Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (พบพานขอทานเฒ่า)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

พบพานขอทานเฒ่า

  • 13/08/2565

ตอนที่ 19

พบพานขอทานเฒ่า

เดินทางนับหมื่นลี้ ยังมีวันหวนกลับถิ่นฐานมาตุภูมิ หมู่บ้านเย้ยอรุณทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน ในยามนี้อากาศเย็นสบาย สายลมพัดเบา ๆ คละเคล้ากับกลิ่นหอมจรุงของมวลดอกไม้ป่านานาพันธุ์ ซึ่งพวกมันแข่งขันกันชูช่อสลอน ต่างอวดสีสันอันงดงามบานสะพรั่งอยู่สองฟากข้างทาง

ถัดออกไปไม่ไกลนัก เป็นป่าอ้อซึ่งกำลังออกดอกสีน้ำตาลอ่อนอยู่แน่นขนัด ยามสายลมพัดผ่านดอกอ้อเหล่านั้น ต่างโอนเอนลู่ตามสายลมไปมามองดูแล้วเพลินตายิ่ง ในบางครั้งคราวสายลมพัดโชยชิวพลิ้วเกสรของพวกมัน พร้อมทั้งเศษชิ้นของดอกอ้อเหล่านั้น ปลิวละลิ่วล่องลอยไปตามสายลมอย่างอิสรเสรี เห็นแล้วชวนให้อิจฉาพวกมันยิ่ง ที่พวกมันเกิดมาเพียงเพื่อทัศนียภาพอันงดงาม กับสร้างความสมดุลให้กับธรรมชาติป่าเขา พวกมันมิต้องทุกข์ร้อนโศกเศร้ายินดี หรือแก่งแย่งประหัตถ์ประหารกันดั่งชาวยุทธ์ผู้หลงผิดทั้งหลาย

ยามนี้ ล่วงเลยเวลาเที่ยงวันมาราวหนึ่งชั่วยาม จ่านจือพร้อมทั้งซื่อเหมี่ยนรวมทั้งเอวี้ยอี้เซิน คนทั้งสามเดินทางบรรลุถึงทางเข้าหมู่บ้านเย้ยอรุณแล้ว มองไปข้างหน้าไม่ไกลเท่าใดนัก แลเห็นหลังคาของบ้านเรือนเรียงรายอยู่อย่างเป็นทิวแถว จ่านจือกระตือรือร้นชี้ไม้ชี้มือไปยังหมู่บ้านข้างหน้าท่าทางลิงโลดยินดียิ่ง พร้อมกับส่งเสียงด้วยอาการตื่นเต้นดีใจ กล่าว่า

“พี่สาวทั้งสอง พวกท่านมองดูนั่น ข้างหน้าเป็นหมู่บ้านเย้ยอรุณ ข้าพเจ้าเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เล็ก ได้กลับมาอีกครั้งในครั้งนี้ ข้าพเจ้าตื่นเต้นยินดียิ่ง”

พี่สาวทั้งสองของจ่านจือ มองตามปลายนิ้วของเขา สีหน้าไม่ต่างกระไรจากน้องชายผู้นี้เท่าใดนัก ซื่อเหมี่ยนศิษย์ผู้พี่ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ส่งเสียงกล่าวว่า

“ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึง หมู่บ้านเย้ยอรุณของเจ้าช่างน่าอยู่ยิ่ง พี่สาวใหญ่รู้สึกตื่นเต้นยินดีไปไปกับเจ้าด้วย ป่าเขาทิวทัศน์ล้วนงดงามยิ่ง เขาซงซานกลับมีหมู่บ้านเย้ยอรุณ อันสงบหลบซ่อนอยู่ด้วย”

จากนั้นเอวี้ยอี้เซิน ศิษย์ผู้รองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ส่งเสียงกล่าวบ้างว่า

“ถูกต้องของศิษย์พี่ หุบเขาผาพยัคฆ์ขาวของพวกเราว่างดงามแล้ว เชิงเชาซงซานหมู่บ้านเย้ยอรุณกลับยิ่งงดงาม เซียวจือชีวิตในวัยเด็กของเจ้า คงน่าหฤหรรษ์ชวนให้พี่สาวทั้งสองรู้สึกอิจฉาเจ้าแล้วกระมัง?”

จ่านจือ แม้เก็บอาการตื่นเต้นดีใจเอาไว้ไม่อยู่ แต่เมื่อหวนนึกถึงความหลัง อดที่จะรู้สึกหดหู่อยู่บ้างมิได้ ห้าปีกว่าที่เด็กน้อยจากหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ เมื่อได้หวนกลับมาอีกครั้ง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมมิเปลี่ยนแปลง มีเพียงร่างกายและจิตใจคนเท่านั้น ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

จ่านจือ ส่งเสียงกล่าวตอบพี่สาวทั้งสองไปว่า

“เซียวจือ ขอขอบคุณพี่สาวทั้งสองยิ่ง ข้าพเจ้าดีใจที่พี่สาวทั้งสองชื่นชอบ หากมีโอกาสข้าพเจ้าคงได้ไปเที่ยวชมหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวของพี่สาวทั้งสองบ้าง”

ซื่อเหมี่ยน นางส่งยิ้มให้กับจ่านจือ ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“แน่นอน เซียวจือเจ้าต้องมีโอกาสได้ไปเที่ยวชม พี่สาวทั้งสองจะต้องพาเจ้าไปหุบเขาผาพยัคฆ์ให้ได้แน่นอน”

คนทั้งสามก้าวเท้าเหยียบย่างไปพลาง ชวนกันชื่นชมทัศนียภาพสองฟากข้างทางไปพลาง ทิวทัศน์ยังคงงดงามด้วยต้นไม้อันร่มรื่น ใบหญ้ายังคงเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำ หล่อเลี้ยงผืนดินเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ยังคงรักษาสภาพเอาไว้ได้เช่นเดิมมิแปรเปลี่ยน

แต่ทว่า สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไป กลับเป็นชีวิตน้อย ๆ ของเด็กทารกผู้หนึ่งซึ่งเติบใหญ่ ในตอนนั้นทารกน้อยจากหมู่บ้านเย้ยอรุณไปเมื่อราวห้าปีก่อน วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วคล้ายติดปีกบิน เหตุการณ์ตอนนั้น ทำให้ทารกน้อยผู้นี้หมดหวังสูญสิ้นทุกอย่าง เมื่อมารดาบุญธรรมมาลาจากโลกนี้ไปจากเขา ในเวลานั้นทำให้เด็กน้อยท้อแท้สิ้นหวังในชะตาชีวิตที่เหลืออยู่ของตนเอง

ในตอนนั้น ก่อนเดินทางออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณไป จ่านจือคิดว่าในชีวิตของเขาต่อจากนี้ คงไม่มีโอกาสกลับมายังมาตุภูมิของเขาอีกแล้ว อนาคตภายภาคหน้าช่างริบหรี่มืดมน ไม่เหลือความหวังกระไรเลยในจิตใจของเด็กน้อยในขณะนั้น

