อมมีข้อกังขาอยู่ในใจ ดังนั้นเราขอให้ท่านอย่าได้เกรงใจ”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พยักหน้ารับทราบคล้ายตัดสินใจแล้ว ก่อนเอ่ยกล่าวหันไปประสานสายตากับเอี้ยวเซียวศิษย์ของท่าน แล้วกล่าว
“ในเมื่อทุกท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเอ่ยกล่าวออกมา ข้าพเจ้าได้แต่ต้องทำตามความต้องการของทุกท่านแล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าลำบากใจไม่ต้องการเอ่ยกล่าวออกมา คนตายไม่อาจลุกขึ้นมาแก้ต่างให้กับตนเองได้ หากเรื่องราวที่ข้าพเจ้ากำลังจะเอ่ยกล่าวออกมา จะเป็นการใส่ร้ายป้ายสีให้กับผู้ตายหรือไม่?”
ทุกคนเริ่มให้ความสนใจและสงสัยในคำพูดของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยี่ยนผิง นางยิ่งต้องการทราบว่า เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านจะมีลูกไม้ใด? และกำลังจะเอ่ยกล่าวสิ่งใด? ออกมา เอี้ยวเซียวเอง นางมิอาจอยู่นิ่งเฉย รีบส่งเสียงเอ่ยกล่าวต่อผู้เป็นอาจารย์ว่า
“ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียว แม้จะเป็นศิษย์ท่านได้ไม่นาน แต่ข้าพเจ้ามั่นใจเปี่ยมล้นว่า คำกล่าวของท่านอาจารย์ จะต้องมีเหตุผลและน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง มาตรว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนตายทั้งสอง แต่ทว่าหากท่านอาจารย์ไม่เอ่ยกล่าวออกมา เกรงว่าทุกท่านจะยิ่งกังขาสงสัยไม่สิ้นสุด ท่านอาจารย์ได้โปรดบอกกล่าวออกมาให้ทุกท่านได้กระจ่างด้วยเถิด”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จึงตัดสินใจเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“ข้าพเจ้าเห็นด้วยต่อข้อสันนิษฐานของโกวเนี้ยน้อยเยี่ยนผิง ซึ่งพวกเราได้พิสูจน์จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่า มิมีรอยเท้าผู้ใด? ที่หายไป และมิมีรอยเท้าใด? ที่แปลกปลอมเข้ามาด้วยเช่นกัน”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เหลียวมองขอทานพเนจรหวงเกาฉืออีกครั้งหนึ่ง จึงเอ่ยกล่าวต่อว่า
“ดังนั้นข้าพเจ้าจึงสันนิษฐานได้เพียงประการเดียว คนร้ายที่พวกเรากำลังสงสัย อาจเป็นคนหนึ่งคนใด? ในคนตายทั้งสอง ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี กับผู้เฒ่าลู่ เมื่อคนหนึ่งเป็นคนร้าย อีกคนหนึ่งอาจทราบเรื่องราวนี้ คนร้ายจึงต้องการฆ่าปิดปากเสีย ในที่สุดจึงเกิดการต่อสู้ขึ้น เมื่อคนหนึ่งฆ่าอีกคนหนึ่งตาย แต่มาทราบในภายหลังว่าตนเองนั้นได้รับพิษด้วยเช่นกัน ดังนั้นทราบแน่ว่าไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เมื่อเห็นเอี้ยวเซียวศิษย์เรารุดมาถึง จึงได้ไหว้วานให้จุดพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือ เพียงแต่ยังมิทันบอกเล่าเรื่องราว สิ้นใจตายไปเสียก่อน”
เมื่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกล่าวจบ ทุกคนในที่นั้นยังคงเงียบงันไปชั่วขณะ เป็นไปได้เช่นไร? ในผู้เฒ่าทั้งสองจะมีผู้หนึ่งผู้ใด? กลายเป็นคนร้ายไปได้
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ขอทานเก้าทิกว่อ ทั้งยังไม่ยินยอมเชื่อถือเป็นเด็ดขาด ผู้เฒ่าขอทานทั้งสอง นับได้ว่าเป็นผู้อาวุโสของเหล่าขอทาน ได้รับความไว้วางใจและเคารพนับถือ จากบรรดาขอทานน้อยใหญ่ทั่วแผ่นดิน อีกทั้งที่ผ่านมายังมิเคยสร้างความเสื่อมเสียมาสู่เหล่าขอทานแม้แต่คราเดียว
แต่เนื่องด้วยสถานการณ์บีบบังคับ บวกด้วยหลักฐานที่มีอยู่ ขอทานเฒ่าทั้งสองจึงคล้ายน้ำท่วมปาก อยากจะเอ่ยกล่าวคำแก้ต่างให้ แต่ยังมิอาจกล่าวออกมาได้ในเวลานี้
เอี้ยวเซียว รีบกล่าวสนับสนุนข้อสันนิษฐานของผู้เป็นอาจารย์ทันทีว่า
“ข้าพเจ้าคล้ายเห็นด้วยกับท่านอาจารย์ มิมีหลักฐานอื่นใดในที่เกิดเหตุ ที่สามารถนำมายืนยันได้ว่า ผู้เฒ่าทั้งสองเป็นที่น่าสงสัย ว่าผู้หนึ่งผู้ใด? อาจจะกลายเป็นคนร้ายในเหตุการณ์นี้”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน แสดงท่าทีครุ่นคิด จากนั้นเอ่ยกล่าวว่า
“คนตายมิอาจเอ่ยปากพูด เราท่านจึงมิอาจด่วนสรุปปรักปรำ ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เป็นเพียงการสันนิษฐานตามพยานหลักฐานเท่านั้นเอง ดังนั้นพวกเรารีบรุดไปตรวจสอบยังสถานที่ ซึ่งเอี้ยวเซียวศิษย์เราแจ้งว่าพบศพของผู้เฒ่าโอ่วนอนเสียชีวิตอยู่ที่นั่น เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานที่ข้าพเจ้ากล่าวมา จึงขอล่วงเกินอาวุโสผู้ตายทั้งสอง ขอหยิบยืมรองเท้าที่สวมใส่ของผู้ตายทั้งสองไปด้วย เพื่อนำไปเทียบกับรอยเท้าในที่เกิดเหตุ หากมิมีร่องรอยอื่นแปลกปลอมเข้ามา รอยเท้าที่สามในที่เกิดเหตุ ย่อมต้องเป็นรอยเท้าของคนร้ายผู้นี้แล้ว”
ขอทานเก้าทิกว่อก้มลงแล้วกล่าวคำขอขมาต่อผู้เฒ่าทั้งสอง แล้วบรรจงถอดรองเท้าของสองผู้เฒ่าติดมือมาถือไว้ สำหรับศพของผู้เฒ่าทั้งสอง เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ออกคำสั่งให้คนของสำนักตำหนักหมื่นเทพ ช่วยกันนำร่างของผู้เฒ่าทั้งสองกลับไป
ทุกคนก้าวเท้าออกเดินทาง เยี่ยนผิงเอ่ยกำชับต่อเฉาลู่ฟาง ให้เก็บรักษาคบไม้ของผู้เฒ่าลู่เอาไว้ให้ดี ส่วนนางก้มลงเก็บลำไม้ไผ่อาวุธคู่กายของผู้เฒ่าแปดหว่านฉี เอี้ยวเซียวเห็นเช่นนั้นรีบวิ่งมาแล้วก้มลงเก็บลำไม้ไผ่ของผู้เฒ่าลู่ พร้อมกับส่งเสียงกล่าวต่อเยี่ยนผิงว่า
“ลำไม้ไผ่ท่อนนี้เป็นอาวุธของอาวุโสลู่ ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียวจะช่วยท่านนำมันกลับไป เผื่อบางทีอาจมีร่องรอยใด? ให้สืบสาวจากไม้เท้านี้ได้บ้าง”
เยี่ยนผิงไม่กล่าววาจาใด? ได้แต่พยักหน้ารับทราบ แต่ภายในหัวสมองของนางนั้นมั่นใจเป็นที่สุด คนร้ายรายนี้จะต้องเป็นเอี้ยวเซียวอย่างแน่นอน แต่กระนั้นเอี้ยวเซียวนางสร้างหลักฐานมัดขอทานเฒ่าทั้งสองเอาไว้ ดูไปคล้ายแนบเนียนไร้ช่องโหว่ ตาข่ายร่างแหมีตาอยู่ทั่วทั้งผืน ต่อให้พยายามปกปิดเท่าใด? ไม่แน่นักจะมีสักช่องหนึ่งเป็นรอยโหว่โผล่ขึ้นมาได้
เอี้ยวเซียวนางหาทราบไม่ เยี่ยนผิงนางเองมีหลักฐานอันแท้จริงไว้มัดตัวคนร้ายเช่นกัน แต่ที่นางยังมิบอกออกไป เนื่องด้วยไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่น อีกประการหนึ่งนางต้องการชมดูลวดลายของนางโจรผู้นี้นั้นเอง
นอกจากเหตุผลข้อนี้แล้ว ผู้ที่บงการนางโจรผู้นี้ยังไม่มีหลักฐานผูกมัดตัวให้ดิ้นมิหลุดได้ ดังนั้นนางจึงมิอาจวู่วาม แม้นทราบว่าผู้บงการชักใยอยู่เบื้องหลังที่แท้จริงเป็นผู้ใด? แล้วก็ตาม
เมื่อทั้งหมดออกเดินทาง เอี้ยวเซียวนางรีบวิ่งขึ้นนำทางก่อนทันที นางแทบไม่ต้องทบทวนทิศทางแต่ประการใด? เยี่ยนผิงหันสบตากับสองสามีภรรยาแซ่เซียว รวมทั้งเฉาลู่ฟาง จากนั้นทั้งสามรีบก้าวเท้าติดตามท้ายขบวนไปทันที
ใช้เวลาเพียงอึดใจเดียวจึงบรรลุถึง ร่างของผู้เฒ่าโอ่วนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ข้าง ๆ ร่างของท่านมีลำไม้ไผ่ตกอยู่ท่อนหนึ่ง ย่อมเป็นอาวุธคู่กายของท่านนั้นเอง
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ผู้เฒ่าเก้าทิกว่อ เห็นเช่นนั้นพากันวิ่งเข้าไป แต่ถูกร้องห้ามเอาไว้เสียก่อน ผู้ที่ส่งเสียงร้องห้ามเป็นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนนั้นเอง ทุกคนรู้สึกสงสัยเช่นกัน มีเพียงเยี่ยนผิงนางคล้ายทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ส่งเสียงร้องกล่าวขึ้นว่า
“ทุกท่านช้าก่อน พวกเราอย่าเพิ่งเข้าไปเหยียบย่ำในที่เกิดเหตุ ถึงเช่นไร? ผู้เฒ่าโอ่วท่านเสียชีวิตไปนานแล้ว ก่อนที่พวกเราจะเข้าไป ทุกท่านมาพิสูจน์รอยเท้าของคนร้ายก่อนดีหรือไม่? หลังจากผู้เฒ่าโอ่วเสียชีวิตยังมิมีผู้ใด? เข้ามาในที่เกิดเหตุ นอกจากเอี้ยวเซียวซึ่งนางมาพบศพของผู้เฒ่าโอ่วเป็นคนแรก ดัวนั้นในที่เกิดเหตุย่อมมีรอยเท้าเพียงสามคนเท่านั้น”
เอี้ยวเซียวได้ยินเช่นนั้น รีบส่งเสียงกล่าวสนับสนุนขึ้นทันทีว่า
“ถูกต้องของท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียวเห็นด้วยกับท่าน ท่านอาจารย์มีความมีคิดอ่านปราดเปรื่องนัก เพื่อเป็นการยันยันความบริสุทธิ์แก่สองอาวุโสผู้ล่วงลับ จึงต้องรบกวนท่านอาวุโสหวง กับท่านอาวุโสทิแล้ว ท่านผู้เฒ่าทั้งสองเหมาะสมยิ่ง ที่จะเป็นผู้พิสูจน์ร่องรอยหลักฐานนี้”
ขอทานเฒ่าทั้งสองมิรอช้า รีบปรี่เข้าไปตรวจสอบร่องรอยในทันที ในที่เกิดเหตุมีเพียงรอยเท้าสามรอยจริง ๆ หนึ่งนั้นย่อมเป็นรอยเท้าของผู้ตายผู้เฒ่าโอ่ว สองนั้นเป็นรอยเท้าผู้ใด? ไปมิได้ รอยเท้าของเอี้ยวเซียวนั้นเอง แล้วรอยเท้าที่สามเล่า? เป็นรอยเท้าของผู้ใด? ทุกคนใจจดจ่อรอคอยคำตอบ
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เหลียวสบสายตากับเอี้ยวเซียวผู้เป็นศิษย์วูบหนึ่ง เอี้ยวเซียวปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก รอยยิ้มที่มิมีผู้ใด? ทันสังเกตเห็น แต่กระนั้นไม่อาจหลุดรอดสายตาของเยี่ยนผิงไปได้ เนื่องด้วยนางจับจ้องมองมายังเอี้ยวเซียวตั้งแต่แรก มิมีผู้ใด? ทันสังเกตเห็นเช่นกัน
ความผิดถูกป้ายไว้ที่ผู้ตายแต่แรก อีกทั้งหลักฐานยืนยันแน่นหนา ต่อให้ผู้เฒ่าแปดหว่านฉีท่านยังไม่ตาย อุบายไม้นี้ของเอี้ยวเซียวยังยากที่ท่านจะพ้นมลทิน แต่ทว่าผู้เฒ่าแปดหว่านฉีท่านมิมีชีวิตแล้ว คนมีชีวิตจึงพูดออกมาได้ คนตายมิอาจเอ่ยปาก หมากตานี้ช่างร้ายกาจยอดเยี่ยมถึงที่สุด อาจเรียกว่าหมากตายบนกระดานเป็นนับว่าได้
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ กับผู้เฒ่าเก้าทิกว่อ ต่างพากันกรามค้างขากรรไกรแข็ง ขยับปากกล่าวคำพูดใดมิได้ไปชั่วขณะ รอยเท้าที่สามในที่เกิดเหตุเป็นรอยเท้าผู้เฒ่าแปดหว่านฉี มีเพียงผู้เฒ่าแปดหว่านฉีจึงสามารถเหยียบย่ำยังสถานที่นี้ ผู้อื่นหาได้แปลกปลอมเข้ามาเหยียบย่ำได้ ดังนั้นในเวลานี้ท่านกลายเป็นคนร้ายฆ่าคนไปโดยสมบูรณ์แล้ว
ในเมื่อท่านกลายเป็นคนร้ายฆ่าคน ไฉนท่านจึงถูกฆ่าโดยเข็มพิษในตอนท้าย เงื่อนงำอำพรางยังมิทันกระจ่าง เยี่ยนผิงนางขยับร่างก้าวเดินแล้ว นางเดินสำรวจจนทั่วบริเวณ มีร่องรอยเพียงสามรอยจริง ๆ แต่ที่นางหามิใช่รอยเท้าสามรอยนั่น ผู้เฒ่าลู่ก่อนตายทิ้งอักษรบนคบไม้ไว้ว่า "เอี้ยว” นางภาวนาในใจต่อดวงวิญญาณของผู้เฒ่าโอ่ว ขอให้ท่านทิ้งอักษรเอาไว้เช่นกัน บนไม้เท้าลำไม้ไผ่อาวุธคู่กายของท่าน เยี่ยนผิงภาวนาขอให้เป็นไปเช่นนั้น
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564