ตอนที่ 2
หมู่บ้านเย้ยอรุณ
กระทั่งเหมันต์ สุริยันจันทราเฉกเช่นเดิม จงหยวน(ภาคกลาง)
วันเวลาผ่านไป สิบห้าปีผ่านพ้น ยุทธภพสงบปราศจากความวุ่นวาย มารอธรรมลี้กายหายหน้าไม่ปรากฏ สร้างความผาสุกสันติให้กับยุทธภพอันยุ่งเหยิงมาช้านาน เปรียบดั่งสายน้ำไหลไม่อาจย้อนคืน เกรงแต่ว่าจะมีระลอกคลื่นก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งสร้างความบาดหมางครั้งใหม่ อันใหญ่หลวงเท่านั้นเอง
ดินแดนจงหยวน นครหลวงลั่วหยาง ปีนี้อากาศหนาวเหน็บกว่า ทุก ๆ ปีที่ผ่านมา สายลมแห่งฤดูเหมันต์ พัดโชยเอื้อยอิ่งพากิ่งหลิวโอนเอนลู่สายลมอยู่ไปมา บางกิ่งทิ้งปลายยอดทอดใบย้อยระเรี่ยพื้น ที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนดุจปุยนุ่นบางเบา บางกิ่งก้านโอบอุ้มอิ่มเอมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งสดใสวาววับสะอาดตา
ห่างออกไป เหมยฮัวสีเหลืองสด กำลังผลิดอกแบ่งบานสะพรั่งต้อนรับสายลมอันหนาวเหน็บ เสียงสายลมพัดดังหวีดหวิวเป็นระยะไม่ขาดหาย ฟังคล้ายห้วงทำนองของเครื่องดนตรีหลายสิบชิ้น ซึ่งกำลังบรรเลงเพลงขับกล่อมชวนเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง โดยมีนักร่ายรำโยกไหวกิ่งก้านใบไปตามท่วงทำนอง กลิ่นอายของดอกเหมยฮัวผสมผสานกับสายลมอันเย็นเยียบ ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง
ดวงตะวันค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้าสีทองอ่อนจางทางทิศปัจฉิม(ตะวันตก) แสงสุดท้ายแห่งทิวาค่อย ๆ ลาจากแล้วคืบคลานห่างออกไปกระทั่งหายวับไปกับเส้นขอบฟ้า ไม่นานนักทิวเขาที่อยู่ถัดไป เหนือยอดไม้ทะมึนทางบูรพาทิศ(ตะวันออก) จันทราครึ่งเสี้ยวค่อย ๆ เผยแสงสลัวรำไรแห่งราตรีกาลคืนแรม บนนภาสกาวสุกใส ประดับดวงไฟระยิบระยับวับแวมแห่งดวงดารากลาดเกลื่อนอยู่ถ้วนทั่ว
ภายใต้แสงจันทร์คืนแรม มองออกไปแลเห็นเหล่าวิหคสกุณาหากินกลางคืน บินโฉบเฉี่ยวถลาหาเหยื่ออยู่ไปมา บ้างส่งเสียงร้องก้องระงมดังเซ็งแซ่ ไกลออกไปเสียงสุนัขป่าส่งเสียงเห่าหอนเรียกหากัน ฟังแล้วชวนวังเวงขึ้นมาจับใจ
สายลมเย็นยะเยียบพัดมาหอบหนึ่ง รู้สึกหนาวเหน็บจนแทบเสียดเข้าไปในเลือดเนื้อกระดูก ชาวบ้านต่างปิดประตูหน้าต่าง ดับไฟตะเกียงเข้านอนหลับใหลกันหมดแล้ว บางครั้งมีเสียงหายใจคราดครืดของสัตว์เลี้ยงในคอกของชาวบ้าน ดังมาทำลายบรรยากาศความเงียบสงัดยามค่ำคืน
ริมต้นไม้ใหญ่ ภายใต้แสงจันทร์สลัวเลือนรำไร กลับมีอาคันตุกะ สวมอาภรณ์สีดำรัดกุมคลุมหน้าผู้หนึ่ง สะพายกระบี่ยืนสงบนิ่งมิเคลื่อนไหว หาได้ใส่ใจบรรยากาศรอบข้าง อีกทั้งสรรพสิ่งรอบกาย หรือเกรงกลัวต่อความหนาวเหน็บไม่ ลักษณะท่าทางเหมือนกำลังรอคอยผู้คน ดูองคาพยพแข็งแรงกำยำ ร่างสูงราวเจ็ดเชี๊ยะ ไม่สามารถคาดเดาอายุอานามได้ แสงจันทร์สลัวสาดแสงส่องกระทบ ด้ามกระบี่สีเงินยวงวาววับเป็นประกาย แต่ที่สามารถคาดเดาได้ อาจมิใช่คนดีกระไรนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่มายืนทำลับ ๆ ล่อ ๆ ยามค่ำคืน
หมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อว่าเย้ยอรุณ ตั้งอยู่บนที่ราบกลางหุบเขาสลับซับซ้อนห่างไกลผู้คน ด้วยแถบนี้มีภูเขาเรียงรายติดกันอยู่หลายลูก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน ประกอบไปด้วยยอดเขาน้อยใหญ่จำนวนเจ็ดสิบสองยอด
กลุ่มเขาเส้าซื่อ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามสิบหกยอด อีกสามสิบหกยอดคือกลุ่มเขาไท่ซื่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนห้ายอดเขาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ตั้งอยู่ในอำเภอเติงเฟิงเมืองเจิ้งโจวมณฑลเหอหนาน อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองเจิ้งโจวและเมืองลั่วหยาง