แต่ทว่า เมื่อเวลาผ่านไปห้าปีกว่า ความหวังอันริบหรี่น้อยนิดของเขา อนาคตที่คิดว่ามืดดำมองไม่เห็นฝั่งของเด็กน้อย กลับได้พบกับแสงสว่างที่สามารถจับต้องได้ราวปาฏิหาริย์พลันบังเกิดขึ้น ที่เหลือต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าลิขิต บวกกับความมานะพยายามและอดทนของตัวทารกน้อยเอง

คุณธรรมน้ำใจสามารถปลูกสร้างขึ้นได้ในตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะคงอยู่คู่กับตัวตลอดไปไม่ดับสูญ มาตรว่าจะลาจากโลกนี้ไป แต่ความดีงามยังคงได้รับการสรรเสริญชื่นชมจากคนรุ่นหลัง ดั่งมีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย จากทารกน้อยธรรมดาสามัญผู้หนึ่ง เด็กน้อยผู้ซึ่งไร้ปณิธานแกล้วกล้า แต่ทว่าบัดนี้ทารกน้อยธรรมดาสามัญผู้นั้น สามารถเปล่งประกายฉายแววของผู้กล้าขึ้นมา อีกทั้งยังเปี่ยมล้นด้วยน้ำใจไมตรีต่อมิตรสหาย

ก่อนที่จ่านจือจะเดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้ง เขาได้ตั้งปณิธานอันสูงส่งไว้ว่า จะผดุงคุณธรรมให้กับยุทธภพ ขจัดคนพาลอภิบาลคนดี มีจิตใจซื่อตรงเที่ยงธรรม สิ่งใดที่ไม่ถูกต้องอย่างได้มองข้ามเด็ดขาด หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงอันพึงกระทำได้ เขาจะมิยอมปล่อยให้ผ่านเลยไป โดยที่ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ดังนั้นในเวลานี้สิ่งแรกที่เขาต้องการกระทำมากที่สุด นั่นคือได้กอดหลุมฝังศพของมารดาบุญธรรมก่อน พร้อมกับคุกเข่าก้มลงกราบท่านสักครั้งหนึ่ง

จ่านจือ เขาคิดจะบอกกล่าวกับมารดาบุญธรรมว่า ขอให้วิญญาณท่านไปสู่สุขคติสรวงสวรรค์ อย่าได้ห่วงเซียวจือผู้นี้แล้ว บัดนี้เซียวจือเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คำสั่งสอนของท่านแม่เขาจดจำได้ไม่ลืมเลือน เซียวจือจะเป็นคนดีมีคุณธรรม ดั่งที่ท่านแม่ต้องการ  คำพูดของท่านแม่บุญธรรม ยังคงดังกึกก้องกังวานฝังอยู่ในโสตตลอดเวลาว่า

"เซียวจือ เจ้าจงจดจำใส่ใจเอาไว้นะลูก จะกระทำเรื่องราวใด?น้อยใหญ่ก็ตาม อย่าได้ฝืนมโนธรรมตนเอง ขอเพียงเจ้ามิผิดต่อตนเอง ไม่ผิดต่อผู้อื่นแล้ว ย่อมประเสริฐสุด"

ยามนี้ เหลือระยะทางอีกไม่ถึงร้อยวา คาดว่าจะถึงหมู่บ้านเย้ยอรุณแล้ว จ่านจือชี้มือไปยังบ้านหลังหนึ่ง พร้อมกับส่งเสียงด้วยอาการตื่นเต้นยินดี ส่งเสียงกล่าวกับพี่สาวทั้งสองว่า

"พี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง บ้านของข้าพเจ้าอยู่ตรงโน้น พวกท่านเห็นหรือไม่? ข้าพเจ้าดีใจเหลือเกิน ดีใจที่ได้กลับมาบ้านตัวเองอีกครั้งหนึ่ง กลับมาครานี้เซียวจือมิได้มาเพียงผู้เดียวอีกด้วย กลับพาพี่สาวที่น่ารักแสนดีมาด้วยถึงสองคน หากดวงวิญญาณท่านแม่รับรู้ ท่านคงหมดห่วงในตัวข้าพเจ้า พี่สาวทั้งสองรีบตามข้าพเจ้ามาเร็วเข้า"

จ่านจือ ส่งเสียงตื่นเต้นดีใจ เมื่อได้กลับมายังมาตุภูมิของตนอีกครั้ง กระโจนออกวิ่งนำหน้าพี่สาวทั้งสองไป พร้อมกับส่งเสียงบอกให้นางทั้งสองรีบติดตามมา นางทั้งสองต่างแสดงอาการดีใจไปกับเขาด้วย เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเขา บ่งบอกว่าลืมความเศร้าโศกเสียใจไปหมดสิ้น ภาพของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นในค่ำคืนนั้น บัดนี้ไม่หลงเหลือเค้าลางเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกแล้ว นางทั้งสองจึงมิรีรอชักช้าเช่นกันรีบเร่งฝีเท้าก้าววิ่งติดตามเขาไปในทันที พร้อมกับนางทั้งสองส่งเสียงร้องต่อเขาว่า

"เซียวจือ เจ้ารอพี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองด้วย ดูเจ้าสิแสดงอาการคล้ายดั่งเด็กทารก อายุไม่เกินสิบขวบปีมิมีผิด”

จากนั้น ซื่อเหมี่ยนศิษย์ผู้พี่ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ออกวิ่งนำหน้าศิษย์ผู้น้อง พร้อมกับส่งเสียงเร่งเร้าดังว่า

“อี้เซิน เร็วเข้ารีบวิ่งตามเซียวจือไป ขืนมัวชักช้าอืดอาด ประเดี๋ยวเราทั้งสองก็วิ่งตามเขาไม่ทันเข้าพอดี"

เอวี้ยอี้เซิน ในตอนแรกนางเพียงแค่อมยิ้ม รู้สึกขบขันที่เห็นจ่านจือทำท่าทางราวเด็กทารกปานนี้ แต่พอได้เห็นศิษย์พี่ของนางทำท่าทางเช่นนั้น อีกทั้งยังเร่งเร้ากล่าววาจาออกมา ประหนึ่งว่าศิษย์พี่ของนางซื่อเหมี่ยน กลับไปเป็นเด็กทารกผู้หนึ่งด้วยเช่นกัน ดังนั้นนางจึงกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาครืนใหญ่ พร้อมกับกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงปนเสียงหัวเราะตอบไปว่า

"ไปสิศิษย์พี่ วันนี้ท่านกับข้าพเจ้าลองเล่นเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบขวบดูสักวัน เผื่อบางทีอาจทำให้เซียวจือมีความสุขมากยิ่งขึ้น แต่ศิษย์พี่ระมัดระวังสิ่งของในห่อผ้าจะเสียหายแตกหักด้วย เราทั้งสองอุตส่าห์แวะซื้อมาโดยไม่ให้เขาทราบ เอาไว้ตอนที่เฉลยต่อเขา ดูสิว่าเซียวจือจะแสดงอาการเป็นเช่นไร? ศิษย์พี่ท่านกับข้าพเจ้า พวกเรามาวิ่งแข่งขันกันสักเที่ยวหนึ่ง เหมือนกับตอนที่เราอยู่ที่หุบเขาผาพยัคฆ์ขาวตอนเด็ก ๆ ดีหรือไม่?"

กล่าววาจาจบ เอวี้ยอี้เซินออกวิ่งแซงหน้าศิษย์พี่ของนางไป วิ่งติดตามจ่านจือไปไม่ห่างเท่าใดนัก ซื่อเหมี่ยนศิษย์ผู้พี่รีบเร่งฝีเท้า วิ่งติดตามคนทั้งสองไป บรรยากาศในยามนี้ ช่างเต็มไปด้วยความสุขหฤหรรษ์อย่างที่สุด

เมื่อคนทั้งสาม วิ่งมาถึงบ้านหลังหนึ่ง จ่านจือนำหน้าพาพี่สาวทั้งสองเข้าไปชมยังด้านใน บัดนี้สภาพภายในบ้านขาดการทำความสะอาดปัดกวาด จึงมีหยากไย่ใยแมงมุมขึ้นอยู่ทั่วไป ซื่อเหมี่ยนจึงกล่าวกับจ่านจือว่า

“เซียวจือ เจ้ารีบไปกราบหลุมศพท่านแม่ก่อนเถิด อีกสักครู่พวกเราค่อยกลับมาช่วยกันปัดกวาดทำความสะอาด พี่สาวทั้งสองจะช่วยเจ้าเอง”

จ่านจือ เขาเห็นด้วยกับพี่สาวใหญ่ จึงรีบเดินออกจากบานประตู นำทางนางทั้งสองไปยังชายป่าแถบหนึ่ง ระยะทางไม่ไกลเท่าใดนัก

เมื่อทั้งสามมาถึง แลเห็นป้ายไม้ปักอยู่บนเนินดินที่หนึ่ง ดูจากสภาพโดยทั่วไป คาดว่าเพื่อนบ้านของป้าหนิวกับจ่านจือ พวกเขาคงคอยแวะเวียนมาถากถางหญ้าให้ ดังนั้นจึงดูไม่เกะกะรกตาสักเท่าใด ไม่เต็มไปด้วยหญ้าคาเหมือนบริเวณโดยรอบ

จ่านจือ ก้าวเท้าตรงไปคุกเข่าลงตรงหน้าหลุมฝังศพ ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน นางทั้งสองก้าวเท้าตรงไป แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าหลุมศพข้าง ๆ กับจ่านจือน้องชายของพวกนาง

ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน นางทั้งสองคาดเดาได้ว่า จ่านจือคงมิได้ตระเตรียมธูปเทียนเครื่องกราบไหว้มา ดังนั้นนางทั้งสองจึงได้แวะซื้อหามาให้กับเขา ภายในห่อสะพายจึงมีกระดาษเงินกระดาษทอง อีกทั้งยังมีขนมโก๋ ขนมเปี้ยะรวมทั้งธูปเทียน ขาดเพียงน้ำชาซึ่งยังมิได้ก่อเตาต้มน้ำชง

จ่านจือ เมื่อมองเห็นพี่สาวทั้งสอง ล้วงหยิบสิ่งของเหล่านั้นออกมาจากห่อผ้าสะพาย จึงทราบได้ทันทีว่า พี่สาวทั้งสองให้ตนยืนรอตอนผ่านตลาดแห่งนั้น บอกว่าจะไปซื้อหาสิ่งของจำเป็นบางอย่าง ที่แท้นางทั้งสองไปซื้อหาสิ่งของเหล่านี้ เพื่อเตรียมไว้ให้กับตนใช้กราบไหว้มารดาบุญธรรมนั่นเอง

จ่านจือ อดรู้สึกซาบซึ้งตื้นตันใจออกมามิได้ ขอบคุณในน้ำใจของพี่สาวทั้งสอง ดังนั้นคนทั้งสามจึงจัดแจงวางขนม จ่านจือปักเทียนเล่มหนึ่งลงภาชนะสำหรับปักเทียน ซื่อเหมี่ยนส่งธูปที่จะจุดแล้วให้กับเอวี้ยอี้เซินและจ่านจือ คนทั้งสามคุกเข่าอยู่ด้านหน้าหลุมฝังศพ พร้อมกับโค้งศีษระกราบไหว้ดวงวิญญาณของป่านป้าหนิวพร้อม ๆ กัน จ่านจือส่งเสียงบอกกล่าวกับมารดาบุญธรรมว่า

"ท่านแม่ ข้าพเจ้าเซียวจือ กลับมาคารวะท่านแม่แล้ว พร้อมกับพาพี่สาวใหญ่ กับพี่สาวรองมากราบท่านแม่ด้วย นางทั้งสองดีต่อเซียวจือยิ่ง ดีต่อเซียวจือเหมือนที่ท่านแม่ดีต่อข้าพเจ้า ดีกับเซียวจือเสมือนเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของข้าพเจ้า เซียวจือขอให้ดวงวิญญาณของท่านแม่รับรู้ ท่านแม่มิต้องเป็นห่วงเซียวจือแล้ว ขอให้ดวงวิญญาณท่านแม่ไปสู่สุขคติสรวงสวรรค์เถิด เซียวจือขอสาบานต่อหน้าหลุมศพท่านแม่ ข้าพเจ้าจะติดตามล้างแค้น เข่นฆ่าคนชั่วทั้งสามให้กับท่านแม่ให้จงได้"

หลังจากนั้น คนทั้งสามต่างช่วยกันเผากระดาษเงิน กระดาษทอง เพื่ออุทิศไปถึงดวงวิญญาณของท่านแม่บุญธรรมของจ่านจือ เมื่อเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดพากันกลับเข้าบ้านของเขาอีกครั้ง พร้อมกับช่วยกันทำความสะอาดปัดกวาดหยากไย่ กระทั่งหลงเหลือสภาพเดิมก่อนหน้านี้เอาไว้

เมื่อทำความสะอาดเสร็จเป็นเวลามืดค่ำพอดี ซื่อเหมี่ยน กับเอวี้ยอี้เซิน นางทั้งสองตอนที่ผ่านตลาด ยังซื้อหาอาหารแห้งติดมือมาด้วย ดังนั้นอี้เซินจึงส่งเสียงบอกกว่ากับจ่านจือว่า

“เซียวจือ เจ้าไปตักน้ำมาสักถัง พี่สาวรองกับพี่สาวใหญ่ มีอาหารแห้งติดมือมาด้วย ดังนั้นจะเข้าครัวหุงข้าว กับปรุงอาหารอร่อย ๆให้เจ้าได้รับประทาน”

อีกไม่นานเท่าใดนัก คนทั้งสามต่างนั่งล้อมวงบนม้านั่ง วางอาหารหลายจานอยู่บนโต๊ะไม้ไผ่ ม้านั่งล้วนจัดสร้างจากไม้ไผ่เช่นกัน หลังจากรับประทานอาหารค่ำแล้ว ซื่อเหมี่ยนหยิบห่อผ้าสะพายออกมา พร้อมกับเปิดออก จ่านจือเพ่งมองด้วยความสงสัย ว่าภายในห่อสะพายคือสิ่งของใดกันแน่

เอวี้ยอี้เซิน รีบเข้ามาช่วยศิษย์พี่ของนางหยิบสิ่งของในห่อผ้าออกมา พอพี่สาวทั้งสองของจ่านจือ หยิบของภายในห่อสะพายออกมาวางไว้ตรงหน้า ทราบว่าเป็นผ้าต่วนเนื้อดีสองพับนั่นเอง พี่สาวรองของเขา ค่อย ๆ บรรจงหยิบผ้าสองพับนั้นขึ้นมา พร้อมกับยื่นออกมาตรงหน้าจ่านจือ ส่งเสียงกล่าวถามกับเขาว่า

"เซียวจือ เจ้าชื่นชอบหรือไม่? พี่สาวรองกับพี่สาวใหญ่ของเจ้า คล้ายเห็นเจ้าสวมใส่เสื้อผ้าเก่าซีด สภาพมีรอยปะชุนแถมยังใกล้ขาดวิ่นหมดสิ้นแล้ว เจ้าจะได้มีชุดใหม่ไว้ผลัดเปลี่ยน สองสีนี้เจ้าพึงพอใจหรือไม่?”

จ่านจือ เอื้อมสองมือสัมผัสเนื้อผ้าทั้งสองพับ จ้องมองหน้าพี่สาวทั้งสอง ประการสายตาทอความตื้นตันสำนึกขอบคุณ ส่งเสียงกล่าวตอบเสียงสั่นเครือว่า

“ชื่นชอบ ข้าพเจ้าชื่นชอบยิ่ง พี่สาวทั้งสองล้วนดีกับเซียวจือมากมายเพียงนี้ มิทราบว่าข้าพเจ้าจะตอบแทนพี่สาวทั้งสองได้เช่นไร? เซียวจือได้แต่กล่าวขอบคุณพี่สาวทั้งสองยิ่ง”

พี่สาวใหญ่ของจ่านจือ แย้มยิ้มอย่างเอ็นดู เอื้อมมือฉวยพับผ้าสองพับมาถือไว้ ส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า

“เซียวจือ เจ้าไม่ต้องเกรงอกเกรงใจพี่สาวทั้งสองเพียงนี้ เจ้าเป็นน้องชายของพวกเรา เป็นพี่เป็นน้องกันจะต้องรักใคร่กลมเกลียว รู้จักแบ่งปันเอื้อเฟื้อแก่กัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน สี่สาวใหญ่ทั้งสองจะไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน”

เอวี้ยอี้เซิน นางก็แย้มยิ้มเช่นกัน ส่งเสียงกล่าวต่อจากศิษย์พี่ของนางว่า

“ตอนอยู่หุบเขาสายรุ้ง คงไม่มีผู้ใดตัดเย็บให้กับเจ้า ดังนั้นพี่สาวรองกับพี่สาวใหญ่ จะช่วยกันตัดเย็บเสื้อกางเกง พร้อมทั้งชุดคลุมใหม่ให้เจ้าสักชุดหนึ่ง มา ๆ เซียวจือเจ้าขยับมาใกล้ ๆ อีกนิด ให้พี่สาวทั้งสองได้กะประมาณตัวเจ้าก่อน ตัดเย็บออกมาแล้วจะได้พอดีตัว เวลาสวมใส่จะได้ไม่น่าเกลียด ฝีมือการตัดเย็บของพี่สาวทั้งสองไม่เลวนัก"

จ่านจือ ตื้นตันใจกระทั่งพูดจาไม่ออก ได้แต่พยักหน้าพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ ๆ ให้พี่สาวทั้งสองได้วัดขนาดของรูปร่าง เมื่อกะวัดขนาดแขนขาหัวไหล่และลำตัวแล้ว ความสูงความกว้างก็มิอาจผิดพลาด พี่สาวรองของเขาส่งเสียงกล่าวให้เขายืนขึ้น ในที่สุดนางทั้งสองช่วยกันวัดตัวของเขาเสร็จเรียบร้อย

หลังจากนั้น พี่สาวทั้งสองของจ่านจือ พวกนางต่างช่วยกันตัดผ้าสองพับนั้น พร้อมกับบรรจงช่วยกันเย็บอย่างประณีต จ่านจือเห็นพี่สาวทั้งสองขะมักเขม้นตัดเย็บกันอย่างตั้งใจ เขากลัวพวกนางจะสูญเสียสมาธิ จึงขอปลีกตัวออกมาเดินชมดูบรรยากาศโดยรอบ หลังจากไม่ได้กลับมาเสียนานโข

กำหนดการที่พูดคุยกันไว้ คนทั้งสามคิดจะพักอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ราวสี่ห้าวัน หลังจากนั้นจะออกเดินทางไปยังพรรคไผ่หลิว ซึ่งเป็นทางผ่านที่จะใช้เดินทางไปวัดเส้าหลิน อีกประการหนึ่ง เพื่อไปสืบข่าวดูว่า ท่านเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ได้ส่งข่าวคราวมาถึงหัวหน้าพรรคไผ่หลิวแล้วหรือไม่ หากท่านยังไม่ส่งข่าวไป พวกเขาทั้งสามจะได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ให้กับหัวหน้าพรรคไผ่หลิวนามเฉิงปู้กง ให้ท่านได้รับทราบ

หากมิมีเรื่องราวใดผิดพลาด คาดว่าหลังจากนั้น พวกเขาจะเดินทางต่อไป จุดมุ่งหมายเป็นสำนักเมฆฟ้าพิรุณ คิดจะบอกกล่าวเรื่องราวเช่นเดียวกันนี้ ให้กับเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณนามเหิงปี้ไป่ให้ท่านรับทราบเช่นกัน

เพียงแต่ว่าการเดินทางในครั้งนี้ อาจจะไม่ราบรื่นสะดวกสบายเท่าใดนัก หากคำนวณตามสถานการณ์ คาดว่าคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า คงจัดวางกำลังคนชนชั้นยอดฝีมือไว้ตลอดรายทางอย่างแน่นอน หากต้องการเดินทางไปโดยปลอดภัย คนทั้งสามคิดเอาไว้ล่วงหน้าว่า พวกเขาจะต้องปลอมแปลงตัวชั่วคราว ส่วนจะปลอมแปลงเป็นเช่นไรนั้น ค่อยคิดอีกทีเมื่อใกล้วันออกเดินทาง

จ่านจือ เขาเดินทอดน่องสำรวจหลังหมู่บ้านเย้ยอรุณอยู่ครู่ใหญ่เมื่อกลับมาเห็นพี่สาวทั้งสอง พวกนางยังคงนั่งเย็บชุดใหม่ให้เขาโดยไม่หลับไม่นอน ดังนั้นเขาเองจึงมิยอมเข้านอนเช่นเดียวกัน นั่งเฝ้ามองพี่สาวทั้งสองตัดเย็บชุด จนกระทั่งผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ ทั้งสามคนต่างม่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว อาจเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางด้วยนั่นเอง

 

รุ่งเช้าฟ้าสางสว่างไสว แสงแรกแห่งอรุโณทัยค่อย ๆ โผล่พ้นทิวเขาอันไกลโพ้นทางทิศตะวันออก ลำแสงสีทองอ่อน ๆ ทอดตัวฉาบไล้ต้นไม้ใบหญ้า อีกทั้งโล่งดินเหลืองทั่วบริเวณ หมอกน้ำค้างค่อย ๆ เหือดแห้งระเหยสู่ชั้นอากาศ นกกาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วเสียงดังเซ็งแซ่ ขยับปีกโบยบินออกหากิน

ปล่อยให้ลูกน้อยในรวงรังหลังคบไม้ใหญ่ ส่งเสียงร้องจิบ ๆ เฝ้ารอคอยอาหารจากพ่อแม่ของพวกมัน พ่อแม่ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่ทำหน้าที่ออกไปหาอาหารกลับมาป้อนลูกน้อยด้วยความรักอันเที่ยงแท้ เพื่อให้พวกมันเติบใหญ่ปีกกล้าขาแข็ง สามารถโบยบินออกหากินได้ด้วยตัวเอง

อรุณรุ่งเช้านี้ จ่านจือ พร้อมซื่อเหมี่ยนศิษย์ผู้พี่ รวมทั้งเอวี้ยอี้เซินศิษย์ผู้น้อง ทั้งสามตื่นสายกว่าปกติ เนื่องจากเมื่อคืนนางทั้งสองคน ต่างขะมักเขม้นช่วยกันตัดเย็บชุดใหม่ให้กับเขา

หลังจากตื่นนอนแล้ว ทั้งสามคนต่างรีบเร่งล้างหน้าล้างตา ซื่อเหมี่ยน กับเอวี้ยอี้เซิน รีบเข้าครัวหุงข้าวปรุงอาหาร จ่านจือขณะที่รอพี่สาวทั้งสองเข้าครัวหุงหาข้าวปลาอาหาร เขาพลันต้องการยืดเส้นยืดสาย ครุ่นคิดขึ้นว่า

“ปกติตอนเช้าในหุบเขาสายรุ้ง เราจะต้องเดินลมปราณหมั่นฝึกฝนวิชาฝ่ามือ เช้านี้อากาศดียิ่ง ขณะรอพี่สาวทั้งสอง เราไม่อาจขี้เกียจปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นอันขาด”

เมื่อคิดได้เช่นนั้น จ่านจือเดินออกมายังหน้าบ้านกลางลานกว้างพร้อมกับร่ายรำกระบวนท่าวิชาดาวดึงส์ออกมา ตั้งแต่เขาอาศัยอยู่ที่หุบเขาสายรุ้ง มิเคยละเลยว่างเว้นจากการทบทวนวิชาฝ่ามือ ทุกครั้งที่ว่างจากงานซึ่งอาจารย์สั่ง เขาต้องออกกระบวนท่าอยู่เป็นประจำ เมื่อออกจากหุบเขาสายรุ้งแล้ว เขายังจะต้องปฏิบัติตัวเช่นเดิม ไม่ลืมเลือนที่จะขยันทบทวนฝึกฝน อย่างน้อยจะต้องโคจรพลังลมปราณหนึ่งชั่วยามอยู่เสมอ

ในยามนี้ จ่านจือเคลื่อนไหวโยกย้ายไปมา ทั้งมือเท้าก้าวย่างอย่างแคล่วคล่องว่องไว ท่ามกลางบรรยากาศอันสดชื่น สายลมรื่นพัดโรยริน เห็นเพียงเงาร่างเคลื่อนย้ายดุจหมอกควันเลือนราง เสียงทึบ ๆ ปง ๆ ครืนครั่นดังหวืดหวือดังต่อเนื่องไม่สะดุดติดขัด คลื่นพลังปราณฝ่ามือไร้สภาพครอบคลุมกินพื้นที่ไปหลายสิบวา

กระบวนท่าวิชาดาวดึงส์ ที่จ่านจือได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน มีทั้งหมดเก้าท่าด้วยกัน ในแต่ละท่าผันแปรเปลี่ยนแปลงเป็นสิบสองกระบวนท่า รวมทั้งสิ้นสามารถพลิกแพลงได้ถึงร้อยแปดกระบวนท่า ในวิชาดาวดึงส์ทั้งเก้าท่ามีชื่อเรียกหาดังต่อไปนี้

ท่าที่หนึ่งดาวเย้ยเดือน  ท่าที่สองดาวเกลื่อนนภา  ท่าที่สามดาวเคลื่อนเดือนคล้อย ท่าที่สี่ขยี้ดาวใต้แสงจันทร์  ท่าที่ห้าดาวทะยานฟ้า  ท่าที่หกดาวฉายแสง ท่าที่เจ็ดสะกดจันทร์สุริยันอับแสง  ท่าที่แปดดาวล้อมเดือนเคลื่อนฟ้าย้ายดิน  ท่าที่เก้าย้ายเดือนดับตะวันผันจักรวาล

วิชาดาวดึงส์ท่าที่แปด กับท่าที่เก้า ถือว่าเป็นท่าที่พลิกแพลงได้พิสดารยิ่ง อีกทั้งยังมีอานุภาพรุนแรงแข็งกร้าวถึงที่สุด แต่กระนั้นในความรุนแรงแข็งกร้าวในท่าเท้าฝ่ามือ กลับแฝงความอ่อนหยุ่นเยือกเย็นเอาไว้อยู่ในกระบวนท่าอย่างลงตัว

วิชาดาวดึงส์ นอกจากใช้ทำร้ายคู่ต่อสู้จนยากหลบหลีกแล้ว ด้านพลังลมปราณยังยากต้านทานได้ นอกเหนือจากนี้ บางกระบวนท่าในวิชาดาวดึงส์ ยังสามารถใช้ทำลายอาวุธทุกชนิดได้ง่ายปานพลิกฝ่ามือ โดยเฉพาะท่าที่แปด กับท่าที่เก้า นอกจากใช้ทำลายอาวุธได้แล้ว ยังสามารถใช้บังคับเคลื่อนย้ายอาวุธ รวมทั้งสรรพสิ่งรอบกายได้โดยมิต้องสัมผัสแตะต้อง เพียงแต่บังคับฝ่ามือใช้พลังลมปราณ ควบคุมอาวุธในระยะไกลได้ดั่งใจปรารถนา

ยามนั้น ในขณะที่จ่านจือกำลังเร่งเร้าพลังลมปราณ กระทั่งถึงระดับขีดขั้นอันสูงสุด ด้วยกระบวนท่าที่เก้าในวิชาดาวดึงส์ นามย้ายเดือนดับตะวันผันจักรวาล ทันใดนั้นเอง พลันปรากฏเงาร่างเบาบางสายหนึ่ง โลดแล่นมาแล้วพุ่งทะยานชำแรกผ่านเส้นสายของคลื่นพลังลมปราณอันทะลักล้นของเขาเข้ามา

เงาร่างนั้นคล้ายดั่งหมอกควันเบาบางสายหนึ่ง เห็นเป็นเพียงเงาคนเคลื่อนย้ายเลือนราง เบาบางกระทั่งเปรียบได้กับสายลมพัด ไร้สภาพไร้ตัวตนเคลื่อนไหวรวดเร็วราวภูติพราย ภายใต้คลื่นพลังลมปราณอันมหาศาล จ่านจือคล้ายมองเงาร่างนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่ทว่าสิ่งหนึ่งซึ่งมองเห็นชัดเจนอีกทั้งยังสะดุดตายิ่ง ระหว่างเอวของเงาร่างคนหรือภูติพรายผู้นั้น เหน็บไม้เท้าลักษณะคล้ายปล้องลำไม้ไผ่สีเขียวราวหยกด้ามหนึ่ง

ยามนี้ จ่านจือทราบว่าพลังลมปราณในร่างของตนเอง บัดนี้คล้ายดั่งทำนบพังทลาย จะสลายเสียแต่กลางคันยังไม่อาจกระทำได้ พลังอันอัดแน่นต่อเนื่องหนุนเนืองไม่สิ้นสุด จ่านจือครุ่นคิดขึ้นว่า

“แย่แล้ว ไฉนพลังวัตรของเราในเช้านี้ จึงมหาศาลดั่งคลื่นซัดสาดอันบ้าคลั่งปานนี้ หรือว่าเราบรรลุถึงระดับขอบขั้นหนึ่งที่สูงขึ้น เงาร่างนี้เป็นผีหรือคนกันแน่? หากเราไม่อาจรั้งพลังกลับคืนมา คิดว่าจะเป็นผีหรือคน คงต้องถูกพลังอันไม่อาจควบคุมของเราทำร้ายแล้ว”

เงาร่างเบาบางสายนั้น เมื่อเคลื่อนย้ายเข้ามา โดยมินำพาต่อคลื่นพลังลมปราณอันมหาศาล ซึ่งกำลังก่อกวนม้วนตลบแน่นหนา คล้ายกับไม่มีพื้นที่ให้ชำแรกแทรกกายอยู่ได้ แต่ทว่าเงาร่างเบาบางสายนั้น กลับชำแรกแทรกผ่านเข้ามาโดยง่ายดายไร้เรื่องราว พร้อมกับเปล่งเสียงหัวร่อแหบพร่าสท้านหู ส่งเสียงกล่าววาจาดั่งคนชราใกล้อำลาโลกปานฉะนั้น

"ฮาฮา ทารกน้อยอันประเสริฐ เราเล่าฮั่ง(ชายชรา)กระดูกผุกร่อนไม่เจียมสังขาร เราเห็นเจ้าฝึกซ้อมกระบวนน่าสนุกสนานยิ่ง ดูจากกระบวนท่าบวกกับพลังวัตร นับว่าร้ายกาจไม่อาจประมาทดูแคลน เราขอร่วมสนุกกับเจ้าสักหลายกระบวนท่า เจ้าอย่าได้ดูแคลนเห็นว่าเราแก่ชราใกล้ตายเด็ดขาด”

จ่านจือคิดส่งเสียงกล่าวตอบออกไป แต่ทว่าเขามิอาจจะกระทำได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ความเป็นตายเท่ากัน ด้วยประสบการณ์ที่ยังไม่มากพอ เขาจึงกระทำเรื่องราวใดไม่ถูก ได้ยินเสียงแหบพร่าระคายหูส่งเสียงดังมาอีกว่า

“ฮาฮา วิเศษ ๆ เนิ่นนานปานใด? เราเองก็มิอาจจดจำได้ ที่เราเฒ่าชรามิพบหน้าเจอะเจอคู่มืออันร้ายกาจเช่นเจ้า เกรงว่าสนิมในข้อกระดูกของเรา ป่านนี้คงจับเกาะเกรอะกรังแล้วกระมัง วันนี้นับว่าโชคดีของเฒ่าชราอย่างเรา ได้มีโอกาสสลัดสลายคราบสนิม ซึ่งอุดตันอยู่ในเส้นสายไขกระดูกออกไปเสียที"

จ่านจือ มองเห็นเงาร่างเบาบางสายนั้น พุ่งผ่านคลื่นพลังลมปราณอันแน่นหนาของเขาเข้ามา เขาสันนิษฐานเอาไว้ไม่ผิดพลาดแน่คนผู้นี้ย่อมเป็นยอดฝีมือสูงส่งท่านหนึ่งอย่างแน่นอน ฟังจากน้ำเสียงที่กล่าว อีกทั้งปฏิกิริยาท่าร่างคล้ายมิได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อต่อตนเอง

ดังนั้น จ่านจือจึงไม่ถึงกับลนลาน แต่ทว่าในขณะนี้ พลังลมปราณในร่างของตนเอง ถูกเร่งเร้ากระทั่งถึงขีดสูงสุด มิอาจฉุดรั้งหรือดึงพลังกลับคืนมาได้ หากตนเองกระทำเช่นนั้นจริง ถือว่าโง่เขลาอย่างยิ่งสำหรับกับผู้ฝึกยุทธ์ถือว่าเป็นจุดอันตรายร้ายแรง เพราะหากผิดพลาดอาจทำให้ลมปราณในร่างแตกซ่าน หรือไม่ก็ถูกธาตุไฟเข้าแทรก น้อยบาดเจ็บสาหัส หนักอาจถึงแก่ชีวิต

ยามนี้ จ่านจือผลักฝ่ามือทั้งสองออกไปแล้ว ก่อเกิดเป็นพลังลมปราณอันมหาศาล ม้วนทะลักดั่งระลอกคลื่นโหมกระหน่ำกระหนาบรอบทิศทาง กดคุกคามเข้าใส่เงาร่างเบาบางสายนั้น ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสี่ห้าวา จ่านจือร่ำร้องขึ้นในใจ ในครั้งนี้ตนเองต้องพลั้งมือทำร้ายคนแล้วจริง ๆ

เงาร่างของคนผู้นั้น หาได้หลบหลีกแต่ร่ายรำกระบวนท่าฝ่ามือเข้ามาต้านทาน เมื่อคนผู้นั้นผลักดันฝ่ามือทั้งสองออก เกิดเป็นสภาวะพลังอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งครอบคลุมคล้ายดั่งพลังสายนั้นหมุนวนอยู่รอบกายเที่ยวหนึ่ง ก่อนที่ขุมพลังอันพิสดารของคนผู้นั้น จะพุ่งทยานเข้ามาปะทะกับพลังลมปราณของจ่านจือ

เมื่อคลื่นพลังลมปราณของทั้งสองปะทะกัน เกิดเป็นประกายสีขาวคล้ายหมอกควัน แตกกระจายออกรอบทิศทาง พร้อมกับเสียงดั่งกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่น ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ เงาร่างของคนผู้นั้นถอยร่นกลับหลังไปครึ่งก้าว จ่านจือกลับรู้สึกเหมือนมีวัตถุหนัก ๆ ดั่งขุนเขามหึมาพุ่งชนเข้ามา ด้วยระดับความแรงอันมหาศาล สุดที่ตนเองจะต้านทานเอาไว้ได้ กระทั่งร่างของเขาถอยร่นกลับหลังไปถึงก้าวครึ่ง ขณะซวนเซเสียหลักยังพยายามตั้งหลักมั่น

ร่างเบาบางของคนผู้นั้น ถึงแม้จะถอยร่นไปครึ่งก้าว แต่กลับตั้งหลักมั่นหยัดยืน มิซวนเซเสียหลักแม้แต่น้อย ผิดแผกแตกต่างจากจ่านจือเมื่อถอยร่นไปก้าวครึ่ง ร่างซวนเซเสียหลักถลาโอนเอน มิอาจบังคับฝืนร่างกายให้ตั้งหลักมั่นได้ในทันที

ยามนี้ จ่านจือคล้ายทราบแน่ ตนเองไม่อาจบังคับร่างกายหยัดยืน เห็นทีจะต้องล้มครืนร่างฟาดพื้นอย่างแน่นอน แต่ทว่าก่อนที่เขาจะล้มหงายหลังร่างฟาดพื้นไป ในชั่วพริบตานั้นเงาร่างของคนผู้นั้นเคลื่อนย้ายด้วยท่าร่างพิสดาร ฝีเท้าก้าวย่างรวดเร็วยิ่งดุจปีศาจภูติพรายไร้น้ำหนัก เมื่อบรรลุถึงพร้อมกับยื่นมือทั้งสองออกมา แล้วคว้ารับร่างด้านหลังของเขาเอาไว้ มิให้ล้มหงายไปตามสภาวะพลังที่ยังสลายมิหมดสิ้น

คนผู้นั้น ส่งเสียงหัวร่อ พร้อมกับส่งเสียงแหบพร่ากล่าววาจากับจ่านจือว่า

"ฮาฮา สมใจ สมใจเราเฒ่าชรานัก ทารกน้อยอันประเสริฐ เจ้ากลับรับกระบวนท่าฝ่ามือของเราได้ ถึงแม้จะซวนเซเสียหลักไปบ้าง แต่ทว่าเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บภายในเลยแม้แต่น้อย ร้ายกาจเจ้านับว่าร้ายกาจนัก อายุยังเยาว์กลับมีวิชาฝ่ามือแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ลมปราณยังลึกล้ำถึงถึงระดับนี้ ในยุทธภพนี้หาได้ไม่ง่ายดายเลยทีเดียว”

จ่านจือ ร่างของเขายังคงไม่ตั้งตรง จึงยังมิได้กล่าววาจาโต้ตอบออกไปในตอนนี้ คนผู้ที่กำลังใช้สองมือประคองร่างของเขา ส่งเสียงกล่าววาจาต่ออีกว่า

“เราเฒ่าชรา คล้ายดูออกว่า ตอนที่เจ้าปล่อยพลังลมปราณออกมานั้น พอเห็นเรา เจ้าคิดจะรั้งดึงพลังบางส่วนกลับคืนไป ด้วยกลัวว่าจะทำร้ายเฒ่าชราเช่นเราใช่หรือไม่? นับว่ายังโชคดีอยู่บ้าง ที่เจ้ากระทำเช่นนั้นได้มิทันการ มิฉะนั้นบู๊ลิ้มนี้คงขาดจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง ซึ่งมีคุณธรรมน้ำใจที่หายากยิ่งเช่นเจ้าแน่นอน น่าเสียดาย ๆ"

ยามนี้ จ่านจือทรงกายมั่นตั้งหลักหยัดยืนได้แล้ว เห็นว่าผู้ที่ใช้ท่าร่างอันพิสดาร พุ่งร่างเข้ามาใช้สองมือประคองเขาไว้นั้น ที่แท้เป็นชายชราผู้หนึ่งรูปร่างค่อนข้างท้วม แต่ทว่าช่วงลำตัวกลับมีความสูงราวเจ็ดถึงแปดเชี้ยะ ชายชราผู้นี้สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ สีเทาซีดเซียว มีร่องรอยการปะชุนเอาไว้หลายแห่ง เฉกเช่นเดียวกันกับชุดที่เขาสวมใส่อยู่ในขณะนี้มิผิด

จ่านจือ มิกล้าชักช้าเสียมารยาท รีบประสานมือขึ้นทำการคารวะ ต่อชายชราร่างท้วมผู้นั้น พร้อมกับส่งเสียงกล่าววาจานอบน้อมว่า

“ขอบคุณอาวุโสที่ออมมือให้แก่ข้าพเจ้า อีกทั้งยังช่วยรับร่างของข้าพเจ้าเอาไว้ มิให้ล้มหงายฟาดพื้น ท่านกล่าวชมข้าพเจ้าเกินไปแล้ว”

จ่านจือ กล่าววาจาจบ สำรวจดูใบหน้าชายชราตรงหน้า ดูจากร่องรอยความเหี่ยวย่น เส้นผมที่ขาวโพลน พอจะคาดเดาอายุได้ว่าน่าจะไม่ต่ำกว่าเก้าสิบถึงหนึ่งร้อยปีทีเดียว เค้าหน้าท่าทางใจดี บนใบหน้าประดับไปด้วยร่องรอยเหี่ยวย่นของวัยชรา แต่ทว่ากลับสดใสเปล่งปลั่งดั่งคนหนุ่มสาว ผมเผ้าและคิ้วหนวดเครา ล้วนสีขาวสนิทมิมีสีดำปะปนแม้แต่เศษเส้นเดียว ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายลึกล้ำ บ่งบอกถึงความแก่กล้าของพลังวิชากำลังภายใน

ชายชราผู้นั้น สำรวจมองจ่านจือเที่ยวหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าวกับเขาว่า

“เจ้ามิต้องกล่าววาจาถ่อมตน เราดูออกว่าฝีมือเจ้ามิธรรมดา เจ้าอายุยังอ่อนเยาว์กลับมีฝีมือปานนี้ ผู้เป็นอาจารย์ของเจ้าคงมิต้องกล่าวถึง เพียงแต่เรามิเข้าใจในร่างกายของเจ้า คล้ายกับมีสิ่งใด? ไม่ถูกต้อง กับมีบางสิ่งในตัวเจ้าที่ไม่เหมือนคนทั่วไป เจ้าขยับเข้ามาใกล้ ๆให้เราตรวจสอบดู”

ชายชราผู้นั้น มือหนึ่งประคองร่างจ่านจือเอาไว้ อีกมือหนึ่งทาบทับลงบนแผ่นหลังของเขา ตำแหน่งต่ำลงมาจากท้ายทอยราวหนึ่งฝ่ามือ พร้อมกับแผ่พุ่งพลังสายหนึ่ง รู้สึกอุ่นสบายผ่านฝ่ามือของท่านชำแรกเข้าสู่ร่างของเขา จ่านจือมิได้เกร็งพลังลมปราณต้านทานแต่อย่างใด คล้ายกับเขาดูออกว่า ชายชราผู้นี้มิได้ประสงค์ร้ายในตัวเขา

ชายชราผู้นั้น เมื่อปล่อยพลังลมปราณอุ่นสบายสายนั้นเข้าสู่ร่างของจ่านจือ ชายชราหลับตาลง ในขณะที่จ่านจือมีความรู้สึกว่า พลังอุ่นสบายสายนั้น วิ่งไปตามเส้นสายและจุดชีพจรต่าง ๆ ภายในร่างกายของตนเอง บางครั้งช้าบางคราเร็วสลับสับเปลี่ยน ผ่านไปไม่นานนัก ชายชราผู้นั้นถอนฝ่ามือออกจากแผ่นหลังของเขา พร้อมกับลืมตาขึ้นช้า ๆ แล้วคล้ายกล่าววาจาพึมพำกับตัวท่านเองว่า

"แปลก! ช่างแปลกประหลาดนัก?"

จ่านจือ เขาไม่เข้าใจในคำพูดของชายชราผู้นี้ คำว่าแปลกที่ท่านกำลังกล่าวถึง ท่านหมายถึงเรื่องราวใด พลันครุ่นคิดขึ้นว่า

“ไฉนอาวุโสท่านนี้กล่าวว่าแปลก ในตัวเรามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง หรือว่ามีสิ่งใดที่ไม่คล้ายกับคนทั่วไปกันแน่?”

แต่หากจะให้คาดเดา เรื่องราวที่ชายชรากำลังสงสัย ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเองอยู่เก้าส่วน ดูท่านกำลังใช้ความคิดกระไรบางอย่าง ชายชราผู้นั้นมิกล่าววาจาใดออกมาอีก ได้แต่แสดงท่าทางครุ่นคิด ดังนั้นจ่านจือจึงถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง นึกได้ว่าตนเองยังมิได้แนะนำชื่อให้กันท่านได้รู้จัก แสดงท่าทีนอบน้อมพร้อมกับส่งเสียงแนะนำตัวเองว่า

"ข้าพเจ้าเป็นเด็กกำพร้า ไร้หัวหนอนปลายเท้า มีแซ่ว่าจ้าว เรียกชื่อว่าจ่านจือ หากไม่เป็นการล่วงเกินท่านเกินไปนัก ข้าพเจ้าขอทราบนามอันสูงส่งของท่านอาวุโสได้หรือไม่?”

ชายชราผู้นั้น เห็นถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของจ่านจือ อีกทั้งยังแสดงถึงความมีมารยาท ดังนั้นคำว่าไร้หัวนอนปลายเท้าที่เขากล่าวเมื่อครู่ คล้ายกับยังมีเรื่องปิดบังอยู่บ้าง ดังนั้นชายชราจึงแสดงสีหน้าพึงพอใจ พลางใช้ดวงตาภายใต้คิ้วขาวดุจไหมเงิน สำรวจเขาอยู่เที่ยวหนึ่ง จากนั้นเผยรอยยิ้มกว้าง มองเห็นฟันในปากหลงเหลือเพียงไม่กี่ซี่ ชายชรากล่าววาจาตอบกับเขาว่า

"เจ้ามีชื่อว่าจ่านจือหรอกรึ? ดูจากลักษณะท่าทางของเจ้า เราผู้เฒ่าท่องยุทธภพมาช้านาน ออกท่องเที่ยวเดินทางไปทั่วทุกแห่งหน คิดว่าเราไม่เคยพบหน้าเจ้ามาก่อน ที่เจ้ากล่าวกับเราเมื่อครู่ ถึงเรื่องราวที่เราออมมือให้กับเจ้า ความจริงเรามิได้ออมมือแต่อย่างใด เจ้าคล้ายต้องชะตากับเราผู้เฒ่าอยู่บ้าง ดังนั้นก่อนตอบคำถามเจ้าเมื่อครู่ ซึ่งเจ้ากลาวถามเราว่า เรามีนามเรียกหาว่ากระไร? เราผู้เฒ่าขอทราบนามอันสูงส่ง ของอาจารย์เจ้าก่อนจะได้หรือไม่?"

จ่านจือ เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาวุโสท่านนี้กล่าวถามนามของอาจารย์ตนเอง ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน สั่งกำชับกับเขาเอาไว้ก่อนถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน ห้ามมิให้เขาบ่งบอกหรือแพร่งพรายต่อทุกคน เกี่ยวกับความเป็นมาของอาจารย์เด็ดขาด

ดังนั้น จ่านจือจึงต้องรักษาคำพูด ที่ได้รับปากต่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนผู้เป็นอาจารย์ ว่าเขาจะไม่บ่งบอกนามของท่านออกไปก่อนได้รับอนุญาตเป็นอันขาด จึงกล่าวตอบอาวุโสตรงหน้าตามความสัตย์ถึงความจำเป็นว่า

"ข้าพเจ้าต้องขออภัยต่ออาวุโสอย่างใหญ่หลวง ที่ไม่สามารถบอกกล่าวชื่อเสียงเรียงนามของท่านอาจารย์ได้ เนื่องจากข้าพเจ้าได้รับปากต่ออาจารย์เอาไว้ว่า จะไม่บอกกล่าวต่อผู้ใด ก่อนได้รับอนุญาตจากท่านเสียก่อน ในเรื่องความจำเป็นนี้ คิดว่าอาวุโสคงไม่ตำหนิข้าพเจ้ากระมัง?"

ชายชราผมขาวคิ้วยาวผู้นั้น เมื่อได้ยินคำตอบของจ่านจือแล้ว นอกจากท่านไม่ว่ากระไรแล้ว ท่านกลับแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา แล้วส่งเสียงกล่าวกับเขาว่า

"เราผู้เฒ่ามิตำหนิเจ้า ตรงกันข้ามเรากลับชื่นชมเจ้าด้วยซ้ำ เจ้าไม่บอกกล่าวต่อเรา ด้วยมีเหตุผมอันสมควร เมื่อรับปากอาจารย์เอาไว้ใช่เป็นความผิดเจ้า เราผู้เฒ่ากลับรู้สึกว่าเจ้ามีความซื่อสัตย์ รักษาคำพูดไม่เป็นคนปลิ้นปล้อนแปลกปลอม ข้อนี้ของเจ้าเราผู้เฒ่าขอชื่นชมด้วยใจจริง”

จ่านจือ เขาแสดงสีหน้าขอบคุณ อาวุโสท่านนี้คล้ายเข้าใจต่อความจำเป็นของเขา ส่งเสียงกล่าวตอบสั้น ๆ ว่า

“ข้าพเจ้ามีความจำเป็นจริง ๆ ไม่อาจบอกกล่าวออกไปได้จริง ๆ”

อาวุโสผู้นี้แย้มยิ้ม ส่งเสียงกล่าวกับจ่านจืออีกว่า

“เราผู้เฒ่าเข้าใจเจ้าดี เมื่อเจ้าได้รับปากอาจารย์ของเจ้าเอาไว้ จงรักษาคำพูดเอาไว้อย่างเคร่งครัด คนเราหากมีความซื่อสัตย์ต่อตัวเองย่อมต้องมีความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นอย่างแน่นอน จ่านจือเจ้านับว่าไม่เลวเลย เจ้าอายุยังเยาว์กลับมีความคิด รู้จักวางตัวไม่หยิ่งยโสวาจาถ่อมตัวอ่อนน้อม อีกทั้งยังมีความซื่อสัตย์น่ายกย่องส่งเสริม เราผู้เฒ่ายอมรับนับถือในตัวของเจ้าด้วยจริงใจ"

ในขณะที่คนทั้งสอง จะได้กล่าววาจาใดต่อไป ซื่อเหมี่ยน กับเอวี้ยอี้เซิน นางทั้งสองกำลังทำอาหารอยู่ในครัว พอได้ยินเสียงปะทะกันดังครืนครั่น นางทั้งสองรู้สึกกระหนกตกใจ เกรงว่าจ่านจือจะพบเจอเรื่องราวอันตราย  นางทั้งสองจึงพากันวิ่งออกจากครัว หน้าตาแตกตื่นเพื่อออกมาดูว่า เกิดเรื่องราวใดขึ้น

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป