Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ชักศึกเข้าสำนัก)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ชักศึกเข้าสำนัก

  • 25/08/2565

ตอนที่ 134

ชักศึกเข้าสำนัก

เทียนจิ้งกับเฟิ่นมู่เหอ กลับมาถึงโรงเตี๊ยม แต่พวกเขามิได้เข้ามาทางด้านหน้าประตูใหญ่ ทั้งสองกระโดดปราดขึ้นทางระเบียงด้านข้าง เคาะบานหน้าต่างเป็นสัญญาณ ผู้ที่อยู่ด้านในแง้มบานหน้าต่างเปิดออก เป็นหนานตี้นั่นเอง ทั้งสองรีบมุดร่างเข้าไปด้านในทันที เมื่อปิดบานหน้าต่างลงแล้ว ทุกคนต่างมารวมตัวกันยังห้องนี้

เทียนจิ้งกับเฟิ่นมู่เหอสลับกันบอกเล่าเรื่องราวที่ได้ไปประสบพบมา ดังนั้นทุกคนจึงสรุปเห็นตรงกันว่า ดรุณีอ่อนวัยซึ่งพักอยู่ห้องสุดท้าย ต้องเป็นเอี้ยวเซียวอย่างแน่นอน

เอี้ยวเซียวลงจากเขาหมื่นเซียน เดินทางไกลหลายร้อยลี้มาพบกับสองเฒ่าดำขาวประหลาด สองเฒ่าชราแต่ใบหน้าทารก มันทั้งสองมีอุปนิสัยใจคอเป็นเยี่ยงไร? ใช่เป็นคนดีหรือเป็นคนร้าย

ทั้งหมดสรุปความเห็นว่า ยังคงอย่าเพิ่งเปิดเผยตัวต่อหน้าเอี้ยวเซียว เอาไว้ผ่านงานสำคัญวันวิวาห์ของเยี่ยนผิงไปก่อน ค่อยปรึกษาหารือกันว่าจะสืบสาวเรื่องราวความเป็นมาต่อไป

ดังนั้นทั้งหมดแยกย้ายกันเข้าห้องพักผ่อน รุ่งเช้าจะออกเดินทางกันตั้งแต่ฟ้ายังมิสาง เพื่อเดินทางไปสำนักมารสวรรค์เขาหมางซาน ร่วมงานสำคัญของเหยาเยี่ยนผิงกับมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ในที่นั่นพวกเขาหวังว่าจะได้เจอกับจ้าวจ่านจือ ประมุขน้อยจะได้บอกเล่าเรื่องราวที่พบเห็นมาให้เขาได้รับทราบด้วย

เส้าหลิน

เช้านี้ฟ้าสางอรุณรุ่ง วันนี้เป็นวันเพ็ญเก้าค่ำเดือนยี่ หลังทำกิจวัตรประจำวันของสงฆ์เสร็จสิ้นแล้ว ฝู่เสียงกับฝ่าเสียงถูกเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือเรียกตัวเข้าพบยังโบสถ์หลังใหญ่ ด้านหน้าองค์พระประธานองค์ใหญ่ เต้าเฉียนไต้ซือนั่งหลับตาพริ้มในท่าขัดสมาธิ เมื่อได้ยินเสียงของฝู่เสียงกับฝ่าเสียงเดินเข้ามา ท่านจึงลืมตาขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า

“ฝู่เสียง ฝ่าเสียง เจ้าทั้งสองนั่งลง”

ฝู่เสียงกับฝ่าเสียงรีบคุกเข่าลงพร้อมกับก้มกราบผู้เป็นเจ้าอาวาส ส่วนฝู่เสียงนั้นท่านเต้าเฉียนไต้ซือเป็นอาจารย์ของมันด้วย ทั้งสองเมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เต้าเฉียนไต้ซือเจ้าอาวาสส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“มิทราบเจ้าทั้งสองทราบหรือไม่? ถู่ฝูศิษย์พี่ของพวกเจ้าหายหน้าไปที่ใด? อาจารย์มิเห็นหน้ามันหลายวันแล้ว”

ฝู่เสียงหันมองหน้าฝ่าเสียงแล้วส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าฝู่เสียง มิเห็นหน้าศิษย์พี่ถู่ฝูหลายวันแล้วเช่นกัน มิทราบว่าศิษย์พี่มีธุระอันใดเร่งด่วนหรือไม่? จึงลงเขาไปโดยมิได้แจ้งให้ผู้ใดได้รับทราบ แม้แต่ท่านอาจารย์กับศิษย์น้องก็ยังมิได้บอกกล่าว คงจะรีบร้อนจนหลงลืมบอกกล่าวไปกระมัง?”

