ตอนที่ 49
ศึกชิงเจ้ายุทธจักร
ดังนั้นภาพที่จ่านจือยังคงยืนสงบนิ่งโดยไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด สร้างความตื่นตระหนกและประหลาดใจแต่ผู้พบเหตุการณ์เป็นที่สุด ตัวเขาเองก็อดแปลกประหลาดใจมิได้เช่นกัน เมื่อเห็นเหล่าจอมยุทธ์ต่างมีอาการผิดปกติต่อบทเพลงคร่าวิญญาณของเยิ่นหว่อถิง แต่เพียงวูบเดียวเขาพอคาดเดาเรื่องราวได้โดยคร่าว ๆ ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับบทเพลงของมารน้อยผู้นี้ เมื่อรับทราบเช่นนั้นจึงมิอาจชักช้าอีกต่อไปจะต้องทำลายบทเพลงคร่าวิญญาณของเยิ่นหว่อถิงในทันที
จ่านจือจึงเริ่มวาดมือวางเท้าเร่งเร้าพลังลมปราณขึ้นภายในร่าง จากนั้นเคลื่อนย้ายร่างด้วยท่าเท้าในวิชากระสวยฟ้าตาข่ายด้ายแดงเข้าหาเยิ่นหว่อถิงด้วยความเร็วสุดบรรยาย แล้วฝ่ามือทั้งสองร่ายรำกรีดกรายสวยงามถึงที่สุด เป็นการประยุกต์ใช้วิชากระสวยฟ้าตาข่ายด้ายแดงเข้ากับวิชาดาวดึงส์ ในท่าที่สี่นามว่าขยี้ดาวใต้แสงจันทร์เข้าใส่ร่างมารน้อยเยิ่นหว่อถิง เพื่อทำลายการบรรเลงบทเพลงคร่าวิญญาณของมัน
เยิ่นหว่อถิงเพียงกระพริบตาไม่กี่ครา พลันเห็นร่างของจ่านจือลอยอยู่ตรงหน้าแล้ว ฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาช่างขยายใหญ่โตจนสายตาพร่าพราย แถมความเร็วที่ใช้ช่างรวดเร็วจนชวนให้รู้สึกตระหนกแตกตื่นถึงที่สุด เยิ่นหว่อถิงรีบวางนิ้วมือจากด้ามขลุ่ยหยุดบรรเลงเพลงคร่าวิญญาณ ถอนขลุ่ยออกจากริมฝีปากที่อ้าค้างคล้ายขากรรไกรไม่ทำงานชั่วขณะ ดวงตาเบิกโพลงทำกระไรมิถูก แต่ถึงอย่างไรมันยังได้ชื่อว่าเป็นนักสู้อันโชกโชนรีบเกร็งพลังลมปราณขึ้นทั่วร่างแล้วบรรจุเข้าสู่ตัวขลุ่ยจนเปี่ยมล้น จากนั้นใช้กำลังทั้งหมดที่มีซัดขว้างขลุ่ยเงินต่างอาวุธเข้าใส่ร่างของจ่านจือโดยหวังผลในคราเดียว ในขณะเดียวกันเท้าหยิบยืมพลังพุ่งร่างถอยหลังอย่างร้อนรน
จ่านจือเองพอร่างใกล้บรรลุถึงเห็นขลุ่ยเงินขยายใหญ่โตขึ้นเป็นร้อยพันเท่า พุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าน่ากลัวถึงที่สุด แม้ร่างจะลอยอยู่กลางอากาศเขารีบเปลี่ยนฝ่ามือเป็นท่าที่ห้านามดาวทะยานฟ้าในวิชาดาวดึงส์เข้าใส่ด้ามขลุ่ยเงินอย่างแนบเนียน เสียงปงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณแล้วขลุ่ยเงินด้ามนั้นพลันเปลี่ยนทิศทางพุ่งวกกลับเข้าหาร่างเยิ่นหว่อถิงด้วยอัตราความเร็วยิ่งกว่า ติดตามด้วยจ่านจือใช้ท่าที่เจ็ดในวิชาดาวดึงส์ นามดาวสะกดจันทร์สุริยันอับแสงตามติดหนุนเสริมต่อเนื่อง ส่งผลให้ขลุ่ยเงินยิ่งทวีความเร็วขึ้นอีกเท่าตัว เยิ่นหว่อถิงแตกตื่นจนแทบฉี่ราดออกมา นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้พบพานกับความรู้สึกเช่นนี้