บนยอดเขาสูงลูกหนึ่งในจำนวนหลายลูก เป็นที่ตั้งของวัดเสี้ยวลิ้มยี่(วัดป่าบนเขาเส้าซื่อ) หรือเรียกว่าวัดเส้าหลินนั้นเอง และยังมีอีกหลายสำนักยังมิได้กล่าวถึง ล้วนมีความเป็นมาอันใหญ่หลวง
เมื่อหลายวันก่อน มีคนถูกฆ่าตายในหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ติดต่อกันหลายคน จนทำให้ชาวบ้านร้านถิ่นไม่กล้าออกไปไหนมาไหนในเวลาค่ำคืน พอมืดค่ำต่างรีบร้อนเร่งนำสัตว์เลี้ยงเก็บเข้าคอก รับประทานข้าวเย็นแล้วปิดประตูหน้าต่างเข้านอนกันแต่หัวค่ำ สองวันมานี้ยังมีคนแปลกหน้า แต่งกายต่างกันสามกลุ่มเข้ามาในหมู่บ้านอีกด้วย
กลุ่มแรก ประกอบไปด้วยบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยชุดรัดกุม สะพายห่อผ้าพกพาอาวุธ มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นสี่คน เมื่อเข้ามาในหมู่บ้าน อาศัยในเรือนร้างหลังหนึ่งทางทิศอุดร(เหนือ)
กลุ่มถัดมา เป็นสองบุรุษกับอีกหนึ่งสตรี พกพาอาวุธเฉกเช่นเดียวกัน กลุ่มนี้พักอาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าของหมู่บ้าน ทางทิศทักษิณ(ใต้)
กลุ่มที่เข้ามาหลังสุด มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นสามคน เป็นบุรุษหนึ่งและสตรีอีกสองนาง พักอยู่เชิงเขาทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน
คนทั้งสามกลุ่ม หลังจากเข้ามาในหมู่บ้าน ต่างเก็บตัวซ่อนกายไม่เป็นที่เปิดเผยต่อผู้คน คล้ายกำลังติดตามผู้ใด หรือสืบสาวเรื่องราวสำคัญอยู่กระนั้น ทั้งหมดกอปรด้วยสามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะ อันได้แก่พรรคไผ่หลิว ซึ่งเป็นสำนักใหญ่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ของเมืองลั่วหยาง สำนักหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ตั้งอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง ทางทิศตะวันตก และสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก
หมู่บ้านเย้ยอรุณ เงียบสงบไร้เรื่องราวมาหลายชั่วอายุคน ชาวบ้านต่างอาศัยอยู่ด้วยความสงบ เนื่องด้วยอยู่ห่างไกลผู้คน อาจเรียกว่าไม่เคยข้องแวะ กับเรื่องราวของยุทธภพเลยนับว่าได้
คนทั้งสามกลุ่ม ก่อนหน้านี้เคยเดินทางไปยังหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ ใกล้กับนครหลวงลั่วหยาง หมู่ตึกกระเรียนฟ้า เป็นที่พำนักของขันทีหลิวซุ่นกงกง มหาเสนาบดีแห่งราชสำนัก
ในเวลานั้นราชสำนัก อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านราชวงศ์สุย สถาปนาราชวงศ์ถัง ย้ายเมืองหลวงจากลั่วหยางมาฉางอัน แต่ทว่าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ยังคงตั้งตระหง่านที่ลั่วหยาง ภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ล้วนชุมนุมไปด้วยมือดีมากมายจากทั่วสารทิศ ทั้งจากที่เชื้อเชิญมาจากมณฑลต่าง ๆ จากนอกด่านและจากถู่ฟาน(ทิเบต)
หลิวซุ่นกงกง ฝึกวิชาเก้ากระเรียนเบิกฟ้า ร่ำลือกันว่าร้ายกาจดุดัน ยามลงมือคล้ายดั่งฝูงนกกระเรียน กางปีกฉีกเล็บละลานครอบคลุมเต็มท้องฟ้า คู่ต่อสู้ยากหลุดรอดจากการลงมือจู่โจม แม้ว่าฝึกยังไม่บรรลุถึงขั้นที่เก้า แต่ที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดทราบแน่ ถึงพลังฝีมืออันแท้จริง นั่นเป็นเพียงคำร่ำลือ
ครั้งนั้น หมู่ตึกกระเรียนฟ้า ได้ส่งเทียบเชื้อเชิญเจ้าสำนักต่าง ๆ และบรรดาชาวยุทธ์ มาร่วมงานอวยพรท่านหลิวซุ่นกงกง ที่มีอายุครบรอบหกสิบปี ในวันนั้นมีชาวยุทธ์มากมายเข้าร่วมอวยพร ให้กับเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า
ที่พอจะจดจำได้ มีหลวงจีนต้าทงไต้ซือแห่งวัดเส้าหลิน ท่านนำศิษย์ในสำนักมาร่วมอวยพร มู่ชิวป้าเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ท่านเดินทางมาพร้อมกับมือดีร่วมสิบคน เฉิงปู้กงหัวหน้าพรรคไผ่หลิว ท่านนำศิษย์และคนในพรรค มาร่วมอวยพรเป็นจำนวนมาก ยังมีเหิงปี้ไป่เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ท่านนำพาศิษย์มาอวยพรคับคั่ง นอกจากนั้น มีชาวยุทธ์อีกหลายสำนัก ต่างหลั่งไหลมาอวยพรท่านหลิวกงกง ให้มีอายุมั่นขวัญยืนกันอย่างเนืองแน่น
แต่แล้วในค่ำคืนนั้น ปรากฏบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ไม่ได้เทียบเชิญปรากฏกายขึ้น โดยมิมีผู้ใดกระจ่างแจ้ง ว่าเป็นคนของสำนักใด และในค่ำคืนนั้นเอง ในหมู่ตึกกระเรียนฟ้ามีคนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม รวมทั้งสิ้นถึงเจ็ดคนด้วยกัน เป็นคนของสี่สำนักใหญ่จำนวนสี่คน และคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้ารวมสามคน แต่ละคนที่ถูกฆ่าตาย ล้วนแล้วแต่เป็นมือดี ในสามสิบกระบวนท่ายากทำร้ายได้ แต่ทว่าถูกสังหารตายอนาถภายใต้ฝ่ามือเดียว
สภาพศพไร้ร่องรอยบาดแผล แต่อวัยวะภายในแหลกเหลว คาดว่าผู้ลงมือต้องมีพลังฝีมือสูงเยี่ยมเป็นที่น่าตระหนก หลิวซุ่นกงกงและมือดีในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า รวมทั้งเจ้าสำนักต่าง ๆ พร้อมทั้งบรรดาชาวยุทธ์ที่มาร่วมงาน ต่างออกค้นหาคนร้ายแต่ไร้ร่องรอยหลักฐาน
ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ บุคคลที่หายไปคือบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ลึกลับ ทุกฝ่ายจึงลงความเห็นว่า บุรุษหนุ่มวัยเยาว์ผู้นั้น มันต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง กับการตายของคนในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าอย่างแน่นอน
การฆ่าคนถือว่าเป็นความผิดอุกฤษฏ์ยากให้อภัย กฎของชาวยุทธ์มีไว้ว่า ท่านฆ่าหนึ่งชีวิต ต้องชดใช้หนึ่งชีวิต ดังนั้นหลิวซุ่นกงกงและเจ้าสำนักต่าง ๆ จึงร่วมมือกันติดตามเสาะหาตัวคนร้าย โดยเฉพาะบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ผู้นั้น มันคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในเวลานี้
หลังจากนั้น มีคนพบร่องรอยของบุรุษหนุ่มผู้นี้ แถบหมู่บ้านเย้ยอรุณแล้วหายไป จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ เกิดมีคนตายในหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ แต่ไม่ชัดเจนว่าเป็นคนของสำนักใด ลักษณะเฉกเช่นเดียวกันคือไม่มีร่องรอยบาดแผล แต่อวัยวะภายในแหลกละเอียด
ดังนั้น หลิวซุ่นกงกง จึงให้คนส่งข่าวถึงสำนักน้อยใหญ่ เพื่อร่วมมือกันติดตามจับตัวคนร้าย คืนนี้สามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะ จึงแยกย้ายกันอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ในหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ แต่ทว่าหลายคืนมานี้ ยังไม่ปรากฏบุคคลที่น่าสงสัย บรรยากาศยิ่งมายิ่งวังเวง เสียงสุนัขป่ายังคงเห่าหอนมิขาดหาย นกแสกตัวหนึ่งส่งเสียงร้องแสบแก้วหู แล้วบินโฉบเฉี่ยวผ่านไป
ยามสามแล้ว(ประมาณเที่ยงคืน) ทันใดนั้น เงาร่างสายหนึ่งพุ่งทะยานดุจเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่ง มุ่งมายังตำแหน่งที่ชายชุดดำยืนอยู่เมื่อตอนหัวค่ำ ดูจากลักษณะท่าร่างที่สาดมา คิดว่าวิชาตัวเบามิใช่ชั่ว เมื่อบรรลุถึงห่างไม่ถึงสี่วา สะกิดปลายเท้าคราหนึ่ง พลิ้วร่างลงตรงหน้าชายชุดดำด้วยท่วงท่าสง่าสวยงาม
คนชุดดำคลุมหน้าแต่งกายรัดกุม กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักกังวาน แฝงพลังลึกลับประเภทหนึ่งว่า
“ไม่เจอะเจอกันครึ่งปี คิดไม่ถึงวิชาตัวเบาและกำลังภายในของเจ้า จะรุดหน้าไปมากมายถึงเพียงนี้ คาดว่าผู้ที่ถ่ายทอดวิชาฝ่ามือให้กับเจ้า คงสำเร็จไปอีกขั้นเช่นกันสินะ?”
คนชุดดำลึกลับ ประกายสายตาที่ลอดผ่านช่องผ้าคลุมหน้าออกมา เจิดจ้าบ่งบอกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อพิศดูใกล้ ๆ กลางหลังสะพายกระบี่ ยาวประมาณสองเชี๊ยะสิบนิ้ว ด้ามกระบี่สีเงินวาววับส่องประกายในยามค่ำคืน
ยามนั้น บุคคลผู้ที่โลดแล่นมา ซึ่งอยู่ในชุดรัดกุมสีดำปกปิดใบหน้าอำพรางเช่นเดียวกัน กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ฟังคล้ายเป็นเสียงของอิสตรี แต่บุคลิกภาพคล่องแคล่วห้าวหาญเยี่ยงบุรุษ
“ขอบคุณอาวุโส กล่าวชมข้าพเจ้ามากไปแล้ว ผู้ที่อาวุโสกล่าวถึงท่านสบายดี มิผิดท่านสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง พร้อมกับเคี่ยวกรำข้าพเจ้าให้ฝึกปรืออย่างหนักหน่วง ช่วงนี้ท่านมีงานสำคัญรัดตัว เลยให้ข้าพเจ้ามาพบกับอาวุโสแทน ท่านฝากคำพูดมาแต่เพียงว่า ทุกเรื่องราวยังคงเป็นไปตามแผนการ อาวุโสท่านสบายดีหรือไม่?”
คนชุดดำ ทอดสายตาฝ่าความมืดออกไป พร้อมกับเงี่ยหูสดับรับฟังเสียง หันมาทางชุดดำผู้ซึ่งมาถึงตอนหลัง ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“เจ้าลงเขามาพบเรา ตลอดเส้นทางมีสิ่งใดผิดปกติ หรือมีผู้ใดติดตามมาบ้างหรือไม่? ค่ำคืนนี้เราเห็นคนแปลกหน้าหลายคนอยู่ในหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก อย่าได้ผิดพลาดแม้แต่น้อย”
คนชุดดำผู้มาภายหลัง หันไปโดยรอบสำรวจอยู่เที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าสำรวจตรวจสอบดูแล้ว ก่อนมาพบกับอาวุโส นอกจากทางทิศเหนือของหมู่บ้าน มีคนของพรรคไผ่หลิวรวมสี่คน อีกสามคนของสำนักเมฆฟ้าพิรุณทางทิศใต้ และทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน มีคนของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวรวมสามคน นอกจากนี้ยังไม่เห็นมีสิ่งใดผิดสังเกต อาวุโสท่านพบเห็นสิ่งใดนอกเหนือจากนี้หรือไม่?”
ขณะที่ทั้งสองจะกล่าววาจาใดต่อ ไกลออกไปฝั่งตรงกันข้ามพลันมีเสียงชายเสื้อปะทะลมดังใกล้เข้ามา ชุดดำทั้งสองรีบถลันวูบเข้าหลังต้นไม้ ชั่วพริบตาเดียว เงาร่างเบาบางสองสาย สาดทะยานพุ่งผ่านตำแหน่งที่ทั้งสองซ่อนกายอยู่ ด้วยความเร็วปานสายฟ้า
สังเกตจากเงาหลัง คนหน้าเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าคล้ายชนเผ่า อายุราวสามสิบปีเศษ อีกคนเป็นสตรีแต่งกายเฉกเช่นเดียวกัน รูปร่างอ้อนแอ้นอายุราวสิบสี่สิบห้าปี ผิวขาวดุจหยวก แม้เป็นเวลาค่ำคืน แต่ยังดูออกว่าเป็นหญิงงามล่มเมืองนางหนึ่ง
คนทั้งสองโลดแล่นพุ่งร่างปราด ๆ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ท่าทางมีพิรุธชวนสงสัย ดูจากสภาวะวิชาตัวเบา นับว่าร้ายกาจไม่ธรรมดา แม้นว่าอายุยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวก็ตาม
ชุดดำผู้มาทีหลัง ส่งเสียงกล่าวถามเบา ๆ ว่า
“สองคนนั้นเป็นผู้ใด?”
คนชุดดำสะพายกระบี่ที่มายืนรออยู่ก่อน ส่งเสียงกล่าวแผ่วเบาเช่นกันว่า
“รีบตาม!”
คนชุดดำสะพายกระบี่ กล่าวพลางพุ่งร่างล่วงหน้าไปวาเศษ ดูจากวิชาตัวเบายอดเยี่ยมสูงส่งกว่าสองคนก่อนหน้านั้น คิดว่าในใต้หล้าคงหาผู้เปรียบได้ยากยิ่ง
“อาวุโส ท่านล่วงหน้าไปก่อนสักหลายก้าว”
คนชุดดำอีกคนกล่าวจบ สะกิดปลายเท้าคราหนึ่ง พุ่งกายไล่ไปไม่ห่างจากชายชุดดำ ที่สะพายกระบี่นำหน้าไปไม่มากนัก ดูจากอายุยังเยาว์ แต่ทว่าวิชาตัวเบาช่างร้ายกาจยอดเยี่ยม คนทั้งหมดเป็นใครกัน
ชุดดำสองคน ไล่ติดตามชายหญิงคู่นั้นมาประมาณสามลี้ ถึงป่าทึบแถบหนึ่ง เห็นคนทั้งสองชะลอฝีเท้า พร้อมทิ้งร่างลงไปยังดงป่าทึบนั้น ชุดดำสองคนที่ติดตามมา รีบชะงักฝีเท้ากระโดดคราหนึ่ง เบียดร่างแนบชิดกับต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่หนาแน่น
ห่างไปไม่ถึงสิบวา ชายหญิงคู่นั้นกำลังสนทนากันอย่างแผ่วเบา คนทั้งสองยืนอยู่ระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ผนวกกับเป็นค่ำคืนเดือนแรม จึงมองเห็นทั้งคู่ไม่ถนัดชัดเจนนัก สองชุดดำพยายามเงี่ยหูสดับรับฟัง ได้ยินถ้อยคำที่ทั้งคู่สนทนากันดังว่า
“กอกอ(พี่ชาย) ครานี้ข้าพเจ้าลงจากผาเป็นครั้งแรก นึกไม่ถึงว่าออกท่องยุทธภพเที่ยวนี้ช่างน่าตื่นเต้นยิ่ง ในเมืองหลวงกลับมีสถานที่น่าเที่ยว แถมผู้คนมากมาย”
ดรุณีนางนั้น เอ่ยขึ้นพร้อมกับแสดงอาการตื่นเต้นยินดีอย่างออกนอกหน้า นางอยู่ในชุดเช่นชาวเผ่าสีแดงสด บนศีรษะโพกด้วยผ้าสีดำสลับด้วยสีม่วงเข้ม มีเครื่องประดับที่ทำจากโลหะ จำพวกแร่เงินและดีบุก เวลาเคลื่อนไหวมีเสียง กริก กริก เป็นจังหวะ
จากนั้น ได้ยินผู้ที่ถูกเรียกหาว่ากอกอ ส่งเสียงกล่าววาจาดังมาว่า
“ม่วยม่วย(น้องสาว) เจ้าได้รับคำสั่งให้ติดตามพี่ชายลงจากผาครั้งแรก เจ้าเกือบก่อกวนเรื่องราวแล้วทราบหรือไม่? เกรงว่างานที่ได้รับมอบหมายยังไม่ทันสำเร็จ กลับจะมีปัญหาใหญ่หลวงติดตามมา”
ผู้ที่เรียกตนเองว่าพี่ชาย กล่าวตำหนิดรุณีนางนั้น แต่ทว่าน้ำเสียงที่กล่าว ยังคล้ายแฝงไปด้วยความเอ็นดูอยู่บ้าง บุรุษผู้นั้นอยู่ในชุดชาวเผ่าสีดำแกมม่วง บนศีรษะโพกผ้าสีเดียวกัน แต่ในความสลัวจึงมองไม่เห็นหน้าตาของคนทั้งสองว่าเป็นเช่นไร
ที่แท้ทั้งคู่เป็นเฮียม่วย(พี่ชายน้องสาว) กัน ได้ยินผู้เป็นพี่ชายส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“ตั้งแต่เล็กจดจำความได้ พี่ชายกับเจ้าเราทั้งสอง ล้วนอาศัยอยู่บนผาเร้นลับแล้ว บนผาตัดขาดโลกภายนอก ผู้ที่เราทั้งสองเรียกหาเป็นเจ้าผา คือผู้ที่นำพาเราทั้งคู่มายังผาแห่งนี้ อีกทั้งยังเลี้ยงดูพร้อมกับถ่ายทอดวิชาฝ่ามือให้ ปีนี้พี่ชายอายุย่างเข้ายี่สิบเจ็ดปี ส่วนเจ้าอายุย่างเข้าสิบห้าปีแล้ว”
ดรุณีงดงามในความสลัว แสดงท่าทางครุ่นคิดทบทวน ถูกต้องของพี่ชายนาง ตั้งแต่จดจำความได้ นางก็อาศัยอยู่บนผาเร้นลับแห่งนี้แล้ว พี่ชายของนางเพียงบอกกับนางว่า
“ในตอนนั้น ที่บ้านของเราถูกโจรบุกปล้น บิดามารดาล้วนถูกโจรฆ่าตายหมด แม้แต่พี่ชายรวมทั้งเจ้า เราสองคนโจรโฉดยังไม่คิดละเว้น โชคดีที่เวลานั้น ท่านเจ้าผาผ่านไปประสบพบเข้าพอดี ท่านเห็นแก่มนุษยธรรมจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ท่านได้ลงมือฆ่าพวกโจรเหล่านั้นหมดสิ้น หลังจากนั้น ท่านนำพวกเรามายังผาเร้นลับแห่งนี้”
ในตอนนั้น พี่ชายของนางมีอายุเพียงสิบสองขวบปี นางเองยังคงเป็นทารกแบเบาะจำความไม่ได้ พี่ชายและท่านเจ้าผาบอกเรื่องราวเกี่ยวกับนางเช่นนั้น นางย่อมถือว่าเป็นเช่นนั้น หาได้นำพากับชาติกำเนิดของตัวเองไม่
ดรุณีนางนั้น ขณะนึกทบทวนความหลัง ได้ยินเสียงพี่ชายของนางส่งเสียงกล่าวว่า
“คราครั้งนี้ เจ้าก่อเหตุเภทภัยใหญ่หลวงแล้วรู้หรือไม่? มีคนพบเราสองเฮียม่วย แถมเจ้ายังลงไม้ลงมือต่อแม่ชีนิรนามนางนั้น หากทว่าพี่ชายติดตามเจ้าไปไม่ทัน จะมีหน้ากลับไปพบท่านเจ้าผาได้เช่นไร”
ผู้ที่เรียกหาตนเองว่าพี่ชาย หยุดกล่าววาจาเล็กน้อย จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“ท่านเจ้าผา สั่งห้ามมิให้เราทั้งสองคน แสดงวิชาฝ่ามือประจำสำนักออกไปเด็ดขาด เกรงว่าจะเป็นที่สงสัยของผู้คน แต่ทว่าเจ้ากลับซุกซน ใช้วิชาวายุกรีดนภาออกไป”
บุรุษผู้เป็นพี่ชาย กล่าววาจากับดรุณีนางนั้นยืดยาวคล้ายตำหนิ เนื่องจากก่อนลงจากเขา ท่านเจ้าผาของทั้งสอง ได้สั่งกำชับเอาไว้ว่า
“หากไม่จำเป็นจวนตัวจริง ๆ ห้ามมิให้พวกเจ้าทั้งสอง ใช้วิชาประจำสำนักออกไปเด็ดขาด เพื่อมิให้เป็นที่สังเกตของบรรดาชาวยุทธ์”
ดรุณีงดงามกระทืบเท้าคราหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวตอบพี่ชายนางว่า
“ข้าพเจ้าคาดคิดไม่ถึงว่า แม่ชีนางนั้นจะมีฝีมือร้ายกาจปานนี้ นางลงมือเพียงไม่กี่กระบวนท่า ทำเอาข้าพเจ้าย่ำแย่ก้าวเท้าสับสน นางแทบเอาชีวิตน้อย ๆ ของข้าพเจ้าไป”
ดรุณีนางนั้น หันมาจ้องมองหน้าพี่ชายของนาง แสดงสีหน้าสำนึกขอบคุณ ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“แต่ทว่า ข้าพเจ้ายังโชคดีอยู่บ้าง ที่พี่ชายติดตามไปทัน พร้อมทั้งขัดขวางนางไว้ได้พอดี ในตอนนั้นข้าพเจ้าเห็นนางทำร้ายคนไม่มีทางสู้ นางเป็นผู้ทรงศีลกลับไม่อยู่ในศีลในธรรม ข้าพเจ้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือคนก็ด้วยกุศลเจตนา พี่ชายจะโทษข้าพเจ้าฝ่ายเดียว นับว่าไม่ถูกต้องนัก”
ดรุณีนางนั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยอมอ่อนข้อ บุรุษผู้เป็นพี่ชายจึงกล่าววาจาโต้ตอบว่า
“ผาของเราอยู่ในที่เร้นลับบนหุบเขาสูง นานมากแล้วที่คนของผาไม่ได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าผา ให้ลงมาจากเขา ท่านเจ้าผาเองหลังจากค้นพบกับผาแห่งนี้ และนำเราเฮียม่วยมาเลี้ยงดู ท่านไม่เคยลงจากผาแม้คราเดียว”
บุรุษผู้เป็นกอกอของดรุณีนางนั้น ส่งเสียงกล่าวสืบต่อว่า
“ท่านเจ้าผา สั่งห้ามเด็ดขาด มิให้ผู้ใดลงจากผาก่อนได้รับอนุญาต ที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดกล้าย่างเท้า ก้าวออกจากผาแม้แต่ผู้เดียว แม้นใครขัดคำสั่ง มีแต่ต้องตายสถานเดียว สิบห้าปีมานี้ ท่านเร้นกายไม่ลงจากผา ได้แต่เก็บตัวฝึกปรือสุดยอดวิชา หากทว่าท่านลงจากผาอีกครั้ง ในยุทธภพนี้คงเสาะหาคู่มือทัดเทียมท่านได้ยากยิ่ง”
ดรุณีนางนั้นยืนเงียบงันฟังวาจา บุรุษผู้นั้นหยุดใช้ความคิดเล็กน้อย แล้วกล่าววาจาสืบต่อว่า
“แม่ชีนางนั้นเป็นผู้ใดกันแน่? พลังฝีมือยอดเยี่ยมสูงส่ง พี่ชายเองตอนประกระบวนท่ากับนาง ยังเป็นรองอยู่หลายช่วงตัวทีเดียว โชคดีอยู่บ้างที่เจ้าใช้เข็มโปรยบุปผาร่วงข่มขวัญนาง”
บุรุษผู้เป็นกอกอ จ้องมองใบหน้าผู้เป็นน้องสาว แล้วกล่าววาจาต่อว่า
“หากในตอนนั้น นางล่วงรู้ว่าอาวุธลับที่เจ้าใช้ เจ้าฝึกยังไม่ถึงสามในสิบส่วน นางคงถล่มเราเฮียม่วยละเอียดไม่เหลือกระดูกเป็นแน่ แต่ทว่าไม่ทราบเกิดเรื่องราวใด? นางล่าถอยไปแต่โดยดี คราครั้งนี้พี่ชายกลับขึ้นผา จะต้องรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น ให้ท่านเจ้าผาท่านได้รับทราบโดยละเอียด แต่เอาเถิด ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น พี่ชายจะออกหน้าแทนเจ้าเอง”
ดรุณีนางนั้น เมื่อได้ยินพี่ชายของนาง กล่าววาจาออกมาเช่นนั้น นางจึงอ่อนเสียงลงสีหน้าแย้มยิ้ม หันมาคว้าแขนพี่ชายพร้อมกล่าวว่า
“เฟิ่นไป่ชิง ยอมรับผิด ต่อไปจะไม่ก่อเรื่องราวอีก ครั้งนี้ถือว่าเป็นบทเรียนประสบการณ์ จากนี้ข้าพเจ้าจะระมัดระวังตัวไว้ให้มาก พี่ชายอย่าได้กล่าวตำหนิข้าพเจ้าแล้ว ว่าแต่เราทั้งสองจะเดินทางกลับผากันค่ำคืนนี้เลยหรือไม่?”
ที่แท้ดรุณีนางนั้น นางมีชื่อว่าเฟิ่นไป่ชิง ส่วนบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง ชื่อเฟิ่นมู่เหอ
บุรุษผู้เป็นพี่ชาย เมื่อเห็นปฏิกิริยาของน้องสาว จึงแย้มยิ้มเอ็นดูส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“พี่ชายได้รับคำสั่งท่านเจ้าผา ให้เสาะหาคนผู้หนึ่ง? ซึ่งเป็นคนคุ้นเคยกับท่าน ครั้งที่ท่านผาดโผนอยู่ในยุทธจักร แต่ทว่ายังไม่พบตัวกลับมาเกิดเรื่องราวขึ้นเสียก่อน แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล พี่ชายได้ทำเครื่องหมายนัดแนะเอาไว้แล้ว ค่ำคืนนี้เจ้ากับพี่ชาย เสาะหาที่พักในหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ อาศัยพักผ่อนหลับนอนเอาแรงไว้ พรุ่งนี้เช้าค่อยออกไปทำธุระให้เสร็จสิ้น แล้วค่อยเดินทางกลับผาทันที”
สองอาคันตุกะชุดดำ ซุ่มแอบฟังคำสนทนาของทั้งสองอยู่เนิ่นนาน พลันริมโสตแว่วได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมุ่งตรงมายังตำแหน่งที่ทั้งสองยืนอยู่ ชุดดำทั้งสองหันมองสบตากันวูบหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะกระทำประการใดต่อไป
แต่ทว่า เมื่อหันกลับไปยังตำแหน่งเมื่อครู่ ซึ่งสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นยืนอยู่ กลับไม่เห็นคนทั้งสองแม้แต่เงา ไม่ทราบว่าทั้งสองใช้วิชาท่าร่างใด ในชั่วพริบตากลับหายตัวไปอย่างลึกลับ คนชุดดำซึ่งสะพายกระบี่ รีบหันมากล่าววาจา ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ กับชุดดำอีกคนว่า
“มีคนมุ่งตรงมาทางนี้ไม่น้อยกว่าสิบคน สองคนนั้นก็หายตัวไปแล้ว เจ้าอย่ามัวชักช้ารีบกลับขึ้นเขาไป แล้วรายงานเรื่องราวให้ท่านเจ้าสำนักของเจ้าได้รับทราบ ฝากคำพูดของเราไปว่า ทุกเรื่องราวยังคงดำเนินไปตามแผน หากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง เราจะส่งข่าวกลับไป ส่วนคนแซ่เฟิ่นทั้งสอง เราจะติดตามหาร่องรอยเอง เจ้ากับเราแยกทางกันตรงนี้ ระมัดระวังตัวด้วย”
กล่าวจบ ชุดดำทั้งสองต่างทะยานดุจศรหลุดจากแหล่งจากไป ชายชุดดำที่สะพายกระบี่เมื่อตอนหัวค่ำ มุ่งตรงสู่นครหลวงลั่วหยาง ส่วนชุดดำอีกคน ไม่แน่นักว่าไปทิศทางใด ดูจากเงาหลังคล้ายคลึงกับคนผู้หนึ่ง ซึ่งปรากฏกายในงานเลี้ยงอวยพร ท่านหลิวซุ่นกงกงเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า
หลังจากคนทั้งสองจากไป ฝุ่นควันยังไม่ทันจางหาย คนกลุ่มใหญ่ทยอยมาถึง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่คนทั้งสองเพิ่งผละไป ทั้งหมดมาด้วยกันทั้งสิ้นสิบคน แยกเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มแรกเป็นบุรุษต่างวัยมีด้วยกันสี่คน คนนำหน้าวัยหกสิบเศษมีนามว่าเฉิงปู้กง เป็นหัวหน้าพรรคไผ่หลิว อีกสามคนเป็นบุรุษอายุไล่เลี่ยกันซึ่งเป็นศิษย์
กลุ่มถัดมามีด้วยกันสามคน คือสำนักเมฆฟ้าพิรุณ คนนำหน้าเป็นเจ้าสำนักนามเหิงปี้ไป่ วัยเจ็ดสิบเศษ ติดตามมาด้วยศิษย์เอกสองคน แบ่งเป็นหนึ่งบุรุษกับหนึ่งสตรี อายุยังอ่อนวัยหนุ่มสาว
กลุ่มสุดท้ายมีด้วยกันทั้งสิ้นสามคน คือหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว คนนำหน้าเป็นเจ้าหุบเขานามมู่ชิวป้า อายุราวเจ็ดสิบปี พร้อมกับศิษย์สตรีสองนาง ทั้งสองมีอายุไล่เลี่ยกัน รูปร่างอ้อนแอ้นบอบบางอยู่ในชุดนักบู๊สีขาวดั่งหิมะ เค้าโครงรูปหน้างดงามผิวขาวผุดผ่อง เมื่อทั้งหมดมาถึง ต่างแยกย้ายกันสำรวจตรวจสอบทั่วบริเวณ แต่ทว่าไร้วี่แววของผู้คน
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวนามมู่ชิวป้า เอ่ยกล่าวถามขึ้นว่า
“ท่านเหิง พบเห็นสิ่งใดผิดปกติบ้างหรือไม่?”
ผู้ที่ถูกเรียกหาว่าท่านเหิง ท่านคือเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณ แสดงสีหน้าครุ่นคิด ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เรามีความคิดเห็นว่า คนเหล่านี้คงจากไปได้ไม่นาน อาจจะก่อนหน้าพวกเรามาไม่มากนัก ดูจากร่องรอยตรงนี้มีสองคนด้วยกัน และห่างไปตรงโน้นอีกสองคนเช่นกัน ดูท่าทางอาจจะเป็นคนละกลุ่มกัน”
เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ ส่งเสียงกล่าววาจาชี้แจงตามเหตุผล หลังจากเดินสำรวจจนทั่วบริเวณแล้ว หัวหน้าพรรคไผ่หลิวนามเฉิงปู้กง ส่งเสียงกล่าวขึ้นด้วยความผิดหวังบ้างว่า
“เราเองล้วนมีความคิดเห็นตรงกันกับท่านเหิง แต่ทว่าคิดไม่ออกว่าเป็นคนของฝ่ายใด? ดูแล้วการมาครั้งนี้ของเราท่าน คงต้องคว้าน้ำเหลวอีกเช่นเคย”
หัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กง ยกมือหยาบหนาขึ้นลูบเครายาวห้าแฉก พลางใช้ความคิดใคร่ครวญ ทั้งหมดติดตามร่องรอยคนร้ายมาหลายวัน แต่ทว่ายังไม่ได้เบาะแสอันใด ดังนั้นจึงปรึกษาหารือกันว่า จะกระทำเช่นไรต่อไป
คนทั้งหมด สนทนากันอีกครู่ใหญ่ จึงมีความเห็นสรุปตรงกันว่า ให้ทั้งหมดแยกย้ายกันกลับสำนักของตนเองก่อน จากนั้นค่อยรวมตัวกันอีกที พร้อมกันนั้นได้จัดเตรียมคน ให้มาคอยสอดส่องหาข่าวในแถบนี้ด้วย
เมื่อสรุปความเห็นเป็นเช่นนั้น จึงมอบหมายให้อวี้หว่อ ซึ่งเป็นศิษย์คนรองของพรรคไผ่หลิว รับหน้าที่ไปรายงานต่อท่านหลิวซุ่นกงกง ยังหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ส่วนหนานตี้ศิษย์คนโตของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ รับหน้าที่เดินทางไปรายงานต่อเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน จากนั้นทั้งหมดจึงเดินทางออกจากสถานที่นั่นทันที
ยามนั้น เมื่อคนทั้งหมดทยอยเดินทางออกจากบริเวณไป ถัดไปไม่ไกลเท่าใดนัก บนกิ่งไม้ใหญ่ที่มีใบหนาทึบปกคลุม เฟิ่นมู่เหอพร้อมด้วยเฟิ่นไป่ชิง คนทั้งสองทิ้งตัวลงจากต้นไม้ใหญ่ ความจริงคนทั้งสองมิได้จากไปไหนไกล เพียงแต่อาศัยช่วงจังหวะ ที่คนชุดดำสองคนหันไปสบตากัน กระทั่งพวกมันลืมปิดกั้นลมหายใจ เพียงชั่วพริบตาคนทั้งสองล่วงรู้ว่ามีคนซุ่มดูอยู่ พากันพลิ้วร่างขึ้นซ่อนกายบนต้นไม้ใหญ่ พร้อมกับใช้วิชากำลังภายใน บังคับปิดกั้นลมหายใจ ซ่อนตัวอยู่บนคบไม้ รอจนคนทั้งหมดจากไป จึงพากันกระโดดลงจากที่ซ่อนตัว
คนทั้งสองเป็นคนของเผ่าใด และสถานที่เร้นลับที่กล่าวถึงตั้งอยู่ที่ไหน ไฉนสิบห้าปีที่ผ่านมา บรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลาย จึงไม่ระแคะระคายถึงความดำรงคงอยู่ ของผาเร้นลับแห่งนี้
การปรากฏตัวขึ้นของเฮียม่วยแซ่เฟิ่นทั้งสอง มีจุดประสงค์อันใดแอบแฝงหรือไม่ อีกทั้งคนที่ทั้งสองกำลังเสาะหาตัวเล่า เขาผู้นั้นเป็นบุคคลชนชั้นใดกันแน่ คนที่ว่ามีความสัมพันธ์อันใด กับคนของผาเร้นลับแห่งนี้
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564