จากนั้นศิษย์น้องฝ่าเสียงส่งเสียงออกความเห็นบ้างว่า

“อาจเป็นเช่นศิษย์พี่กล่าวเมื่อครู่ แต่ระยะหลังข้าพเจ้ามักเห็นศิษย์พี่ถู่ฝูมีท่าทีแปลก ๆพิกลอยู่บ้าง และมักจะลงเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่มิทราบว่าไปยังสถานที่ใด?”

จากนั้นท่านเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือ ส่งเสียงกล่าวกับฝู่เสียงและฝ่าเสียงว่า

“เจ้าทั้งสองหากพบศิษย์พี่เจ้ากลับมา ให้มันรีบเข้ามาพบเราโดยพลัน นอกจากนั้นเรายังมีเรื่องบางประการมิอาจสันนิษฐานไปในทิศทางที่ดีได้ ระยะนี้เชิงเขาเราเส้าหลิน มีบุคคลแปลกหน้า มิทราบว่าเป็นคนจากสารทิศใด? ดูไปมิใช่คนชนชั้นธรรมดา ประกายสายตาแม้งำประกาย แต่มิอาจปกปิดศักดิ์ศรีมีวิชาติดตัว น่ากลัวว่าอาจมีการเคลื่อนไหวใดในยุทธภพ ศิษย์พี่เจ้าหายหน้าไป อาจบางทีไปสืบสาวเรื่องราวเหล่านี้ก็อาจเป็นไปได้”

ฝู่เสียงกับฝ่าเสียงได้ยินเช่นนั้น พลันเกิดความสงสัย ไฉนท่านเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือจึงทราบความเคลื่อนไหวด้านล่างเชิงเขา ฝู่เสียงรีบส่งเสียงกล่าวถามว่า

“ท่านอาจารย์ทราบได้เช่นไร? ว่ามีความเคลื่อนไหวของบุคคลแปลกหน้าเชิงเขาเส้าหลิน”

เต้าเฉียนไต้ซือกล่าวตอบว่า

“เส้าหลินได้รับเทียบเชิญให้ไปร่วมงานมงคล เพ็ญเก้าค่ำเดือนยี่ที่สำนักมารสวรรค์ เราได้มอบหมายให้ศิษย์เส้าหลินสิบสามคน เป็นตัวแทนเส้าหลิน นำของขวัญไปมอบพร้อมกับร่วมงาน แต่ทว่ามีศิษย์คนหนึ่งเกิดท้องเสียกะทันหันระหว่างทาง จึงขอปลีกตัวเดินทางกลับวัด ระหว่างทางพบเห็นผู้คนแปลกหน้าท่าทีแปลกประหลาดจำนวนหนึ่ง จึงได้นำมารายงานต่อเราให้ได้รับทราบ”

ฝ่าเสียงรีบกล่าวถามขึ้นบ้างว่า

“โดยปกติเชิงเขาเส้าหลิน มิค่อยมีผู้ใดอาศัยเท่าใดนัก จะมีก็เพียงผู้ที่เดินทางผ่านไปมาเท่านั้นเอง หรือจะเป็นบรรดาชาวยุทธจักร ซึ่งเดินทางผ่านมา เพื่อจะเดินทางไปร่วมงานมงคลยังสำนักมารสวรรค์ หรือท่านเจ้าอาวาสคิดว่ามีสิ่งใดผิดปกติเช่นนั้นรึ?”

เต้าเฉียนไต้ซือแสดงสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก กล่าวตอบว่า

“หากเป็นเช่นเจ้าว่า เราก็ค่อยเบาใจ แต่ถึงเช่นไรป้องกันเอาไว้ย่อมประเสริฐ ฝ่าเสียงเจ้าไปลั่นระฆังเรียกประชุม”

จากนั้นเต้าเฉียนไต้ซือหันมากล่าวกับฝู่เสียงว่า

“ฝู่เสียง เจ้ารีบไปกราบอาวุโสท่านไต้ซือเหยียนเจี๋ยพร้อมกับอาวุโสคุ้มกฎทั้งสาม เรียนกับท่านตามที่เราบอกกล่าวเข้าใจหรือไม่?”