รู้แน่แก่ใจว่าคงมิอาจหลบรอดพ้นขลุ่ยเงินซึ่งเป็นอาวุธของตนเองได้พ้น ทันใดนั้นร่างหนึ่งพลันพุ่งออกมาดั่งวิญญาณผีภูตพรายแล้วใช้ออกด้วยวิชาภูผาผลักเมฆาเข้าสกัดขลุ่ยเงินด้ามนั้นของมันเอาไว้ เสียงปะทะของฝ่ามือในวิชาดาวดึงส์กับวิชาภูผาผลักเมฆาดังสนั่นอีกครา แต่ถึงจะลดความเร็วของขลุ่ยเงินเอาไว้ได้ แต่ความรุนแรงของปราณพลังของทั้งสองที่แตกกระจายออกมาส่งผลให้ร่างของเยิ่นหว่อถิงกระเด็นออกไปถึงห้าหกวา เมื่อร่างร่วงหล่นลงสู่พื้นถึงกับกระอักโลหิตออกมาคำโตสีหน้าขาวซีดดุจกระดาษสีขาวไร้หมึกแต่งแต้ม
ผู้ที่พุ่งร่างเข้ามาช่วยเหลือเยิ่นหว่อถิงเป็นเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันผู้เป็นอาจารย์ คนผู้นี้เมื่อเห็นศิษย์ของตนเพลี่ยงพล้ำสุดที่จะทนดูอยู่ได้ จึงพุ่งร่างเข้าขัดขวางช่วยเหลือโดยมิรอช้า หลังจากปะทะฝ่ามือกับจ่านจือแล้วชำเลืองดูศิษย์วูบหนึ่งจากนั้นคิดขึ้นในใจ ว่ามิอาจเก็บจ่านจือเด็กผู้นี้เอาไว้ได้อีกต่อไป อาศัยช่วงจังหวะนี้ลงมือในคราวเดียว เรื่องอื่นค่อยว่ากล่าวสะสางในภายหลัง จะอย่างไรก็ต้องฆ่าเขาให้จงได้
คิดแล้วมิรอช้าอาศัยที่สภาวะท่าร่างยังไม่หมดสิ้น เคลื่อนร่างเข้าหาจ่านจือฝ่ามือพุ่งออกด้วยวิชาที่ไม่มีผู้ใดคิดว่าจะได้เจออีกในยุทธภพ บรรดายอดฝีมือทั้งหลายส่งเสียงโดยพร้อมเพรียงว่า
“ฝ่ามือพญายม”
ยังมิทันจบสิ้นเสียงร้องของเหล่าผู้คนทั้งหลาย ต้าทงไต้ซือซึ่งอยู่ใกล้กับจ่านจือมากที่สุด พุ่งร่างเข้าหาเขาทางด้านหลัง ซึ่งมองเห็นเป็นเพียงภาพเลือนรางคล้ายหมอกควันกลุ่มหนึ่ง ส่วนจ่านจือมิได้ตระหนกแตกตื่น รีบผนึกรวมลมปราณในร่างพร้อมกับพุ่งฝ่ามือด้านขวาออกต้านรับท่าฝ่ามือของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน จอมมารอสูรผู้นี้เห็นดังนั้นส่งเสียงหัวร่ออย่างสาสมใจ ก่อนที่จะกู่ก้องคำรามแล้วกระแทกฝ่ามือข้างขวาเข้าใส่เขาซึ่งตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมืออยู่ก่อนแล้ว ฝ่ามือเจ้าอสูรโลกันตร์กับฝ่ามือของจ่านจืออยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งเชี๊ยะ เจ้าอสูรโลกันตร์ส่งเสียงดังก้องกังวานว่า
“เด็กทารกไร้สำนึกไม่เจียมตัวกล้าบังอาจรับฝ่ามือพญายมของข้าเชียวรึ? ก่อนที่เจ้าจะได้รับทราบความร้ายกาจคงจะสิ้นใจตายซะก่อนแล้ว แต่อย่าได้ห่วงถึงแม้นว่าอวัยวะภายในของเจ้าจะแหลกเละเป็นผุยผง แต่เจ้าจะมิทรมานแม้แต่น้อยนิด ข้าเจ้าอสูรโลกันตร์รับปากต่อเจ้าว่า ร่างกายภายนอกทุกรูขุมขนของเจ้า จะยังคงสภาพเรียบร้อยดีมิมีบาดแผลร่องรอยเป็นอันขาด”
กล่าวจบฝ่ามือของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน กดกระแทกใส่ฝ่ามือของจ่านจือพร้อมกับส่งเสียงออกมาว่า
“ตาย!”
เสียงบรรดายอดฝีมือทั้งหลายรวมทั้งชาวยุทธ์ที่กรูกันเข้ามา หลังจากบทเพลงคร่าวิญญาณของเยิ่นหว่อถิงสงบลง ต่างส่งเสียงร้องเรียกจ่านจือด้วยความตระหนกตกใจออกมาพร้อมเพรียงกัน
“จ่านจือ!”
เสียงฝ่ามือทั้งสองกระแทกดังทึบหนัก ๆคลื่นปราณพลังไร้สภาพแตกทะลักทะล้นปกคลุมคลี่ออกเป็นวงกว้าง เยี่ยนผิงกับไป่ชิงรวมถึงศิษย์ของสำนักต่าง ๆ ส่งเสียงร้องอุทานออกมา โดยคาดว่าครั้งนี้จ่านจือคงต้องประสบคราเคราะห์มากกว่าวาสนาอย่างแน่นอน บ้างที่ขวัญอ่อนถึงกับยกมือขึ้นปิดป้องใบหน้าและสายตา ไม่อยากมองภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องหน้า แต่เยี่ยนผิงกับไป่ชิงที่มีกำลังขวัญกล้าพุ่งร่างออกมาพร้อมทั้งส่งเสียงร้องเรียกเขาพร้อมกันอีกครา
“จ่านจือ!”
เมื่อเข้ามาใกล้ห่างราวห้าวาภาพที่ปรากฏตรงหน้า เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันประกบฝ่ามือกับจ่านจือแนบแน่น คลื่นพลังไร้สภาพยังคงแตกทะลักทำให้บรรยากาศโดยรอบถูกอัดแน่นไปด้วยขุมพลังปกคลุมกินบริเวนไปหลายวา แต่ที่นอกเหนือจากเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกับจ่านจือแล้ว นางทั้งสองพบเห็นว่าด้านหลังของเขายังยืนไว้ด้วยหลวงจีนต้าทงไต้ซือแห่งวัดเส้าหลินอีกผู้หนึ่ง มือซ้ายท่านถือไม้เท้าพระธรรมแนบแน่นส่วนมือขวาประทับอยู่บริเวณกลางหลังของจ่านจือมิขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
ส่วนยอดฝีมือคนอื่น ๆ ในเวลานี้เคลื่อนกายเข้ามาอยู่ทางด้านหลังของจ่านจือกับเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือเสียส่วนใหญ่ ส่วนฝ่ายมารอธรรมต่างพากันเคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ทางด้านหลังของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเช่นกัน มีเพียงขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงซึ่งยามนี้ลุกขึ้นยืนด้วยอาการบอบช้ำภายใน ดรุณีสองนางนามเหนียงเอ๋อกับเจียวเอ๋อต่างพากันพยุงกายประคองร่างซ้ายขวาของมันเอาไว้
ทางด้านจ่านจือในเวลานี้ปลอดภัยมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่นับว่าฉิวเฉียดหวาดเสียวแม้นชักช้ากว่านี้อีกเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งคงไม่ต้องคาดเดาผล หากทว่าต้าทงไต้ซือพุ่งร่างมาไม่ทันคงต้องจบชีวิตภายใต้ฝ่ามือพญายมของเจ้าอสูรโลกันตร์ไปแล้ว ฝ่ามือพญายมความจริงหายสาบสูญไปจากยุทธภพเนิ่นนานแล้ว ฝ่ามือนี้เป็นเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียนคิดค้นขึ้นเรียกว่าวิชาฝ่ามือเทพอสูรไร้สำนึก แต่ทว่าตัวท่านเมื่อคิดค้นพอฝึกฝนแล้วกลับมิยอมถ่ายทอดวิชาชุดนี้ให้กับศิษย์คนใดเลย เพราะท่านทราบว่าวิชาชุดนี้โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด หากผู้ใดไร้ซึ่งจิตสำนึกขาดคุณธรรมเมื่อฝึกแล้วจะถูกจิตมารเข้าครอบงำยากถอดถอนตัว
ครั้นเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียนจะทำลายวิชาชุดนี้ไปเสีย ท่านเองกลับรู้สึกเสียดายความรู้เนื่องด้วยกว่าท่านจะบัญญัติวิชาฝ่ามือเทพอสูรไร้สำนึกนี้ได้สำเร็จต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงระยะเวลาและมันสมองไปมิใช่น้อย ดังนั้นท่านจึงได้บันทึกเคล็ดวิชานี้ฝากไว้ที่ผืนจีวรของหลวงจีนวัดเส้าหลินท่านหนึ่ง พร้อมกับถ่ายทอดวาจาไว้ว่าหากพบพานผู้ที่มีบุญวาสนาและมีคุณธรรมก็ให้ถ่ายทอดวิชานี้ให้กับคนผู้นั้นด้วย
ต่อมาหลวงจีนท่านนั้นได้แอบบันทึกเคล็ดวิชานี้ลงในหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง จนกระทั่งหนังสือเล่มนี้เดินทางเข้าไปอยู่ในวังหลวงก่อนที่จะหายสาบสูญไป ส่วนเคล็ดวิชาที่บันทึกไว้บนผืนจีวรของหลวงจีนท่านนั้นก็ถูกทำลายไปพร้อมร่างของหลวงจีนท่านนั้นในภายหลัง ภายใต้หน้าผาเทพนิรันดร์เขาหมื่นเซียนอันเป็นสถานที่ฝังร่างของเจ้าตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียนก่อนหน้านั้นไม่นาน จากนั้นเบาะแสของวิชาฝ่ามือเทพอสูรไร้สำนึกก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย
ตราบจนกระทั่งมีชาวยุทธ์ถูกฆ่าตายเจ็ดศพภายในค่ำคืนเดียวในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าของหลิวซุ่นกงกง ต่อมาหลังจากนั้นก็มีคนถูกฆ่าตายอีกหลายคนด้วยกันลักษณะการตายล้วนคล้ายคลึงกันคือไม่มีร่องรอยบาดแผลแต่อวัยวะภายในกลับแหลกละเอียดมิมีชิ้นดี
ความอำมหิตของฝ่ามือพญายมทอดตาทั่วทั้งแผ่นดิน มีเพียงวิชาที่บันทึกไว้ในคัมภีร์สุริยันจันทราที่หายสาบสูญไปกับวิชาที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ซวยชวยเก็ง(คัมภีร์ล้างไขกระดูก) และคัมภีร์เอ็กกึงเก็ง(คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น)แห่งวัดเส้าหลินที่สามารถต้านทานรับมือได้ คัมภีร์ล้างไขกระดูกมิถ่ายทอดให้กับคนนอกอย่างเด็ดขาด เนื้อหาเกี่ยวกับการฝึกฝนยึดตามวิถีทางก่อนกำเนิด ส่วนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเนื้อหาเกี่ยวกับการฝึกฝนกระดูกและเส้นเอ็นให้แข็งแรง เป็นการฝึกตามวิถีทางหลังกำเนิดซึ่งยังคงถ่ายทอดต่อกันมาแห่งวัดเส้าหลิน
เมื่อในยุทธภพปรากฏวลีสี่ประโยคความว่า
“หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งคัมภีร์เคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล”
ซึ่งวลีสี่ประโยคนี้ล้วนถูกบันทึกไว้ในส่วนปกหน้าของคัมภีร์สุริยันจันทรา ดังนั้นคาดว่าผู้ที่ฝึกฝ่ามือพญายมคิดจะใช้การฆ่าคนเพื่อสืบหาเบาะแสของคัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญเล่มนี้ แต่คาดคิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นก็คือเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันนั่นเอง
แสดงว่าแผนการยึดครองบู๊ลิ้มของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ได้วางแผนการเอาไว้เนิ่นนานแล้วอาศัยการประลองเลือกผู้นำชาวยุทธ์ส่งทายาทของสำนักอสูรโลกันตร์เยิ่นหว่อถิงลงประลอง เมื่อได้เป็นผู้นำชาวยุทธ์แล้วยิ่งเป็นการง่ายที่จะสืบหาเบาะแสของคัมภีร์สุริยันจันทรา เพื่อต้องการฆ่าจ่านจือถึงกับลืมตัวแสดงฝ่ามือพญายมออกมา
ครั้งนี้เท่ากับเป็นการล้างมลทินให้กับเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ครั้งก่อนที่ท่านถูกใส่ความว่าทำร้ายฆ่าหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวนแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้าของหลิวซุ่นกงกง นั่นยังแสดงว่าหลิวซุ่นกงกงกับจอมมารผู้นี้ล้วนเป็นพวกเดียวกัน เพื่อเป็นการตัดกำลังคนของฝ่ายธัมมะจึงได้ส่งขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงไปทำร้ายเจ้าสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะทั้งสาม เคราะห์ดีที่ท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือเร่งรุดไปช่วยเหลือเอาไว้ได้ทันท่วงที
บัดนี้เมื่อจอมมารผู้นี้เปิดเผยธาตุแท้ของตนเองออกมาและฝ่ายมารอธรรมได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง นับจากวันนี้คิดว่าการฆ่าฟันห้ำหั่นกันระหว่างฝ่ายมารอธรรมกับฝ่ายธัมมะคงยากหลีกเลี่ยงได้ แต่เหตุการณ์เฉพาะหน้าในเวลานี้คือจ่านจือตกอยู่ภายใต้ฝ่ามือพญายม ดังนั้นในตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างยืนคุมเชิงกันและกันมิกล้าลงมือโดยวู่วาม
จ่านจือที่เขารอดตายจากฝ่ามือพญายมนี้มาได้นั่นเพราะต้าทงไต้ซือรุดเข้ามาช่วยเหลืออีกทั้งถ่ายพลังวัตรของท่านผ่านร่างของเขาเข้าต้านทานฝ่ามือนี้ของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้วเขาคงมิอาจมีลมหายใจอยู่ได้ถึงยามนี้
หลวงจีนต้าทงไต้ซือถ่ายทอดลมปราณเข้าร่างผ่านออกทางมือขวาของจ่านจือ ส่วนเจ้าอสูรโลกันตร์มิอาจปลิดชีพเขาได้ดั่งที่ตั้งใจเอาไว้แต่ต้น ดังนั้นจึงเพิ่มพูนพลังลมปราณส่งผ่านเข้าทางมือขวาของเขาเข้าไปต่อต้านพลังวัตรของเจ้าอาวาสแห่งเส้าหลินโดยมิยอมล้มเลิกความคิดที่จะสังหารจ่านจือเช่นกัน
ส่วนจ่านจือในเวลานี้รู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วร่างด้วยมีพลังสองสายวิ่งวนไปมาอยู่ภายในร่าง แต่ไม่สามารถจะกระทำเยี่ยงไรได้รู้สึกอึดอัดจนร่างแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ส่วนคนอื่น ๆ ยิ่งมิกล้าเข้าไปช่วยเหลือเพราะต่างทราบว่ายอดฝีมือประลองกำลังภายในกันหากมีสิ่งใดรบกวนอาจเกิดอันตรายขึ้นได้ ที่สำคัญผู้ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือจ่านจือผู้ซึ่งอยู่ระหว่างกลางของสองยอดฝีมือฝ่ายธัมมะกับมารอธรรมนั่นเอง
ขณะที่ทุกคนกำลังคาดเดาว่าเหตุการณ์จะลงเอยเช่นไร ฉับพลันจ่านจือเผอิญนึกถึงคำพูดของมารดาบุญธรรมเซียวเหยาเซิงที่สั่งสอนเขาว่ายอดฝีมือต้องรู้จักประยุกต์ปรับปรุงใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสในการพัฒนาฝีมือ ดังนั้นเขาจึงใช้ความคิดใคร่ครวญว่าจะทำเช่นไรกับเหตุการณ์ในเวลานี้ดี หากใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสมิมีช่วงจังหวะใดที่จะวิกฤตมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
วิชาดาวดึงส์เป็นวิชาที่อาศัยความดุดันรุนแรง ส่วนวิชากระสวยฟ้าตาข่ายด้ายแดงเป็นวิชาที่อ่อนช้อยพลิ้วไหวนุ่มนวลเป็นหลักบางคราวแอบแฝงความแข็งกร้าวเป็นรอง คิดได้เช่นนั้นจ่านจือจึงเกิดประกายสายตาวูบหนึ่ง จากนั้นใช้พรสวรรค์ของเขาที่มีแบ่งแยกสมาธิออกเป็นสองด้าน
ด้านหนึ่งใช้วิชาดาวดึงส์อันแข็งกร้าวดุดันรั้งดึงพลังอันมหาศาลของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเอาไว้ อีกด้านหนึ่งใช้วิชากระสวยฟ้าตาข่ายด้ายแดงเหนี่ยวนำพลังของต้าทงไต้ซือซึ่งอ่อนหยุ่นราบเรียบเข้ามา จากนั้นหยิบยืมใช้พลังอันอ่อนหยุ่นของหลวงจีนชราลดทอนความรุนแรงแข็งกร้าวของพลังฝ่ามือของเจ้าอสูรโลกันตร์
เมื่อพลังทั้งสองสายสมดุลรีบรั้งดึงเข้ามาเก็บกักยังกึ่งกลางท้องน้อยจนเปี่ยมล้น จากนั้นโคจรออกไปสู่จุดชีพจรทั่วร่างทำอยู่เช่นนี้รอบแล้วรอบเล่าจนกระทั่งมิสามารถนับได้ว่าผ่านไปกี่รอบ จากในคราวแรกที่จ่านจือรู้สึกทรมานจนร่างแทบฉีกออกเป็นชิ้นส่วน บัดนี้เขากลับรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายร่างคล้ายล่องลอยอยู่ในอากาศธาตุปานฉะนั้น
ต้าทงไต้ซือย่อมรับทราบถึงความสำเร็จนี้ของจ่านจือ แต่ที่ท่านอดจะแปลกประหลาดใจมิได้กลับเป็นเส้นทางเดินลมปราณและจุดชีพจรของเขาช่างประหลาดชอบกลนัก โดยปกติผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปจะมีจุดชีพจรและเส้นทางเดินลมปราณคล้ายกันมิแตกต่างกันเท่าใดนัก พลังของท่านที่ส่งผ่านร่างเขาเพียงส่งผ่านตรง ๆ ทราบได้ถึงความแปลกประหลาดนี้ของจ่านจือเช่นกัน
ดังนั้นสองยอดฝีมือจึงสามารถส่งผ่านพลังทางตรงผ่านร่างจ่านจือได้ เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันหลังจากใช้พลังตรวจจับจุดชีพจรทั่วร่างของเขามิพบพลันฉุกใจคิด หากขืนปล่อยเวลาให้ผ่านไปเช่นนี้ผู้ที่จะได้รับประโยชน์สมควรเป็นเขามากกว่าผู้ใด ส่วนหลวงจีนแห่งวัดเส้าหลินเมื่อรับทราบความสำเร็จนี้ของจ่านจือ ดังนั้นจึงคิดจะส่งเสริมเขาให้ถึงที่สุดสักคราหนึ่งจึงถ่ายทอดคลื่นเสียงเฉพาะ มีเพียงเขาผู้เดียวที่สามารถรับรู้ได้ทางโสตสัมผัส หลวงจีนต้าทงไต้ซือส่งเสียงต่อจ่านจือผ่านทางลมปราณความว่า
“ประสกน้อยนับว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะโดยแท้ อาตมาคิดจะส่งเสริมประสกดั่งเช่นที่ซือไท่ชิ้วโส่วคิดจะส่งเสริมเจ้าก่อนหน้านั้น เคล็ดคัมภีร์ล้างไขกระดูกความจริงไม่อาจถ่ายทอดต่อคนนอกได้ นี่เป็นวิชาสุดยอดประจำวัดเส้าหลิน จะถ่ายทอดให้เฉพาะศิษย์ของวัดเส้าหลินที่มีคุณสมบัติครบถ้วนเท่านั้น ส่วนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นมิมีข้อห้ามว่าห้ามถ่ายทอดต่อคนนอกแต่อย่างใด ดังนั้นอาตมาจะถ่ายทอดเคล็ดคัมภีร์ทั้งสองให้แก่ประสก เจ้าจงตั้งใจจดจำเคล็ดวิชาในคัมภีร์ทั้งสองเอาไว้ให้ดี”
จ่านจือปล่อยให้ลมปราณภายในร่างหมุนเวียนต่อเนื่อง ทางด้านโสตสัมผัสแบ่งแยกสมาธิรับฟังเคล็ดวิชาที่ต้าทงไต้ซือถ่ายทอดให้ คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นให้มีความแข็งแรงและเลือดลมหมุนเวียนได้ดีมากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาหลวงจีนแห่งวัดเส้าหลินที่ได้เรียนรู้คัมภีร์นี้ต่างสร้างชื่อให้กับวัดเส้าหลินมีหลายท่านด้วยกัน ผู้ที่สำเร็จวิชาในคัมภีร์นับว่ามีฝีมือสูงส่งอาจจะเรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดินก็นับว่ามิผิดนัก
ส่วนวิชาในคัมภีร์ล้างไขกระดูกแท้ที่จริงแล้วจะไม่ถ่ายทอดให้กับคนทั่วไปโดยเด็ดขาด คัมภีร์ทั้งสองนี้ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ พระในพระพุทธศาสนาจากชมพูทวีปเป็นผู้คิดค้นขึ้น ตอนนั้นท่านเดินทางเข้ามาเผยแพร่พระธรรมยังแผ่นดินจีน ในตอนแรกท่านเดินทางไปยังเมืองจินหลิงในสมัยกษัตริย์เหลียงอู่ตี้แต่ไม่ได้ผลดีเท่าใดนัก
ต่อมาจึงได้เดินทางไปยังทิศตะวันออกและไปถึงแคว้นเว่ย จากนั้นได้เดินทางไปถึงวัดเส้าหลินเขาซงซาน เห็นว่าเป็นสถานที่เงียบสงบเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรจึงได้พำนักอยู่ที่วัดแห่งนี้ ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อได้นั่งหันหน้าเข้าสู่ผนังถ้ำบนเขาเข้าฌานเป็นเวลาถึงเก้าปี ภายหลังได้ถ่ายทอดธรรมะให้แก่มหาสมณะฮุ่ยเข่อ(หุยข้อ)ผู้เป็นศิษย์คนหนึ่ง
มหาสมณฮุ่ยเข่อเป็นอาจารย์องค์ที่หนึ่งแห่งพุทธศาสนานิกายเซน คัมภีร์ล้างไขกระดูกมีเพียงมหาสมณะฮุ่ยเข่อเพียงผู้เดียวซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากปรมาจารย์ตั๊กม้อ ฮุ่ยเข่อเดิมชื่อเสินกวงแซ่จีตั้งแต่เยาว์วัยชอบศึกษาหลักธรรมต่าง ๆ เมื่อโตขึ้นได้ออกบวชที่วัดเชียนเซิ่งเป็นศิษย์ของพระอาจารย์เป่าจิ้ง
เมื่ออายุสี่สิบปีพระอาจารย์แนะนำให้ไปหาปรมาจารย์โพธิธรรม(ตั๊กม้อ)ที่วัดเส้าหลิน เมื่อไปถึงวัดเส้าหลินเป็นค่ำคืนที่หิมะตกหนัก เห็นปรมาจารย์โพธิธรรมกำลังนั่งสมาธิอยู่ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในการแสวงธรรมจึงคุกเข่าคารวะอาจารย์โพธิธรรมอยูที่ใต้บันไดตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหิมะทับถมท่วมถึงเอวอาจารย์โพธิธรรมจึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“ไฉนท่านจึงคุกเข่าอยู่กลางหิมะต้องการขอกระไร?”
เสิ่นกวงกล่าวตอบว่า
“อาจารย์กรุณาโปรดสัตว์โลกด้วยเถิด”
พระโพธิธรรมได้ฟังคำตอบเช่นนั้นกล่าวว่า
“ธรรมวิเศษแห่งพุทธะจำต้องมีความเพียรพยายาม อดทนในสิ่งที่ยากจะอดทน ปฏิบัติในสิ่งที่ยากจะปฏิบัติจึงจะประสบความสำเร็จ คนที่มีปัญญาน้อยกุศลน้อยดูหมิ่นดูแคลนหวังจะได้ธรรมวิเศษเป็นเรื่องที่เป็นไปมิได้”
เสินกวงได้ฟังดังนั้นจึงได้ใช้มีดตัดแขนข้างซ้ายของตนขาดออกจากร่างแล้ววางไว้เบื้องหน้าพระโพธิธรรม พระโพธิธรรมพอเห็นเสินกวงสละแขนเพื่อธรรมอันเป็นวิถีของพุทธะในการแสวงธรรมจึงยอมรับไว้เป็นศิษย์และตั้งชื่อให้ใหม่ว่า
“ฮุ่ยเข่อ"
ต่อมามีอยู่ครั้งหนึ่งฮุ่ยเข่อกล่าวถามต่อพระโพธิธรรมว่า “จิตข้าพเจ้าไม่ค่อยสงบอาจารย์ช่วยทำให้สงบที”
พระโพธิธรรมกล่าวตอบว่า “ท่านเอาจิตมาเราจะช่วยทำให้สงบ”
ครู่ต่อมาฮุ่ยเข่อกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าหาจิตไม่พบ”
พระโพธิธรรมกล่าวว่า
“เสร็จแล้วเราช่วยทำให้จิตสงบแล้ว”
ครั้งหนึ่งพระโพธิธรรมให้สานุศิษย์ทุกคนเขียนข้อสอบเพื่อวัดผลการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมา หลังจากดูข้อเขียนของทุกคนแล้วจึงกล่าวประกาศต่อสานุศิษย์ทั้งหลายว่า
“เต้าฟูได้ผิวของเรา นีจงได้เนื้อของเรา เต้าอี้ได้กระดูกของเรา ฮุ่ยเข่อได้แก่นของเรา”
แล้วพระโพธิธรรมกล่าวกับฮุ่ยเข่อว่า
“ในอดีตพระพุทธองค์มอบธรรมจิตแก่มหากัสสปะ ถ่ายทอดต่อเนื่องกันมาจนถึงเรา บัดนี้เราขอมอบให้ท่านพร้อมด้วยบาตรและจีวรจงรักษาไว้ให้ดี"
แล้วพระโพธิธรรมกล่าวต่อฮุ่ยเข่อว่า
“จงฟังโศลก เดิมเรามาดินแดนแห่งนี้ เผยแผ่ธรรมโปรดผู้หลง หนึ่งดอกบานเป็นห้าใบ ออกผลขจรขจาย”
ดังนั้นจึงมีเพียงฮุ่ยเข่อที่ได้รับการถ่ายทอดคัมภีร์ล้างไขกระดูก คัมภีร์นี้จะช่วยเสริมสร้างไขกระดูกชำระล้างพิษต่าง ๆ ในกระดูกและข้อ เคล็ดการเดินลมปราณตั้งต้นจากจุดตันเถียนกลางแล่นตรงผ่านใจกลางสะดือไปยังเยื่อหุ้มหัวใจ ผ่านลูกกระเดือกแล่นตรงไปกลางกระหม่อมแล้วหยุดไว้อึดใจหนึ่งแล้วแล่นไปตรง ๆ ผ่านจุดแป๊ะหวยไปทางท้ายทอย ผ่านกระดูกสันหลังลงไปยังก้นกบ แล้วผ่านระหว่างจุดทวารหนักไปทวารเบา(ตันเถียนล่าง) จนถึงใต้สะดือซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นครบหนึ่งวงจรพลังชีวิต
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564