ตอนที่ 24
กระบี่หลิวชมจันทร์
จนกระทั่งศิษย์ทั้งสามใช้กระบวนท่าหนึ่งที่เรียกว่า “เปิดประตูชมจันทร์” เหวินมู่กับอวี้หว่อทั้งสองพุ่งร่างเสือกกระบี่ทิ่มแทงเข้าไปทั้งซ้ายขวาร่างของทั้งคู่แทบชิดสนิทกัน มือดีทั้งสองที่มีชื่อว่าเยี่ยเหว่ยกับจางจิ้งเห็นเช่นนั้นรีบยกกระบี่ทั้งสองเล่มขึ้นปิดป้อง ส่งผลให้ปลายกระบี่ของสองคนสัมผัสกับกระบี่หยกไผ่หลิวสองเล่มเกิดเป็นประกายไฟแปลบปลาบน่าหวาดเสียว
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงบัดนี้มองเห็นความพ่ายแพ้ของมือดีทั้งสองแล้ว กำลังจะเอ่ยปากตะโกนร้องเตือนกลับไม่ทันเวลาแล้ว ร่างของเทียนจิ้งที่พุ่งเข้ามาระหว่างกลางของเหวินมู่กับอวี้หว่อโดยที่สองมือดีไม่ทันมองเห็น เมื่อพุ่งเข้ามาพร้อมกับสองเท้าแตะกับฝ่ามือทั้งสองของเหวินมู่กับอวี้หว่อ ทั้งสองออกแรงผลักส่งร่างของเทียนจิ้ง ดังนั้นเทียนจิ้งจึงสามารถเปลี่ยนท่าร่างได้กลางอากาศกลับตัวตีลังกาข้ามศีรษะสองมือดีไป พร้อมกับคมกระบี่หยกไผ่หลิวกรีดผ่านใบหน้าของมือดีทั้งสองไป ตั้งแต่บริเวณแก้มซ้ายยาวจรดขมับขวาเป็นเส้นทางยาว ทั้งคู่แผดร้องก้องด้วยความเจ็บปวด ทราบแน่ว่าต้องสูญเสียดวงตาไปคนละหนึ่งข้างอย่างแน่นอน
กระบวนท่านี้เรียกว่า “เปิดประตูชมจันทร์” เหวินมู่กับอวี้หว่อเปรียบเสมือนประตูสองบานที่เปิดออกอย่างแยบยล ส่วนเทียนจิ้งที่พุ่งตามติดมาด้านหลังเหมือนกับผู้ที่พุ่งกายทะลุผ่านบานประตูสองบานออกมา แล้วแหงนหน้าชมความงามของพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางนภาสกาวสุกใส นับว่าเป็นกระบวนท่าอันแยบคายและพิสดารซึ่งยากจะป้องกันได้ เพราะมือดีทั้งสองมัวแต่ใช้สมาธิพัวพันกระบี่อยู่กับบานประตูซึ่งได้แก่เหวินมู่กับอวี้หว่อ ทั้งสองจึงเปิดช่องว่างตรงกลางจนหมดสิ้น บวกกับความเร็วของท่าร่างและแรงส่งด้วยแล้วอานุภาพยิ่งเพิ่มพูนทวีคูณ
ศิษย์ทั้งสามเห็นว่าประสบผลไม่เสียแรงที่ทุ่มเทฝึกซ้อมมาอย่างหนักหน่วง ทั้งสามโห่ร้องอย่างยินดีรีบวิ่งเข้าไปหาอาวุโสทั้งสามด้วยความเป็นห่วง อาวุโสทั้งสองต่างมองเห็นเว้นเสียแต่เจ้าหุบเขามู่ซึ่งยังมิได้สติว่าศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิวทำได้ดียิ่ง นึกเสียดายหากวันนี้จะต้องมาตกตายพร้อมกันหมดสิ้นภายใต้น้ำมือของผู้ที่สวมหน้ากากปีศาจ ที่เรียกตัวเองว่ามารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง
แต่ที่อาวุโสทั้งสองยังมิทราบนั่นคือ บุรุษชุดขาวผู้นี้เป็นคนของค่ายพรรคสำนักใด? ไฉนจึงมีพลังฝีมือร้ายกาจลึกล้ำถึงเพียงนี้ เด็กน้อยผู้นี้ยังร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้วผู้ที่เป็นอาจารย์จะมีพลังฝีมือสูงส่งสักปานใด ไฉนในช่วงเวลาที่ผ่านมานจึงไม่เคยปรากฏตัวในยุทธจักร หรือว่าครั้งนี้บู๊ลิ้มจะต้องลุกเป็นไฟ มารอธรรมกับธัมมะจะต้องเข่นฆ่ากันจนนองเลือดไปทั่วยุทธภพ ดั่งเช่นเมื่อสิบห้าปีกว่าที่ผ่านมาอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่อาวุโสทั้งสองกับศิษย์ทั้งสามกำลังคิดว่าจะกระทำเช่นไรต่อไป เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นพร้อมกับเสียงชายเสื้อปะทะลมดังใกล้เข้ามาอย่างเร่งร้อน ฟังจากน้ำเสียงและเสียงชายเสื้อ ผู้ที่มานับว่าเป็นปรมาจารย์บู๊ลิ้มแล้ว
“ฮาฮา ข้าผู้เฒ่าคงมิได้มาสายจนเกินไปกระมัง? ได้ยินแว่ว ๆ ว่ามีวิญญาณมารอสูรให้เฒ่าชราได้ไล่จับเล่นแก้เหงา บอกต่อมันว่าอย่าได้รีบหนีไปก่อนตาเฒ่าจะไปถึงเชียวละ ฮาฮา ”
เพียงเศษเสี้ยวของการกระพริบตาเพียงครั้ง ร่างหนึ่งดูเบาบางคล้ายหมอกควันเหินร่างสาดทะยานดั่งเซียนวิเศษเหยียบย่างกลางนภามิปาน เมื่อบรรลุถึงทิ้งกายหยั่งเท้าลงใกล้กับตำแหน่งที่อาวุโสทั้งสามนั่งอยู่ โดยมิได้หันไปมองมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงกับพวกพ้องแม้แต่น้อย คล้ายกับเห็นกลุ่มคนเหล่านั้นเป็นเพียงเศษผงธุลีไม่อยู่ในสายตากระนั้น
เจ้าสำนักเหิงกับประมุขเฉิงทั้งสองส่งเสียงร้องเรียกผู้ที่มาด้วยน้ำเสียงแสดงความยินดี พร้อมเจ้าสำนักเหิงประสานมือคารวะ ส่วนประมุขเฉิงได้แต่ส่งเสียงทักทายมิอาจจะประสานมือได้เนื่องจากหัวไหล่ซ้ายหลุด และเจ้าหุบเขามู่ซึ่งขณะนี้ยังคงนอนสลบยังไม่ฟื้นคืนสติ
“ท่านอาวุโส ท่านคือขอทานพเนจรหวงเกาฉือ”
ที่แท้ผู้ที่มาคือขอทานพเนจรหวงเกาฉือ หลังจากแยกย้ายกับจ่านจือและศิษย์ทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวแล้ว ท่านได้เร่งเดินทางมายังพรรคไผ่หลิวในทันที แต่คาดไม่ถึงว่าท่านมาช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อเห็นสภาพของเจ้าสำนักเหิงกับประมุขเฉิงและเจ้าหุบเขามู่รวมถึงศิษย์ในพรรคไผ่หลิวแล้ว
ท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือสมกับเป็นปรมาจารย์แห่งบู๊ลิ้ม เพียงมองปราดเดียวทราบว่าอาวุโสทั้งสามได้รับบาดเจ็บตรงไหน ท่านเดินเข้ามาหาทั้งสามซึ่งตอนนี้เจ้าหุบเขามู่ฟี้นคืนสติ ขยับเขยื้อนร่างกายช้า ๆ เมื่อลืมตาเห็นขอทานพเนจรหวงเกาฉือยืนอยู่ จึงส่งเสียงเรียกชื่อเบา ๆ พร้อมกับกล่าวว่า
“ท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือเป็นท่านเอง นับว่าสวรรค์ยังเข้าข้างพวกเราทั้งสาม รวมถึงศิษย์อีกสามชีวิตของท่านเฉิง เมื่อท่านมาครานี้พวกเราทั้งหมดคงไม่ต้องมาตายด้วยน้ำมือของปีศาจอำมหิตผู้นั้นแล้ว ท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเถิด”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือยกมือแก่ทั้งสามว่าไม่ต้องกล่าวอะไรแล้ว เหวินมู่กับอวี้หว่อและเทียนจิ้งเคยได้ยินเพียงชื่อของท่านขอทานพเนจร วันนี้เมื่อได้พบตัวจริงทั้งสามรู้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก รีบเก็บกระบี่หยกไผ่หลิวคืนฝักแล้วประสานมือทำความเคารพต่อท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือโดยทันที
“ข้าพเจ้าเหวินมู่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพรรคไผ่หลิว ขอคารวะท่านอาวุโส”
“ข้าพเจ้าอวี้หว่อเป็นศิษย์พี่รอง ขอคารวะท่านอาวุโส”
“ข้าพเจ้าเที่ยนจิ้งเป็นศิษย์คนเล็ก ขอคารวะท่านอาวุโสด้วยเช่นกัน ขอบพระคุณที่ท่านอาวุโสมาถึงมิฉะนั้นมิทราบว่าชะตากรรมของพวกข้าพเจ้ากับท่านอาจารย์ รวมทั้งอาวุโสเหิงกับท่านเจ้าหุบเขามู่จะเป็นเช่นไร?”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือหัวเราะ ฮา ๆ พร้อมกับกล่าวตอบต่อศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิวว่า
“เอาเถอะพวกเจ้าทั้งสามอย่าได้กล่าวเกรงใจ เรากับอาจารย์ของเจ้าต่างเคยคบหากัน นึกไม่ถึงไม่ได้เจอะเจอกันหลายปี เจ้าทั้งสามล้วนเติบใหญ่เป็นบุรุษหนุ่มที่มีบุคลิกภาพโดดเด่นยิ่งนัก เจ้าทั้งสามถอยไปก่อนให้เราได้ตรวจดูอาการบาดเจ็บของอาจารย์เจ้า รวมถึงเจ้าหุบเขามู่กับเจ้าสำนักเหิงก่อน”
ศิษย์ทั้งสามจึงรีบถอยออกมาแล้วให้ท่านขอทานพเนจรได้ตรวจดูอาการบาดเจ็บของอาวุโสทั้งสาม หลังจากขอทานพเนจรตรวจดูแล้วเห็นว่าเจ้าหุบเขามู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด ส่วนประมุขเฉิงกับเจ้าสำนักเหิงมิได้หนักหนาสาหัสมากนัก จึงได้ใช้มือขวาจับบริเวณหัวไหล่ซ้ายของประมุขเฉิง มือซ้ายลูบคลำตั้งแต่หัวไหล่ไล่ลงมาจนถึงข้อมือ หลังจากนั้นท่านได้ใช้มือซ้ายจับแขนของประมุขเฉิงให้เหยียดตรงพร้อมกับดันแขนกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว เป็นการต่อข้อหัวไหล่ที่หลุดให้กับประมุขเฉิงนั่นเอง
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าวกับทั้งสามว่า
“เอาละอาการของพวกท่านทั้งสามนับว่าเจ้าหุบเขามู่อาการสาหัสที่สุด แต่ไม่ถึงกับอันตรายมากนัก ดีที่เจ้าตัวใช้ลมปราณปิดสกัดจุดสำคัญเอาไว้ได้ทัน มิฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นเราเองก็มิอาจกล่าว ส่วนทางด้านนี้ที่เหลือเราจะจัดการเองท่านทั้งสามอย่าได้เป็นห่วง ถอยออกไปรักษาอาการบาดเจ็บก่อนเถอะ”
เมื่อขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าวกับอาวุโสทั้งสามแล้ว จึงหันมากล่าวกับศิษย์ของพรรคไผ่หลิวทั้งสามว่า
“เจ้าทั้งสามพาอาจารย์ของเจ้ารวมทั้งอาวุโสอีกสองท่านเข้าไปด้านในก่อน ด้านนี้เราขอทานเฒ่าจะชำระสะสางเอง”
“ขอบพระคุณท่านขอทานพเนจรเป็นอย่างยิ่ง พวกเราจะรีบพาอาจารย์กับอาวุโสทั้งสองไปรักษาอาการบาดเจ็บก่อน ส่วนด้านนี้คงต้องฝากเป็นธุระของท่านผู้เฒ่าแล้ว”
ทั้งสามพยักหน้ารับคำพร้อมกับเทียนจิ้งเอ่ยกล่าวขอบคุณ แล้วรีบตรงเข้าไปประคองร่างของอาวุโสทั้งสามเดินเข้าไปด้านในของพรรคไผ่หลิว ปล่อยให้ขอทานพเนจร เผชิญหน้ากับมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงกับพรรคพวกของมัน
บุรุษชุดขาวที่เรียกตนเองว่าเยิ่นหว่อถิง เมื่อเห็นอาวุโสขอทานพเนจรหวงเกาฉือ มันรีบประสานมือขึ้น พร้อมกับกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ข้าน้อยเยิ่นหว่อถิง ขอคำนับท่านอาวุโสหวงเกาฉือ ได้ยินชื่อเสียงของท่านมาเนิ่นนานแล้ว ได้ข่าวว่าท่านอาวุโสอยู่ทางเหนือไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องราวในจงหยวน ครั้งนี้ท่านอาวุโสปรากฏตัวที่นี่ อีกทั้งยังสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างข้าพเจ้ากับสามสำนักนั่นอีกด้วย หรือว่าท่านอาวุโสเองคิดจะเข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ด้วยเช่นกัน”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือได้ยินวาจาเหน็บแนม และกล่าวหาว่าท่านสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องราวของบุรุษสวมหน้ากากสีเงินกับสามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะ ท่านจึงได้ส่งเสียงหัวร่ออย่างตลกขบขัน พร้อมกับกล่าววาจาโต้ตอบกลับไปว่า
“ฮาฮา เจ้าช่างกล่าววาจาโอหังยิ่งนัก เจ้าสำนักทั้งสามเป็นสหายเก่าของเรา เราจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือนับว่าถูกต้อง ส่วนเรื่องที่เราจะเข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์หรือไม่? มิใช่เรื่องที่เราจะต้องบ่งบอกแก่เด็กไม่หย่านมเช่นเจ้า อีกสิบกว่าวันให้หลังนับจากนี้เจ้าจะรู้เองว่าเรามาจงหยวนเพื่อการใด ว่าแต่อาจารย์ของเจ้าเป็นผู้ใด? ไฉนจึงได้มีศิษย์ที่มีจิตใจต่ำช้าอำมหิตโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ศิษย์จิตใจชั่วช้าแล้วผู้เป็นอาจารย์จะมีพฤติกรรมต่ำช้าสามานย์ถึงปานไหน?”
“อาจารย์ของข้าพเจ้าท่านอาวุโสเองย่อมรู้จัก เมื่อสิบกว่าปีก่อนท่านอาจารย์ผาดโผนอยู่ในยุทธจักรมีฝีมือเป็นหนึ่งในห้าของสำนักหนึ่ง หลังจากสำนักดังกล่าวล่มสลายลง ท่านอาจารย์ของข้าพเจ้าได้เก็บตัวอยู่ในที่เร้นลับแห่งหนึ่ง หลังจากท่านได้รับข้าพเจ้าเป็นศิษย์แล้ว ท่านอาจารย์เก็บตัวฝึกฝนวิชาจนก้าวหน้าจนน่าตกใจ พร้อมกับทุ่มเทสอนวิชาให้แก่ข้าพเจ้า แม้ว่าท่านอาจารย์ของข้าพเจ้าจะเก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวยุทธภพ แต่แท้จริงท่านแอบวางแผนการอยู่ลับ ๆ พร้อมกับสะสมผู้คนและอาวุธเพื่อจะกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ท่านอาวุโสหวงเองหาได้อยู่ในสายตาของท่านอาจารย์ของข้าพเจ้าไม่ คำพูดที่จะกล่าวข้าพเจ้าบอกกล่าวแก่ท่านอาวุโสจนหมดสิ้นแล้ว”
บุรุษหนุ่มชุดขาวสวมหน้ากากปีศาจสีเงิน กล่าววาจาโดยมิได้เกรงอกเกรงใจต่อขอทานพเนจรหวงเกาฉือเลยแม้แต่น้อย จากคำพูดของเยิ่นหว่อถิงสำนักหนึ่งที่ล่มสลายไปและมีศิษย์ห้าคน อีกทั้งมีฝีมือเป็นหนึ่งในห้าของบรรดาศิษย์ร่วมสำนัก ที่ผ่านมาสำนักที่นับได้ว่ามีศิษย์ที่มีฝีมือเก่งกล้าห้าคนพร้อมกับศาสตร์วิชาอีกหลายแขนงมีเพียงสำนักเดียวนั่นคือ สำนักตำหนักหมื่นเทพแห่งเขาหมื่นเซียน
หลังจากเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ได้จัดงานล้างมือจากยุทธภพบริเวณหน้าผาเทพนิรันดร์ เพื่อเป็นการยุติเรื่องราวแก่งแย่งสุดยอดคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ที่ชาวยุทธ์ต่างเข่นฆ่าเพื่อจะได้ครองครองเป็นเจ้าของสุดยอดวิชาในคัมภีร์รวมถึงศิษย์ทั้งห้าของสำนักด้วย ต่อมาภายหลังเกิดเรื่องราวมากมายหลายเรื่องราว จนบัดนี้ยังไม่กระจ่างถึงต้นสายปลายเหตุอันแท้จริง เมื่อเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนต้องการล้างมือจากยุทธภพ และต้องการทำลายคัมภีร์สุริยันจันทรา ต้นเหตุเภทภัยทั้งหมดของการแก่งแย่งและฆ่าฟันกัน ท่านจึงได้กระโดดฝังร่างตนเองพร้อมกับคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทราภายใต้ผาเทพนิรันดร์เมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่บัดนั้นมาบรรดาศิษย์ทั้งห้าของสำนักตำหนักหมื่นเทพ ต่างหายสาบสูญไร้ร่องรอย บรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลายคิดว่าศิษย์ทั้งห้าคงมิกล้าสู้หน้าชาวยุทธ์ทั้งหลาย หรือไม่อาจล้มหายตายจากยุทธ์ภพไปหมดสิ้นแล้ว สาเหตุที่มิกล้าสู้หน้าชาวยุทธ์เนื่องจากทำให้อาจารย์และสำนักต้องล่มสลายลง
ครั้งนี้กลับมีบุรุษสวมหน้ากากปีศาจ อ้างตนว่าเป็นศิษย์ของหนึ่งในห้าของศิษย์สำนักตำหนักหมื่นเทพที่ล่มสลายไป แถมยังไม่บอกกล่าวให้ชัดเจนว่าเป็นศิษย์ของผู้ใด ในบรรดาศิษย์ทั้งห้าคนที่กล่าวถึง ขอทานพเนจรหวงเกาฉือใช้ความคิดนึกถึงศิษย์ทั้งห้าของสำนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียนขึ้นมา
ในอดีตสำนักตำหนักหมื่นเทพ เป็นสำนักอันดับหนึ่งที่สร้างชื่อในยุทธจักร เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพฉายาเซียนเมฆาล่องลอยนามลวี้ยู่เฉียนนับว่าเป็นผู้ที่มีฝีมืออันดับหนึ่ง ท่านมีความเป็นอัจฉริยะในวิชาบู๊และศาสตร์วิชาแขนงต่าง ๆ เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมน้ำใจคบหากับบรรดาชาวยุทธ์มากมาย แถมยังเป็นสหายรักกับเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินในขณะนั้นอีกด้วย ศิษย์ทั้งห้าของสำนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียนประกอบด้วย
จักรวาลหมอเทพยดาเส้าเยี๊ยะเทียน ภูผาผลักเมฆาหม่าถิงอัน เทพธิดาชินแสชิ้วโส่ว วายุล่องลอยเกาทิเหว่ย อัคคีสวรรค์เหยาเยี๊ยะเหยียน
ทั้งห้านับได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือในบรรดาศิษย์ของทุกพรรคในขณะนั้น ด้านฝีมือนับได้ว่าสูงส่งเทียบได้กับเจ้าสำนักหลายสำนักเลยนับว่าได้ เมื่อบุรุษชุดขาวสวมหน้ากากปีศาจสีเงินมิยอมบอกกล่าวผู้ที่เป็นอาจารย์มีนามเรียกหาว่ากระไร ขอทานพเนจรเองมิอาจคาดเดาได้เช่นกันท่านจึงกล่าวโต้ตอบกลับไปว่า
“หากเจ้ามิบอกกล่าวว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นใคร? เราขอทานเฒ่ามิอาจบังคับเจ้าได้ แต่เจ้าทำร้ายเจ้าสำนักทั้งสามอีกทั้งยังกล่าววาจาโอหังล่วงเกินเราอยู่หลายคำ ดังนั้นเราจึงมิอาจให้อภัยแก่เจ้าได้ แต่ขอเพียงเจ้ารับฝ่ามือของเราได้เพียงหนึ่งฝ่ามือ เราขอทานเฒ่าจะปล่อยเจ้าไป มิทราบว่าข้อเสนอของขอทานเฒ่าเช่นเราเจ้าจะกล้ารับคำท้าหรือไม่?”
“ท่านอาวุโสหวงกล่าวเช่นนี้มีหรือที่ข้าพเจ้าจะมิกล้า เพียงแต่คิดว่าท่านคงจะออมมือให้อยู่หลายส่วนด้วยเห็นแก่ข้าพเจ้าเป็นเด็กรุ่นหลัง มิฉะนั้นแล้วจะนับได้ว่าท่านเป็นผู้ใหญ่คิดรังแกเด็ก หากรู้ไปถึงหูบรรดาชาวยุทธ์คิดว่าท่าน...?”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือมิยอมให้บุรุษชุดขาวนั้นกล่าววาจาสืบต่อ รีบบ่งบอกออกไปว่า
“รับกระบวนท่า ฝ่ามือมังกรล่องเมฆา”
กล่าวจบขอทานพเนจรหวงเกาฉือยกสองฝ่ามือเสมอหน้าอก แล้วร่ายรำกรีดกรายซ้ายสลับขวาจากนั้นกระแทกฝ่ามือทั้งสองออกไปใช้กำลังภายในเพียงหกส่วน มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงเห็นเช่นนั้นรีบรวมรั้งพลังลมปราณจากท้องน้อยรวบรวมเข้าสู่ใจกลางฝ่ามือทั้งสอง ใช้พลังวัตรทั้งหมดที่มีเข้าปะทะกับฝ่ามือทั้งสองของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงคำนวณเป็นมั่นเหมาะจากคำพูดของตนเมื่อครู่ ขอทานพเนจรคงมิกล้าใช้พลังวัตรทั้งหมดอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงได้ใช้กำลังภายในทั้งหมดที่มีหวังว่าคราครั้งนี้จะได้ทำร้ายปรมาจารย์แถวหน้าของบู๊ลิ้ม ชื่อเสียงของตนคงจะเป็นที่เกรงขามของผู้คน เพียงทำร้ายเจ้าสำนักสามสำนักใหญ่ได้ถือได้ว่าสร้างชื่อเสียงให้แก่ตนมากโขแล้ว
เมื่อพลังลมปราณของทั้งสองพุ่งเข้าปะทะ เกิดเป็นสภาวะปราณฝ่ามือที่แข็งกร้าวสองสายม้วนทะลักดุจเกลียวคลื่นยามพายุคะนอง เสียงดังเปรื่องดังสนั่นไปทั่วบริเวณร่างของมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงกระเด็นไปเกือบสิบวา สายตาของมันเพ่งจับจ้องมองมายังร่างของขอทานพเนจรหวงเกาฉือที่ยังคงยืนแน่วนิ่งกับที่มิเคลื่อนไหว ในใจรู้สึกเจ็บแค้นแน่นอกนอกจากทำร้ายขอทานเฒ่ามิได้แล้ว ตนเองยังรู้สึกว่าอวัยวะภายในได้รับความกระทบกระเทือนไม่น้อย แต่ยังนับว่าโชคดีที่มันคำนวณได้แม่นยำว่าขอทานพเนจรคงมิกล้าใช้พลังวัตรทั้งหมดซัดฝ่ามือออกมา มิฉะนั้นมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงเช่นมัน คงมิมีวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างอีกต่อไป
แต่ถึงแม้ร่างจะลอยไปไกลเกือบสิบวา มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงยังสามารถสะกิดปลายเท้า พร้อมกันเหินร่างจากไปคล้ายเงามายาของปีศาจ ก่อนร่างลับหายไปกลับส่งเสียงโต้ตอบกลับมาว่า
“ขอบคุณท่านอาวุโสที่ออมมือ ผู้น้อยขอจากไปก่อนแล้วข้าพเจ้าจะกราบเรียนอาจารย์ให้เร่งรุดมาเยี่ยมเยียนท่านผู้เฒ่าในคราวหลัง โปรดถนอมตัวด้วยพวกเรากลับสำนัก”
เมื่อสิ้นเสียงกลุ่มคนชุดขาวทั้งหมด ต่างรีบพลิ้วร่างจากไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงขอทานพเนจรหวงเกาฉือ กับซากศพที่นอนตายเกลื่อนกลาดอยู่หน้าพรรคไผ่หลิวนั่นเอง
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564