ฝู่เสียงพยักหน้าพร้อมกับกล่าวคำหนักแน่นรับปาก จากนั้นรีบก้าวเท้าพุ่งร่างไปยังด้านหลังเขา อันเป็นที่สงบมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนหากมิมีเรื่องราวใดเร่งด่วน ด้านหลังเขานี้ยังเป็นที่บำเพ็ญเพียรเก็บตัวของเหล่าหลวงจีนอาวุโสอีกด้วย ซึ่งหลวงจีนเหล่านั้นน้อยครั้งที่จะยอมออกมาปรากฏกายให้ได้เห็น รวมทั้งด้านหลังเขานี้ยังมีสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่กักตนฝึกยุทธ์ของอดีตเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซืออีกด้วย

เชิงเขาเส้าหลิน

ด้านหนึ่งลับสายตาผู้คน ผู้คนกลุ่มหนึ่ง ผู้คนกลุ่มนี้กำลังสนทนาปรึกษาเรื่องราวมิเปิดเผยบางประการ เรื่องราวบางประการย่อมมิใช่เรื่องราวอันดี มิเช่นนั้นคงมาทำลับ ๆล่อ ๆ มองด้วยสายตาเปล่า คาดเดาได้ราวยี่สิบถึงสามสิบคน

คนกลุ่มนี้กำลังวางแผนการ ฉันพลันทันใดนั้น คนผู้หนึ่งโลดแล่นละลิ่วมา เมื่อเห็นชัดเป็นถู่ฝูนั่นเอง เมื่อหยุดร่างวางเท้า ประสานมือแล้วกล่าวคำทักทาย

“ข้าพเจ้าถู่ฝู ขอคารวะท่านอาจารย์อา ท่านเจ้าอสูรโลกันตร์ ท่านม้อเต็กไต้ซือ ท่านเสิ่นซื่อสูอวี้ รวมทั้งท่านผางกว่าน ข้าพเจ้าเดินทางมาล่าช้าต้องขออภัย”

เจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อรีบส่งเสียงกล่าวว่า

“ถู่ฝู เจ้ามาก็ดีแล้ว เหตุการณ์ทางด้านสำนักอสูรโลกันตร์เป็นเช่นไรบ้าง? ประมุขน้อยจ่านจือฮุบเหยื่อติดเบ็ดแล้วใช่หรือไม่?”

ถู่ฝูพยักหน้าพร้อมกับกล่าวตอบว่า

“ประมุขน้อยจ่านจือ ต่อจากนี้ไม่เหลือเกียรติภูมิของประมุขยุทธภพอีกแล้ว แม้แผนการมิได้เป็นไปดั่งที่ได้วางเอาไว้เท่าใดนัก แต่ข้าพเจ้าได้ทำลายวรยุทธ์พร้อมทั้งทำลายเอ็นแขนขาหักกระดูกไปสิ้นแล้ว ไม่แน่นักว่าจะสามารถรักษาลมหายใจเอาไว้ได้”

เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันโพล่งถามทันควันว่า

“มีเรื่องราวเช่นนี้จริง ๆ”

“มิผิดพลาดแน่นอน มีเรื่องราวเช่นนี้จริง ๆ”

ถู่ฝูรีบกล่าวตอบยืนยันแล้วรีบกล่าวต่อว่า

“จำเดิมตามแผนการที่วางไว้ เพียงใช้ยาสลายพลังกับมัน แล้วใช้แผนบังคับให้มันแต่งภรรยาสักสองคน อุตส่าห์สร้างฉากละครตบตาเรื่องราวหนึ่ง เพื่อสร้างเรื่องราวเข้าใจผิด เพื่อพิชิตใจหญิงงามของนายน้อยมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง สุดท้ายแผนการถูกทำลายไปสิ้น ตอนข้าพเจ้าจากมา ยังมิเห็นหน้ามันกับเยี่ยเหว่ยและจางจิ้งเลย”

เรื่องมิอาจผิดพลาดได้ ต้องมีเรื่องราวใดเกิดขึ้น เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกล่าวถามทันที

“มีเรื่องราวใดเกิดขึ้น? ท่านรีบบอกเล่ารายละเอียด อย่าได้มีเรื่องราวตอนหนึ่งตอนใดตกหล่นเป็นอันขาด”

ถู่ฝูมันบอกเล่าเรื่องราวยืดยาวอย่างละเอียด โดยเฉพาะเฒ่าชราผมยาวขาวโพลนผู้นั้น ซึ่งลงมือต่อมันจนลนลาน เฒ่าชราผู้นั้นเป็นผู้ใดกันแน่? เมื่อบอกเล่าเรื่องราวจบลง มันรีบเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“มิทราบว่าอาวุโสท่านใด? พอจะทราบหรือรู้จักเฒ่าชราผมยาวขาวโพลนผู้นั้นบ้าง?”

ทุกคนเงียบงัน ต่างมิทราบว่าเฒ่าชราผู้นั้นเป็นใคร? มีเพียงเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน มันคล้ายกับนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา คนผู้หนึ่งซึ่งชื่นชอบการดื่มสุรา กับบุคคลอีกสองคนเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งบุคคลทั้งสามน่าจะมีวัยล่วงเลยเกินร้อยปีแล้ว นอกเหนือจากบุคคลทั้งสามแล้วมันยังนึกไม่ออก ว่าในยุทธภพจะมียอดฝืมือที่มีวัยชราเพียงนี้ และมีพลังฝีมือแทบน่าตระหนกถึงเพียงนี้ ไม่แน่นักว่าอาจจะมีนอกเหนือจากนี้

เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันส่งเสียงกล่าวถามว่า

“เราเองไม่ค่อยมั่นใจกระไรนักว่าจะเป็นมัน เอาไว้เสร็จงานกำจัดวัดเส้าหลินแล้ว เราค่อยสืบสาวเรื่องราวของบุคคลผู้นี้”

ต๊กม้อเต็กไต้ซือส่งเสียงกล่าวบ้างว่า

“ถูกต้อง อาตมาล้วนเห็นด้วยกับท่าน งานสำคัญคือกำจัดเส้าหลิน เรื่องราวนอกเหนือจากนี้เก็บไว้ในภายหลัง”

เสิ่นซื่อสูอวี้กล่าวว่า

“อาจบางทีข้าพเจ้าอาจจะเคยรู้จักคนผู้นี้อยู่บ้าง เอาไว้เสร็จงานใหญ่แล้วค่อยสืบสาวเถิด”

จากนั้นเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อชิงกล่าวว่า

“เวลานี้พวกเราควรให้ถู่ฝูรีบเดินทางขึ้นเส้าหลินก่อน คาดว่าเส้าหลินคงยังมิระแคะระคาย เกี่ยวกับเรื่องราวที่ถู่ฝูเป็นหนอนบ่อนไส้ให้กับฝ่ายเรา”

ทั้งหมดพยักหน้าเห็นพ้อง ถู่ฝูกล่าวว่า

“เช่นนั้นข้าพเจ้าจะรีบรุดขึ้นเขาไปก่อน พวกท่านทั้งหลายค่อยติดตามมาภายหลัง ข้าพเจ้าจะคอยดูลาดเลาหากสบโอกาสจะส่งข่าวกลับมา พร้อมกับลอบให้ความช่วยเหลือ หากภายในวัดเส้าหลินมีความเคลื่อนไหวใด? จะได้แก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที”

กล่าวจบถู่ฝูพุ่งร่างจากไปทิศทางขึ้นเขาเส้าหลิน ท่าร่างของมันเวลานี้ช่างน่ากลัวกว่ากาลก่อนมากนัก

ผ่านไปไม่เท่าไหร่นัก มันบรรลุถึงหน้าโบสถ์หลังใหญ่แล้ว มันเหลียวซ้ายแลขวาเห็นว่ามิมีผู้ใด? รีบสาวเท้าก้าวเข้าไปภายในทันที ภายในโบสถ์หลังใหญ่เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือ นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างองค์พระประธานสีทองเปล่งปลั่ง ด้านหน้าท่านเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือนั่งอยู่ด้วยฝู่เสียงและฝ่าเสียง นอกนั้นเป็นศิษย์พระลูกวัดอีกหลายสิบรูป

ถู่ฝูเมื่อก้าวเข้ามารีบคุกเข่าลงตรงหน้าท่านเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือ หลังจากกราบทำความเคาราพแล้ว มันจึงส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า

“ข้าพเจ้าถู่ฝูรีบรุดลงเขาไป มิได้บอกกล่าวแก่ท่านเจ้าอาวาส ทั้งยังมิได้บอกกล่าวต่อศิษย์น้องทั้งสองฝู่เสียงและฝ่าเสียง มิทราบเกิดเรื่องราวใดขึ้น? ไฉนจึงเรียกประชุมกันพร้อมหน้าเช่นนี้”

เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือ เมื่อเห็นถู่ฝูกลับมาค่อยคลายความกังวลลงไปได้บ้าง จากนั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ถู่ฝูเจ้ากลับมาล้วนประเสริฐ ถูกต้องเราเรียกประชุมเร่งด่วน ด้วยมีเรื่องสำคัญหารือ เจ้าเองลงเขาไปไฉนจึงไม่แจ้งให้ผู้ใดทราบ?”

เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือ มิต้องการสร้างความแตกตื่นให้กับเหล่าศิษย์ อีกประการท่านเองยังไม่มั่นใจกระไรนัก ว่าเรื่องราวที่ท่านเป็นกังวลใช่ถูกต้องหรือไม่? จากนั้นส่งเสียงกล่าวสืบต่อว่า

“แท้จริงมิได้มีอันใด ที่เราเรียกประชุมเร่งด่วน เนื่องด้วยมีเรื่องต้องการแจ้งให้แก่ทุกคนทราบ เป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น ทุกคนเมื่อได้ฟังแล้วอย่าเพิ่งได้แตกตื่นไป”

เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือส่ายสายตาไปมามองไปโดยทั่วแล้วกล่าวต่อว่า

“เรื่องแรกวันนี้เพ็ญเก้าค่ำเดือนยี่ สำนักมารสวรรค์เขาหมางซานมีงานใหญ่ เส้าหลินได้รับเทียบเชิญให้ไปร่วมอวยพร เราได้มอบหมายให้ศิษย์ซึ่งมีฝีมือกล้าแข็งสิบสามรูปเดินทางไปร่วมงาน แต่ทว่ามีอยู่รูปหนึ่งเดินทางกลับมาก่อน เนื่องด้วยปวดท้องกะทันหัน จึงเหลือเพียงสิบสองรูปเท่านั้นที่เดินทางไปร่วมงาน”

เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือเว้นช่วงจังหวะเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อว่า

“ผู้ที่เดินทางกลับมาเป็นซีบุ้น”

จากนั้นเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือหันไปทางหลวงจีนรูปหนึ่ง วัยใกล้เคียงกับถู่ฝู แล้วเรียกออกมาด้านหน้าพร้อมกับเอ่ยกล่าวว่า

“ซีบุ้น เจ้าลองบอกกล่าวออกมาให้แก่ทุกคนได้รับฟัง ว่าเจ้าไปพบพานกับเรื่องราวใดแปลกประหลาดมิปกติ”

หลวงจีนรูปที่ถูกเรียกหาเป็นซีบุ้น หลังจากก้าวออกมายืนด้านหน้า รีบประสานมือทำความเคารพเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือ พร้อมกับทักทายหลวงจีนรูปอื่น ๆแล้วส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าซีบุ้น ได้เดินทางไปร่วมงานมงคลยังสำนักมารสวรรค์ แต่ในระหว่างทางเกิดท้องเสียกะกันหัน จึงได้ขอตัวเดินทางกลับวัดเส้าหลินก่อน ระหว่างทางก่อนขึ้นเขาบังเอิญรู้สึกว่ามีบางอย่างน่าสงสัย เรื่องราวน่าสงสัยที่ว่า ข้าพเจ้าพบบุคคลแปลกหน้าแต่งกายรัดกุม มองเผิน ๆคล้ายเป็นเพียงชาวบ้านร้านถิ่นทั่วไป แต่ข้าพเจ้ากลับลอบสังเกตออก ผู้คนแปลกหน้าจำนวนนั้นต่างเก็บงำประกาย คล้ายมีวิทยายุทธ์ติดตัวมิใช่ชั่ว หลังจากสะกดรอยติดตามระยะหนึ่ง มั่นใจว่าคนกลุ่มนี้มุ่งหน้ามาเส้าหลิน จึงได้รีบนำเรื่องราวมาแจ้งแก่ท่านเจ้าอาวาสให้รับทราบ”

เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือส่งสัญญาณให้หลวงจีนซีบุ้นกลับเข้าไปนั่งได้ จากนั้นส่งเสียงกล่าวว่า

“ถู่ฝูเจ้าเพิ่งเดินทางขึ้นเขามา พบเรื่องราวใดผิดปกติมาบ้างหรือไม่?”

ถู่ฝูรีบส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ตลอดทางที่ข้าพเจ้าเดินทางขึ้นเขามา มิพบเรื่องราวใดเช่นที่ซีบุ้นกล่าวเมื่อครู่ จะมีก็เพียงแต่เหล่าชาวยุทธจักร ซึ่งเดินทางไปร่วมงานสำคัญยังสำนักมารสวรรค์เท่านั้นเอง”

ถู่ฝูเมื่อกล่าวตอบแล้ว มันรีบกล่าวถามต่อทันทีว่า

“แท้จริงสำนักมารสวรรค์ เป็นสำนักมารอธรรม เราเส้าหลินเป็นฝ่ายธัมมะ มิทราบว่าท่านเจ้าอาวาสมีเหตุผลอันใด? ให้ศิษย์ของวัดเส้าหลินเดินทางไปร่วมงานในครั้งนี้”

ถู่ฝูจงใจเปลี่ยนเรื่องราว กล่าวถามถึงเหตุผลซึ่งท่านเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือ มอบหมายให้เหล่าศิษย์สิบสองรูปเดินทางไปร่วมงาน เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือกล่าวตอบว่า

“จริงของเจ้า เส้าหลินเราเป็นฝ่ายธัมมะ ถึงแม้นนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางอยู่คนละฝ่ายกับเรา น้ำบ่อมิอาจปะปนกับน้ำคลอง แต่เรากลับมีเหตุผลว่า เราไม่ควรแสดงความแข็งกร้าวปัดปฏิเสธนางไปตรง ๆอย่างน้อยในงานนี้ สมควรมีเหล่าชาวยุทธ์คุณธรรมจากหลายสำนัก เดินทางไปร่วมงานด้วยเหตุผลเดียวกัน ถู่ฝูเจ้ามีความคิดเห็นเป็นเช่นไร?”

เมื่อได้ยินเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือกล่าวถามเช่นนั้น ถู่ฝูรีบฉกฉวยโอกาสกล่าวคำเห็นด้วยว่า

“ท่านเจ้าอาวาสช่างหลักแหลมด้วยสติปัญญา ข้าพเจ้าถู่ฝูมิมีเหตุผลอื่นนอกเหนือไปจากนี้”

กล่าวจบถู่ฝูดีดลูกคิดรางแก้วในใจ คำนวณเวลาว่าในเวลานี้ขบวนของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันคงเดินทางใกล้ถึง จึงรีบฉวยโอกาสอีกครั้งกล่าวกับเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือว่า

“หากมิมีสิ่งใดแล้ว ข้าพเจ้าถู่ฝูเพิ่งเดินทางกลับมาถึง ขอตัวไปชำระร่างกายผลัดเปลี่ยนชุดจีวรใหม่ แล้วจะรีบกลับออกโดยเร็วที่สุด”

เต้าเฉียนไต้ซือเห็นว่ามันเพิ่งเดินทางกลับมาจริง ๆ ดังนั้นพยักหน้าต่อมัน ถู่ฝูมิมัวรีรอชักช้ารีบก้าวเท้าออกไปจากสถานที่นั้นทันที

ลับหลังมันไปไม่เท่าใดนัก หลวงจีนรูปหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เมื่อหยุดเท้าส่งเสียงแจ้งแก่เต้าเฉียนไต้ซือว่า

“เรียนท่านเจ้าอาวาส ลานกว้างทางขึ้นเส้าหลิน มีขบวนคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินทางขึ้นมา ดูท่าทางมิได้มาดีอย่างแน่นอน ตอนนี้เหล่าศิษย์จำนวนหลายสิบรูปกำลังออกไปสกัดขัดขวางเอาไว้ ขอท่านเจ้าอาวาสรีบรุดออกไปชมดูเถิด”

เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือ มีปฏิกิริยาเยือกเย็นสุขุม รีบลุกขึ้นแล้วหันมากล่าวกับฝู่เสียงและฝ่าเสียงว่า

“หากเราคำนวณแล้วมิผิดพลาดสมควรเป็นเช่นนี้ เจ้าทั้งสองผู้หนึ่งรีบไปตามถู่ฝู แจ้งเรื่องนี้แก่มัน ฝากบอกกับมันว่าหากมีเรื่องราวใดไม่ธรรมดา อย่าได้หุนหันวู่วามเป็นเด็ดขาด ให้คอยเฝ้าระวังอยู่เพียงห่าง ๆเท่านั้น หากเรื่องราวมิอาจคลี่คลายได้ ให้พวกเจ้าพาศิษย์ที่เหลือทั้งหมด หลบเข้าช่องทางลับหลังเขา จากนั้นปิดตายปากทางเข้าเสีย หลังเขาอีกฟากหนึ่งมีทางออก รีบเดินทางไปแจ้งแก่สำนักฝ่ายธัมมะให้รับทราบอย่าได้ชักช้า”

ฝู่เสียงกับฝ่าเสียงยังมิทันขยับริมฝีปากส่งเสียง เต้าเฉียนไต้ซือพลิ้วร่างจากไปดุจหมอกควันกลุ่มหนึ่ง จนร่างหายวับไปจากคลองจักษุแล้ว

ลานกว้างทางขึ้นวัดเส้าหลิน ขบวนของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเดินทางมาถึง ด้านหลังยังติดตามมาด้วยเหล่ามือดีอีกจำนวนหนึ่ง

ศิษย์เส้าหลินราวสามสิบกว่ารูป ตั้งกำแพงหน้ากระดานสามแถว ในมือยังเพิ่มไม้พลองตระเตรียมพร้อม กฎวัดเส้าหลินหากมิได้รับอนุญาต จะมียอมให้ผู้ใดก้าวขึ้นวัดเส้าหลินเป็นอันขาด

เจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อ ส่งเสียงหัวร่อฮา ๆพร้อมกับส่งเสียงกล่าวดังว่า

“พวกเจ้าหลงลืมอาจารย์อาผู้นี้ไปหมดแล้วเช่นนั้นรึ? ไฉนจึงได้เสียมารยาทให้การต้อนรับต่ำทรามถึงเพียงนี้ ทางที่ดีจงรีบหลีกทางให้แก่เรา หากมิเช่นนั้นเราจะมิไว้หน้าพวกเจ้า ว่าเคยเป็นศิษย์อาจารย์ร่วมสำนักกันมาก่อน”

กล่าวจบคำ เสียงหนึ่งดังสอดขึ้นมาแต่ไกลโดยที่ร่างยังบรรลุมาไม่ถึงว่า

“เทียนเกา ที่แท้เป็นเจ้าเอง เจ้าเป็นศิษย์ทรยศเส้าหลิน วันนี้เดินทางขึ้นเส้าหลินมีธุระสำคัญอันใดเช่นนั้นรึ?”

สิ้นเสียงร่างของเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือพุ่งมาถึง ในมือถือไม้เท้าพระธรรม ซึ่งเป็นอาวุธคู่กายของเจ้าอาวาสเส้าหลินทุกรูป เมื่อทิ้งเท้าลงอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา ยังเบื้องหน้าของขบวนเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน

เจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อ หรือศิษย์ทรยศเทียนเกา ซึ่งมีฐานะเป็นศิษย์น้องของท่านอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือ มันส่งเสียงหัวร่อก้องกังวานแล้วกล่าวตอบว่า

“ศิษย์พี่รอง ท่านอุตสาห์ออกหน้ามาต้อนรับ อ้อ คงเรียกศิษย์พี่รองมิได้แล้วสินะ? ท่านเป็นถึงท่านเจ้าอาวาสแล้ว ข้าพเจ้าเทียนเกาขอน้อมคารวะ”

เจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อใช้น้ำเสียงราบเรียบแฝงความเย้ยหยัน จากนั้นกล่าววาจาสืบต่อว่า

“เมื่อครู่ท่านกล่าวถาม ว่าข้าพเจ้าเดินทางขึ้นเส้าหลิน มีธุระสำคัญอันใด? ท่านกล่าวถามได้ประเสริฐ ธุระของข้าพเจ้าสำคัญและรีบร้อนยิ่ง ไม่อาจชักช้าเสียเวลาได้แม้แต่น้อย”

เจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินส่งเสียงหัวร่อฮา ๆอีกครั้ง พร้อมกล่าวอีกว่า

“มิทราบว่าศิษย์วัดเส้าหลินมีเพียงหยิบมือเพียงนี้เองรึ? ไฉนจึงไม่เรียกมาพร้อมหน้าในคราเดียว ฝ่าเสียงศิษย์ของข้าพเจ้าเล่า? เขามัวทำกระไรอยู่ อาจารย์ของมันเดินทางมาถึง มันยังไม่รีบรุดออกมาต้อนรับอีกเช่นนั้นรึ?”

เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือกล่าวตอบว่า

“คนบาปหนากิเลสเกาะกินจิตใจเยี่ยงเจ้า คงมิมีวาสนาได้เป็นอาจารย์ของผู้ใด? ฝ่าเสียงคงจะละอายขายหน้าไม่อยากออกมาพบหน้าคนเช่นเจ้า มีธุระอันใดจงรีบบอกกล่าวออกมา”

เจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อกล่าวว่า

“เช่นนั้นข้าพเจ้ามิต้องพิธีรีตอง และมิต้องรักษามารยาทเกรงอกเกรงใจท่าน วันนี้ข้าพเจ้าพาสหายคุ้นหน้ามาเยี่ยมเยียนท่านและเส้าหลิน แท้จริงพวกเราล้วนเป็นคนคุ้นเคย อย่าให้ถึงกับลงไม้ลงมือ ขอเพียงท่านทำลายวรยุทธ์ตนเองเสีย แล้วยกตำแหน่งเจ้าอาวาสให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารับปากต่อท่านว่าจะไม่สร้างความเสียหายให้แก่คนและวัดเส้าหลินแม้แต่ปลายขน”

เต้าเฉียนไต้ซือทราบแน่ว่าอดีตศิษย์ผู้น้องเทียนเกามิได้มาดี แถมยังชักนำเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ต๊กม้อเต็กไต้ซือจากทิเบต เสิ่นซื่อสูอวี้ ผางกว่าน พร้อมกับเหล่ามือดีอีกจำนวนหนึ่ง หนทางรับมือจึงค่อนข้างหนักหนาสาหัสนัก

เต้าเฉียนไต้ซือได้แต่หวังว่า ฝู่เสียงและฝ่าเสียงรวมทั้งถู่ฝูจะมิวู่วาม ยอมทำตามที่ท่านสั่ง นำศิษย์ที่เหลือทั้งหมดหลบเข้าช่องทางลับหลังเขาแล้วปิดตาย จากนั้นเดินไปตามทาง จะพบกับปากทางออกอีกช่องทางหนึ่งอีกฟากหลังเขาลูกหนึ่ง

ทางด้านฝู่เสียงกับฝ่าเสียงกลับมีความคิดเป็นของตนเอง ทั้งสองทราบแล้วว่ากลุ่มคนที่บุกรุกวัดเส้าหลินมิได้มาดี ทั้งสองมิอาจหักใจทิ้งอาจารย์และวัดเส้าหลินไปได้ ทั้งสองไม่รักตัวกลัวตายแม้แต่น้อย เพียงไม่ต้องการให้ศิษย์คนอื่น ๆต้องได้รับคราวเคราะห์ในครั้งนี้ ดังนั้นจึงตกลงใจพาเหล่าศิษย์ทั้งหมดเข้าช่องทางลับหลังเขา เมื่อเหล่าศิษย์เข้าไปจนหมดสิ้นแล้ว ทั้งสองผลักหินใหญ่ปิดปากทางเข้าทันที

ทั้งสองรีบหันกายหมายวิ่งออกไปยังลานกว้างทางขึ้นเส้าหลิน ถู่ฝูพลันถลันออกมาขวางหน้าเอาไว้เสียก่อน ฝู่เสียงกับฝ่าเสียงยังไม่ทราบว่าภัยกำลังมาถึงตัว ฝู่เสียงส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านก็อยู่ที่นี่เอง ท่านอาจารย์เกิดเรื่องราวแล้ว พวกเราส่งเหล่าศิษย์ไปที่ปลอดภัยแล้ว กำลังจะติดตามออกไปดูเหตุการณ์ ท่านเองรีบรุดไปช่วยเหลือท่านอาจารย์อีกแรงเถิด”

กล่าวจบฝู่เสียงกับฝ่าเสียงก้าวเท้าจะวิ่งออกไป ถู่ฝูใช้ร่างขวางไว้พร้อมกับส่งเสียงกล่าวว่า

“พวกเจ้าจะรีบร้อนออกไปไยกัน ปล่อยให้ท่านอาจารย์รับมือไปก่อนจะไม่ดีกว่าดอกรึ?”

ฝ่าเสียงตะคอกถามออกไปทันที เมื่อได้ยินวาจาผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ถู่ฝู มันแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกล่าววาจากระไร?”

ถู่ฝูส่งเสียงราบเรียบตอบว่า

“พวกเจ้าสิกล่าววาจากระไร? พวกเจ้าออกไปก็ต้องเจ็บตัว มิสู้รอดูไปก่อน คอยดูสถานการณ์ ฝ่ายไหนได้เปรียบพวกเราค่อยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์”

ฝู่เสียงตะคอกถามกลับฉับพลันว่า

“ศิษย์พี่ ที่ท่านกล่าววาจาเมื่อครู่หมายความว่าเช่นไร?”

ถู่ฝูแสดงสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาดุจน้ำแข็ง มันแสดงสีหน้าราวกับมิมีเรื่องราวใดเกิดขึ้น มันส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าย่อมหมายความตามที่พูด ท่านทั้งสองเป็นศิษย์น้องของข้าพเจ้า เห็นแก่ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน หากท่านทั้งสองยังอยากมีลมหายใจสืบไป พวกท่านทั้งสองจงเชื่อฟังคำสั่งของข้าพเจ้า”

ฝู่เสียงกับฝ่าเสียงจ้องมองหน้ามันเขม็งคล้ายจะกัดกินเนื้อก็มิปาน ทั้งสองเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ศิษย์พี่ของมันทั้งสองระยะหลังมีท่าทีแปลก ๆมักจะหายหน้าไปจากวัดอยู่บ่อยครั้ง ที่แท้ศิษย์พี่ของพวกมันเป็นหนอนบ่อนไส้ ชักนำศึกเข้าสำนักนั่นเอง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

 

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป