ตอนที่ 41
ใกล้วันชุมนุมชาวยุทธ์
เยี่ยนผิงไม่รู้จักสำนักอสูรโลกันตร์มาก่อน และไม่คิดว่าในใต้หล้านี้จะมีบุรุษที่หลงตัวเองเช่นนี้อยู่อีกด้วย เมื่อได้ยินว่ามารดาของนางจะพูดคุยเกี่ยวกับการสู่ขอนางให้กับบุรุษกรุ้มกริ่มผู้นี้ นางรู้สึกไม่พอใจเป็นยิ่งนักจึงไม่อยากจะกล่าววาจากับคนผู้นี้ด้วยสืบต่อไป
ดังนั้นเยี่ยนผิงจึงเคลื่อนกายฉีกออกมาทางด้านซ้ายแล้วคิดจะสืบเท้าจากไป แต่ทว่าหาได้ง่ายดายดั่งเช่นที่นางคาดคิดไว้ เยิ่นหว่อถิงพลันสืบเท้าเข้าสกัดกั้นเอาไว้พร้อมกับยกมือขวาที่ถือพัดจีบขึ้นขวางหน้าไว้ จากนั้นมันกล่าวว่า
“แม่นางเยี่ยนผิงไฉนต้องรีบร้อนจากไป อยู่สนทนาเป็นเพื่อนกับข้าพเจ้าก่อน แล้วค่อยเดินทางขึ้นวัดเส้าหลินด้วยกัน ระหว่างทางข้าพเจ้ารับรองได้ว่าจะดูแลปรนนิบัติเป็นอย่างดีจะมิให้ลำบากแม้แต่น้อย รับรองว่าแม่นางจะต้องเพลิดเพลินและหฤหรรษ์อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ข้าพเจ้าจะปรนนิบัติแม่นางอย่างเต็มที่ เชื่อได้ว่าแม่นางจะไม่วันลืมเลือนข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงไปตลอดกาล”
คำพูดและน้ำเสียงที่กล่าวออกมาแฝงความหมายอันต่ำช้ำหยาบคาย ตอนแรกเยี่ยนผิงคิดจะลงมือในบัดดลแต่แล้วพลันหยุดยั้งความคิดนี้เอาไว้ เมื่อเห็นว่าบุรุษผู้นี้วาจาหยาบคายถึงเพียงนี้จะมีหน้าตาเป็นเช่นไร แต่บัดนี้มีหน้ากากปีศาจปิดบังใบหน้ามันเอาไว้ ดังนั้นนางจึงขบคิดกลอุบายขึ้นในใจจากนั้นปั้นหน้าเป็นโปรยยิ้มพร้อมกับกล่าววาจาไพเราะอ่อนหวานกว่าเดิมว่า
“ในเมื่อท่านกล่าววาจาว่าจะปรนนิบัติต่อข้าพเจ้าเป็นอย่างดี เช่นนั้นหากว่าข้าพเจ้าเยี่ยนผิงต้องการสิ่งใด?หรือต้องการให้ท่านกระทำสิ่งใด ท่านย่อมไม่ปฏิเสธต่อข้าพเจ้าใช่หรือไม่?”
“ถูกต้องหากเป็นความต้องการของแม่นางเยี่ยนผิงแล้ว ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงยินดีกระทำและปฏิบัติตามทุกเรื่องราว ขอแม่นางโปรดบอกกล่าวออกมาว่าต้องการให้ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงกระทำเรื่องราวใด?”
เยิ่นหว่อถิงรีบส่งเสียงรับปากต่อเยี่ยนผิงอย่างเอาอกเอาใจ อีกทั้งพัดจีบในมือไม่อยู่นิ่งมันใช้ปลายพัดจีบช้อนปลายคางของเยี่ยนผิงเพื่อจะพิจารณาดูใบหน้าอันงดงามของนางให้ถนัดชัดตายิ่งกว่าเดิม
เยี่ยนผิงสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ หากมิใช่ต้องการให้มันถอดหน้ากากปีศาจออกมานางคงชักกระบี่ฟันใส่มันไปแล้ว ดังนั้นแสร้งยกมือด้านซ้ายอันขาวเนียนผุดผ่องขึ้นปัดพัดจีบออกด้วยจริตมารยา จากนั้นส่งสายตาอ่อนหวานแล้วกล่าววาจาต่อเยิ่นหว่อถิงว่า
“เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของท่านเพียงวาจาหาเชื่อถือได้ไม่ ปากท่านกล่าววาจารับปากต่อข้าพเจ้าเยี่ยนผิงเช่นนั้นเช่นนี้ แต่ทว่าแม้แต่ใบหน้าที่แท้จริงท่านยังปิดบังไม่กล้าเปิดเผยต่อข้าพเจ้าอีกทั้งผู้คนทั่วไป หรือว่าที่แท้ใบหน้าของท่านอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวจนมิกล้าให้ผู้คนพบเห็น หากท่านจริงใจต่อข้าพเจ้าเยี่ยนผิงจริงแล้วละก็ ท่านจงถอดหน้ากากของท่านออกให้ข้าพเจ้าได้ชื่นชมใบหน้าของท่านว่าน่าดูหรือว่าน่าเกลียดเพียงใด และต่อแต่นี้ท่านห้ามสวมหน้ากากอยู่ตลอดเวลาอีกต่อไป ทั้งหมดที่ข้าพเจ้ากล่าวท่านจะกระทำได้หรือไม่?”
เยิ่นหว่อถิงรู้สึกยินดีเป็นยิ่งนักเมื่อได้ยินเยี่ยนผิงกล่าววาจาออกมาเช่นนั้น โดยมิต้องคิดให้มากความรีบกล่าววาจาตอบนางออกไปทันทีว่า
“ผู้ใดบอกต่อท่านว่าข้าพเจ้าอัปลักษณ์มีใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัว แท้จริงใบหน้าของข้าพเจ้าหล่อเหลาคมคายเป็นที่หมายตาต้องใจเหล่าสตรีเพศทั่วหล้าต่างหากเล่า? สาเหตุที่ต้องสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าของตัวเองตลอดเวลาเพื่อไม่ต้องการทำร้ายสตรีทั้งหลายให้ใจละลายเท่านั้นเอง หากแม่นางเยี่ยนผิงต้องการให้ข้าพเจ้าถอดหน้ากากออก ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงย่อมปฏิบัติตามโดยมิต้องคิดให้มากความ และรับปากต่อแม่นางว่าจะไม่สวมหน้ากากปีศาจนี้อีกต่อไป”
เยี่ยนผิงได้ฟังวาจาผู้นั้นกล่าวออกมา นางแทบจะสำรอกอาเจียนเอาสุราที่เพิ่งดื่มกินออกมาเสียให้ได้ บุรุษผู้นี้นอกจากวาจาหยาบคายยังคล้ายสุนัขยกหางตัวเองตอนขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย แต่นางรีบสะกดกลั้นอาการเหล่านั้นเอาไว้ไม่แสดงออกมาให้แก่เยิ่นหว่อถิงจับพิรุธได้
เยิ่นหว่อถิงค่อย ๆ เอื้อมมือขึ้นปลดหน้ากากปีศาจออกมาช้า ๆ พอหน้ากากปีศาจสีเงินหลุดพ้นจากใบหน้าภาพที่ปรากฏต่อเยี่ยนผิงกับสองเฮียม่วยและจ่านจือ เป็นใบหน้าของบุรุษที่หล่อเหลาคมคายดวงตาคมกริบส่องประกาย คิ้วหนาจมูกโด่งริมฝีปากเต็มอิ่มเอิบได้รูปรับกับใบหน้า แม้นว่าจะไม่เทียบเท่าจ่านจือแต่นับได้ว่าหากสตรีนางใดได้พบหน้า หากไม่หลงใหลในความหล่อเหลากับสายตาเจ้าชู้ของบุรุษผู้นี้นับว่าแปลกประหลาดไปแล้ว
แม้แต่เยี่ยนผิงเองพอเห็นใบหน้าอันแท้จริงของเยิ่นหว่อถิง พลันขบคิดขึ้นในใจว่า ถูกต้องของท่านเมื่อครู่ที่ท่านกล่าววาจาออกมานับว่ามิผิดเพี้ยน แต่ทว่าท่านมิอาจทำให้ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงหวั่นไหวได้ ข้าพเจ้ามีชายในดวงใจแล้วและจะเป็นบุรุษเพียงผู้เดียวที่ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงจะมีใจให้ จากนั้นเยี่ยนผิงแกล้งแสดงสีหน้าเป็นตกตะลึงต่อใบหน้าของมันที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้า แล้วส่งเสียงกล่าววาจาออกไปว่า
“ความจริงท่านนับว่าดูไม่เลวนักหล่อเหลาคมคายอย่างที่ท่านกล่าวออกมาเมื่อครู่ เช่นนั้นข้าพเจ้าเยี่ยนผิงขอหน้ากากปีศาจของท่านเก็บติดตัวเอาไว้จะได้หรือไม่?”
เยิ่นหว่อถิงแสดงอาการดีอกดีใจอย่างออกนอกหน้าเมื่อได้ยินวาจาของเยี่ยนผิง รีบยื่นส่งหน้ากากปีศาจในมือให้แก่นางโดยมิรอรอ จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อเยี่ยนผิงว่า
“ในเมื่อแม่นางเยี่ยนผิงต้องการ มีหรือที่ข้าพเจ้าจะมอบให้มิได้ ได้ยินแม่นางบอกว่าข้าพเจ้าไม่เลวแสดงว่าแม่นางเองพอใจข้าพเจ้าเช่นกัน เท่ากับแม่นางรับปากที่จะเดินทางร่วมกับข้าพเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”
เยี่ยนผิงรีบซุกเก็บหน้ากากยางไว้ในแขนเสื้อ จากนั้นหันมากล่าวตอบเยิ่นหว่อถิงว่า
“ได้สิข้าพเจ้ารับปากท่าน แต่มีข้อแม้ว่าท่านต้องทำงานให้ข้าพเจ้าชิ้นหนึ่ง หากท่านกระทำได้ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงรับปากจะร่วมเดินทางขึ้นเส้าหลินกับท่านตกลงหรือไม่?”
“ตกลง แม่นางต้องการให้ข้าพเจ้ากระทำสิ่งใด? โปรดรีบบอกกล่าวออกมาอย่าได้เกรงใจ”
เยี่ยนผิงเบือนหน้ามองมาทางด้านกลุ่มของจ่านจือซึ่งอยู่ห่างจากที่นางกับเยิ่นหว่อถิงยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก จากนั้นปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปากอย่างมีเลศนัยบางอย่าง แล้วกล่าวกับเยิ่นหว่อถิงว่า
“ข้าพเจ้าขอบอกต่อท่านตามตรงมิปิดบัง แท้จริงแล้วข้าพเจ้าเยี่ยนผิงมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว แต่เขาไม่เคยรักษาน้ำใจของข้าพเจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อข้าพเจ้า ตลอดเวลาคิดแต่จะรังแกเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา มิหนำซ้ำยังพาสตรีอื่นมาเหยียดหยามต่อหน้าโดยมิเกรงใจ หากท่านจัดการกับเขาให้ข้าพเจ้าได้เรื่องที่ข้าพเจ้าจะร่วมเดินทางไปกับท่านสามารถกระทำได้ หากไม่เช่นนั้นแล้วเขาผู้นั้นจะตามมารังควานตอแยต่อข้าพเจ้าอีก”
แม้ว่าจะยืนอยู่ห่างจากเยี่ยนผิงหลายสิบก้าว แต่จ่านจือได้ยินคำพูดเหล่านั้นของเยี่ยนผิงชัดเจนทุกคำพูด ถึงแม้จะคลุกคลีอยู่กับนางไม่นานเท่าใดนัก แต่เขาพอจะทราบนิสัยใจคอของนางเป็นอย่างดี คำพูดเมื่อครู่ที่ว่านางมีคนรักอยู่แล้วอีกทั้งสายตาที่มองมาต้องหมายความเป็นตัวเขาอย่างแน่นอน ด้านหนึ่งอดรู้สึกตื้นตันดีใจอย่างบอกมิถูก ด้านหนึ่งคิดว่าคำพูดของนางคงมิรวบรัดธรรมดาเช่นนั้นแน่ สตรีนางนี้คิดจะเล่นลวดลายบางประการตามนิสัยเจ้าแผนการของนางนั่นเอง
เยิ่นหว่อถิงได้ยินเช่นนั้นย่อมยินดีปรีดาเป็นธรรมดา ภายในใจครุ่นคิดว่าบุรุษผู้นั้นช่างเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาเสียยิ่งนัก มีสตรีที่งดงามปานเทพธิดาในโลกหล้าหาผู้ใดเปรียบเทียบได้ยังไม่รักษาน้ำใจได้อีก ด้วยนิสัยใจคอของเยิ่นหว่อถิงนอกจากเจ้าชู้กรุ้มกริ่มแล้ว การที่ได้อวดฝีมือและทำร้ายผู้อื่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เยิ่นหว่อถิงชื่นชอบกระทำมากที่สุด ดังนั้นจึงเอ่ยถามต่อเยี่ยนผิงว่า
“มิทราบว่าคนผู้นั้นที่แม่นางเยี่ยนผิงกล่าวถึงเป็นผู้ใด? ข้าพเจ้าจะรีบไปจัดการให้กับแม่นางในบัดดล”
เยี่ยนผิงหันมาทางจ่านจือพร้อมกับยกปลายกระบี่ชี้มาทางเขา แล้วกล่าววาจากับเยิ่นหว่อถิงขึ้นว่า
“ท่านมิต้องติดตามหาให้ลำบากแล้ว คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงโน้นรีบไปจัดการให้กับข้าพเจ้าอย่าได้ชักช้า”
เยิ่นหว่อถิงมองตามด้ามกระบี่ที่เยี่ยนผิงชี้ไป เห็นบุคคลสามคนยืนอยู่ตรงนั้น สองคนเป็นบุรุษอีกคนหนึ่งเป็นอิสตรี เยิ่นหว่อถิงมองข้ามจ่านจือกับมู่เหอไปสายตาจับจ้องหยุดนิ่งอยู่ที่ไปชิง ภายในใจครุ่นคิดว่านึกไม่ถึงวันนี้จะได้พบพานหญิงงามถึงสองนางด้วยกัน ขณะที่กำลังตกตะลึงต่อความงามของไป่ชิง เสียงของเยี่ยนผิงพลันเอ่ยมากระตุ้นดังว่า
“ท่านจะมัวชักช้าอยู่อีกรึ? รีบจัดการคนผู้นั้นให้ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ หากท่านขี้ขลาดมิกล้าลงมือ ต่อไปอย่าได้กล่าววาจาต่อข้าพเจ้าอีก”
เยิ่นหว่อถิงได้ยินเช่นนั้นรีบแสดงสีหน้าเป็นเอาอกเอาใจต่อเยี่ยนผิง แล้วพุ่งร่างเข้าหาจ่านจือตามทิศทางที่นางชี้บอก เมื่อบรรลุถึงพัดจีบในมือพลันคลี่กางออก จากนั้นกรีดเฉียง ๆเข้าใส่ร่างของจ่านจืออย่างที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตากระนั้น
จ่านจือคาดคิดเอาไว้แต่แรกว่าเยี่ยนผิงนางต้องมีแผนการบางอย่าง ดังนั้นรีบส่งเสียงต่อมู่เหอกับไป่ชิงว่า
“ท่านมู่เหอกับแม่นางไป่ชิงท่านทั้งสองหลบไปรอข้าพเจ้าด้านโน้นก่อน ข้าพเจ้าขอรับมือกับคนผู้นี้เองท่านทั้งสองอย่าได้เป็นห่วง”
พอจ่านจือกล่าววาจาต่อคนทั้งสองจบ เป็นเวลาเดียวกันกับพัดจีบของเยิ่นหว่อถิงกรีดเข้ายังบริเวณใบหน้าของเขา ลมปราณที่บรรจุมากับตัวพัดมิได้เกรี้ยวกราดมากนัก แต่นับว่าเป็นการลงมือที่หมดจดหวังผลสำเร็จภายในกระบวนท่าเดียว ด้วยเยิ่นหว่อถิงยังมิทราบว่าจ่านจือมีฝีมือติดตัวแถมทางด้านพลังวัตรอาจจะก้าวล้ำหน้าตนเองเสียด้วยซ้ำ
จ่านจือมิได้ขยับร่างท่อนล่างเพียงขยับศีรษะก้มต่ำลงสามารถหลบรอดท่าจู่โจมของเยิ่นหว่อถิงได้โดยง่ายดาย เยิ่นหว่อถิงเห็นเช่นนั้นรู้สึกเสื่อมเสียหน้าอยู่ไม่น้อยที่การลงมือครั้งแรกไม่ประสบผลสำเร็จ รีบวกพัดจีบคืนมาแล้วหุบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นพุ่งปลายพัดจีบออกต่างกระบี่เสือกเข้าใส่ยังร่างของเขา แต่หนนี้แฝงกำลังภายในจนเปี่ยมล้น
พัดจีบซึ่งใช้ต่างกระบี่ยังไม่ทันบรรลุมาถึง คลื่นพลังไร้สภาพที่เกรี้ยวกราดม้วนทะลักเข้ามาถึงก่อน จ่านจือรีบเกร็งลมปราณขึ้นคุ้มครองกายจากนั้นก้าวเท้าซ้ายไปด้านข้างพร้อมกับมือขวาตบเข้าใส่ยังริมขอบของพัดจีบ เยิ่นหว่อถิงเห็นเช่นนั้นทราบทันทีว่าที่แท้จ่านจือมีฝืมือติดตัว
เยิ่นหว่อถิงรีบเปลี่ยนกระบวนท่าจากจู่โจมท่อนบน เป็นเตะกวาดเข้าใส่ท่อนล่างของจ่านจืออย่างเร่งร้อนรวดเร็วสุดบรรยาย จ่านจือสายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของมันคล้ายกับคำนวณได้แต่แรกว่าเยิ่นหว่อถิงจะใช้กระบวนท่านี้ ดังนั้นรีบหมุนกายไขว้ขาสลับชิงถอยหลังไปสองก้าวด้วยท่วงท่าสง่าสวยงาม
เยิ่นหว่อถิงรีบกระโจนตามติดพัดจีบในมือคลี่กางออก ลมปราณในร่างในขณะนี้ถูกเร่งเร้าจนเต็มเปี่ยม จ่านจือขณะนี้มองเห็นพัดจีบในมือของเยิ่นหว่อถิงขยายใหญ่โตขึ้นเป็นร้อยพันเท่า ปราณพลังโหมทะลักกดคุกคามเข้ามาทั่วบริเวณ
แล้วเยิ่นหว่อถิงทะยานร่างขึ้นพุ่งเข้าหาจ่านจือดุจสายฟ้า พัดจีบในมือขวาฟาดฟันซ้ายสลับขวาอย่างว่องไวถี่ยิบ เห็นเป็นเพียงเงาพัดเป็นร้อยพันหมื่นสายพร้อมกับเยิ่นหว่อถิงส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง เยี่ยนผิงซึ่งยืนชมดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างอดใจหายวาบขึ้นมามิได้ หากครั้งนี้จ่านจือต้านรับมิได้ผลร้ายย่อมจะมากกว่าผลดี
เยี่ยนผิงเห็นเช่นนั้นรีบชักกระบี่ในมือออกมาแล้วโถมร่างเข้าไปยังเงาพัดจีบอย่างรวดเร็ว ทางด้านไป่ชิงเมื่อเห็นเยี่ยนผิงพุ่งร่างเข้ามาเช่นนั้น มิรอช้ารีบชักกระบี่ออกมาแล้วโถมเข้าขัดขวางเยี่ยนผิงเอาไว้อย่างไม่รอช้าเช่นกัน
แท้จริงแล้วเยี่ยนผิงต้องการเข้ามาช่วยเหลือจ่านจือ ด้วยมิเคยเห็นการลงมือของจ่านจือต่อสู้กับผู้ใด มีเพียงครั้งเดียวที่เขาพุ่งร่างคว้ารับอาวุธของยอดฝีมือหมู่ตึกระเรียนฟ้าเอาไว้ ดังนั้นนางจึงคำนวณว่าเขาอาจจะสู้เยิ่นหว่อถิงมิได้ ส่วนไปชิงนางเข้าใจผิดคิดว่าเยี่ยนผิงชักกระบี่เข้ามาเพื่อช่วยเหลือเยิ่นหว่อถิงอีกแรงหนึ่ง ดังนั้นนางจึงทนยืนดูอยู่ไม่ไหวพุ่งร่างพร้อมกระบี่เข้าสกัดขัดขวางไว้นั่นเอง
เหตุการณ์ในขณะนี้กลับกลายเป็นฝ่ายละสองคนห้ำหั่นกัน จ่านจือพัวพันอยู่กับเยิ่นหว่อถิงส่วนเยี่ยนผิงกำลังประมืออยู่กับไป่ชิง หากวิจารณ์ตามฝีมือเยี่ยนผิงย่อมสูงส่งกว่าไป่ชิงอยู่ขั้นสองขั้น แต่ด้วยความเป็นห่วงจ่านจือเกรงว่าจะถูกหว่อถิงทำร้าย ดังนั้นสมาธิของเยี่ยนผิงจึงแบ่งออกเป็นสองด้าน
มีแต่เพียงมู่เหอเท่านั้นที่ดูออกว่าเยี่ยนผิงแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อจ่านจือ ที่นางชักกระบี่พุ่งเข้ามาด้วยต้องการช่วยเหลือเขา มิได้เข้ามาเพื่อช่วยเหลือเยิ่นหว่อถิงดั่งที่ไป่ชิงน้องสาวเข้าใจ แต่ทว่าด้วยความเป็นห่วงจ่านจือของไป่ชิงทำให้มู่เหอไม่ทันที่จะห้ามน้องสาวของตนเอาไว้ได้ทัน กลายเป็นว่าเหตุการณ์ในขณะนี้ชุลมุนวุ่นวายเลยทีเดียว
ขณะที่คนทั้งสี่กำลังประมือกันอย่างดุเดือดทันใดนั้นปรากฏคนผู้หนึ่งพุ่งร่างเข้าหาวงต่อสู้ พร้อมกับแยกย้ายฝ่ามือซ้ายขวากดกระแทกเข้าใส่ไป่ชิงกับเยี่ยนผิงคนละฝ่ามือ นางทั้งสองรีบพุ่งร่างหลบหลีกฝ่ามือของคนผู้นั้นอย่างร้อนรน ผู้ที่ลงมือจู่โจมมีสภาวะท่าร่างรวดเร็วแม้แต่เยี่ยนผิงยังอดใจหายต่อท่าร่างมิได้
มู่เหอเห็นเช่นนั้นรีบพุ่งร่างเข้าไปดึงร่างของไป่ชิงออกมา ส่วนเยี่ยนผิงพุ่งร่างออกมาด้านข้างราวสามวา เห็นว่าผู้ที่ลงมือสวมใส่ชุดยาวสีแดงสดใบหน้าอัปลักษณ์ไม่คล้ายผู้คน เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจดจำได้โดยทันที ใช่แล้วเป็นผู้ที่เรียกตนเองว่าอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงนั่นเอง
อัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงเมื่อเห็นเยี่ยนผิงกับไป่ชิงหลบหลีกไปด้านข้าง จึงเปลี่ยนทิศทางเบี่ยงเบนหันเข้าเล่นงานหว่อถิงแทน นางพุ่งเข้าหาระหว่างกลางจ่านจือกับหว่อถิงแล้วออกแรงผลักฝ่ามือใส่จ่านจือหนึ่งฝ่ามือ แต่กระบวนท่าฝ่ามือมิได้หมายทำร้ายเพียงแต่ออกแรงส่งร่างของเขาออกมาเท่านั้น
เมื่อร่างของจ่านจือถูกนางผลักส่งออกมา ทั้งเยี่ยนผิงและไป่ชิงต่างวิ่งเข้าหาจ่านจือโดยพร้อมเพรียง ได้ยินอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือดังขึ้นว่า
“เจ้าหนุ่มเจ้าจงจดจำกระบวนท่าของเราเอาไว้ให้ดีห้ามตกหล่นแม้แต่ท่าเดียว แล้วเราจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้เจ้าในภายหลัง เจ้าอย่าได้ดูแคลนว่าเป็นกระบวนท่าที่อ่อนช้อยด้อยพลัง ความพลิกแพลงของวิชานี้สุดพิสดารวิชาฝีมือชุดนี้เรียกว่า กระสวยฟ้าตาข่ายด้ายแดง”
กล่าวจบหญิงชุดแดงหน้าตาอัปลักษณ์ร่ายรำฝ่ามือทั้งสองออก นิ้วทั้งสิบกรีดกรายชดช้อยแม้นุ่มนวลพลิ้วไหวแต่สภาวะกลับกดดันคุกคามเข้าใส่มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง จากฝ่ามือที่ดูคล้ายเชื่องช้ากลับทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะมองเห็นเพียงเงาฝ่ามือเลือนราง บัดเดี๋ยวปรากฏบัดเดี๋ยวหายวับมีทั้งหลอกล่อจริงเท็จสลับปะปนชวนให้สายตาพร่าพราย
เยิ่นหว่อถิงสลับเท้าก้าวถอยหลังอย่างร้อนรนสายตาพร่าพรายกับเงาฝ่ามือ แต่กระนั้นยังพยายามคลี่พัดจีบขึ้นแล้วฟาดฟันเข้าใส่เงาฝ่ามือเหล่านั้นสุดกำลัง หญิงชุดแดงหมุนร่างคล้ายดั่งหฤหรรษ์กับการละเล่นบางอย่างบางครั้งคล้ายดั่งร่ายรำฉวัดเฉวียนไปมา ทุกครั้งที่พุ่งฝ่ามือออกไปภายในแขนเสื้อเสมือนถูกบรรจุด้วยคลื่นลมมหาศาลทำให้แขนเสื้อสีแดงสดโป่งพอง เมื่อดึงแขนกลับมาแขนเสื้อทั้งสองกลับแฟบแนบผิวหนังอย่างน่าประหลาด
แต่ที่น่าตระหนกตกใจไปกว่านั้น ภายในแขนเสื้อของสตรีชุดแดงทำเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ นั่นคือสามารถยืดหดสองแขนให้สั้นยาวได้ตามใจปรารถนาและรวดเร็ว มีเพียงจ่านจือที่มีสายตาอันปราดเปรียวที่ก้าวเข้าขอบเขตของผู้ทักษะยุทธ์ขั้นสูงสามารถมองออก
จ่านจือกลับพบว่าแท้จริงแขนของสตรีชุดแดงมิได้ยืดหดอย่างที่สายตามองเห็น ความจริงแล้วเป็นแขนเสื้อของนางต่างหากที่หดสั้นและยืดยาว แต่ด้วยระดับความรวดเร็วของกระบวนท่ายากนักที่จะสามารถมองออกได้นั่นเอง
เสียงฝ่ามือของอัปลักษณ์อาภรณ์แดงกระทบกับพัดจีบของมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณดังไม่ขาดหู แต่สภาวะท่าร่างคล้ายมิได้ตั้งใจลงมือโดยตรง หรือว่าสตรีชุดแดงที่ลงมือครั้งนี้เพียงเพื่อสั่งสอนเยิ่นหว่อถิงเท่านั้น และอีกด้านหนึ่งเพื่อแสดงกระบวนท่าวิชาให้แก่จ่านจือได้จดจำกระบวนท่าของนางนั่นเอง
สุดท้ายอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิง ใช้วิชาฝ่ามือพิสดารตบใส่หน้าเยิ่นหว่อถิงไปถึงสิบฝ่ามือติดต่อกัน แล้วกล่าววาจาต่อมารขลุ่ยเงินเยิ่นหว่อถิงว่า
“สิบฝ่ามือนี้เป็นการสั่งสอนเจ้าจงอย่าได้โอหังอวดดีว่ามีฝีมือเหนือผู้อื่น แม้แต่อาจารย์ของเจ้าข้าอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงยังเคยใช้ฝ่ามือนี้ตบหน้ามันมาแล้ว”
กล่าวจบสตรีชุดแดงพุ่งร่างทะยานเข้ามาหาจ่านจือ แล้วพุ่งฝ่ามือออกคว้าจับคอเสื้อของเขาแล้วหิ้วร่างพาเหินข้ามตึกสูงด้านหน้าไปด้วยระดับความเร็วที่ใช้เกินกว่าที่บรรยายออกมาได้ นับว่าวิชาตัวเบาของสตรีชุดแดงผู้นี้สูงส่งเลิศล้ำในบู๊ลิ้มผู้หนึ่งแล้ว
“จ่านจือ!”
ทั้งเยี่ยนผิงและไป่ชิงนางส่งเสียงเรียกจ่านจือด้วยความตกใจโดยพร้อมเพรียง แล้วไป่ชิงกับมู่เหอรีบพุ่งร่างติดตามสตรีชุดแดงไป ส่วนเยิ่นหว่อถิงยืนเอามือลูบคลำใบหน้าของตนเอง ซึ่งบัดนี้ปรากฏร่องรอยนิ้วมือของสตรีชุดแดงขึ้นทั้งสองด้าน พร้อมกับขบคิดถึงคำพูดของสตรีชุดแดงขึ้นมา ที่กล่าวว่าอาจารย์ของตนเคยถูกนางตบหน้ามาก่อนด้วยเช่นกัน
เยี่ยนผิงขณะเก็บกระบี่คืนฝักต้องลอบอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อพบว่ากระบี่ในมือของตนมิใช่กระบี่อัคคีน้ำค้างที่มารดามอบให้ พลันหวนนึกถึงชายชรารูปร่างผอมซูบซีดที่เดินขึ้นเหลาสุรามาแล้วกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ รีบเร่งฝีเท้าย้อนกลับไปยังเหลาสุราก่อนจากมากล่าววาจาต่อเยิ่นหว่อถิงว่า
“ส่วนท่านต่อจากนี้อย่าได้ตอแยต่อข้าพเจ้าอีก เมื่อครู่ข้าพเจ้าเพียงต้องการดูการละเล่นของท่านเท่านั้น ท่านมันโอหังอวดดีแถมยังหยาบช้ามิมีบิดามารดาอบรมสั่งสอนมารยาท บุรุษผู้นั้นเป็นคนรักของข้าพเจ้าต่อแต่นี้ท่านอย่าได้ตอแยต่อเขาด้วยเช่นกัน”
เมื่อกล่าวจบเยี่ยนผิงเร่งฝีเท้าจากมาโดยมิได้หันไปมองเยิ่นหว่อถิง เมื่อทุกคนจากไปหมดสิ้นแล้วเยี่ยเหว่ยกับจางจิ้งพร้อมด้วยเหนียงเอ๋อกับเจียวเอ๋อทั้งหมดจึงได้เดินออกมา ต่อจากนั้นเยิ่นหว่อถิงหันมาทางด้านเยี่ยเหว่ยกับจางจิ้งแล้วกล่าวกับคนทั้งสองว่า
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564