ตอนที่ 16
หุบเขาผาพยัคฆ์ขาว
คนทั้งสามออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเย้ยอรุณ จ่านจือหัวใจพองโตเต้นถี่ไม่เป็นจังหวะ ประหนึ่งดั่งกลองถูกหวดด้วยระดับความความแรงอีกทั้งยังถี่ยิบกระนั้น เขารู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก สิบห้าปีที่จากไปเมื่อได้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง ไม่ทราบว่าสภาพทั่วไปรวมถึงบรรยากาศเมื่อกาลก่อนจะยังคงเหมือนเช่นเดิมหรือไม่ ไม่แน่นักอาจจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายกระทั่งมิอาจคาดเดาก็อาจเป็นไปได้ อีกมินานเท่าใดเขารวมทั้งพี่สาวทั้งสองคงไปถึงยังสถานที่นั่น
หมู่ตึกกระเรียนฟ้า
หมู่ตึกกระเรียนฟ้า เช้านี้เกิดเรื่องโกลาหลอลหม่านขึ้น กลางห้องโถงใหญ่นอนทอดไว้ด้วยซากศพร่างหนึ่ง ไม่มีร่องรอยบาดแผลแต่คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองชั่วยาม เมื่อเข้าไปพิศดูใกล้ ๆ สภาพศพไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ปราศจากร่องรอยบาดแผล เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่มีริ้วรอยฉีกขาดแต่ประการใด แต่ทว่าอวัยวะภายในกลับแหลกเหลวละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
มิมีผู้ใดในหมู่ตึกกระเรียนฟ้ารู้แจ้งเห็นชัด ว่าหลิวซุ่นกงกงกลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีผู้ใดทราบเลยจริง ๆ แต่มิอาจแปลกปลอมเวลานี้หลิวซุ่นกงกงยืนอยู่ด้านหน้าของร่างที่นอนเป็นซากศพแน่นิ่งนั้นแล้ว หลิวซุ่นกงกงสำรวจตรวจสอบร่างไร้วิญญาณอยู่ไปมาเที่ยวหนึ่ง จากนั้นออกคำสั่งให้ไปแจ้งทุกคนในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ให้ทุกคนรีบมารวมตัวกันโดยเร่งด่วนที่สุด
ผ่านไปไม่นานนัก ทุกคนต่างมารวมตัวกันยังห้องโถงใหญ่ รวมทั้งเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ท่านรีบรุดออกมาจากห้องพักด้วยเช่นกัน เมื่อพบร่างทอดนอนตายยังไม่อาจคาดเดาว่าตายด้วยสาเหตุอันใด ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บปัจจุบันทันด่วนหรือไม่ แต่ที่น่าสงสัยหากทอดร่างนอนตายกลางห้องโถงเช่นนี้ อาจมีอีกประการหนึ่งนั้นคือถูกลอบทำร้าย
เด็กรับใช้และบริวารที่มารวมกันยังกลางห้องโถง ถูกหลิวซุ่นกงกงออกคำสั่งให้ทั้งหมด ไปยืนรวมตัวกันฟากหนึ่งของห้องโถง ส่วนอีกด้านหนึ่งยืนเรียงรายด้วยยอดฝีมือ ประกอบด้วยต๊กม้อเต็กลามะ เล่อต้าเต๋อ เสิ่นซื่อสูอวี้ สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง อันสุ่ย ฉีฝ่าน ต้าถง มีผู้หนึ่งซึ่งหายไปเมื่อสำรวจดูถ้วนถี่ มีเพียงหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวนแต่เพียงผู้เดียว ที่มิได้ยืนอยู่ในกลุ่มยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเวลานี้
ในตอนแรกมีหลายคนสงสัยเช่นกัน ว่ามันหายหน้าไปที่ใดกันแน่ แต่พอเห็นซากศพคนตายชัดเจนพลันหายสงสัยไปตามกัน แท้จริงมันมิได้หายไปที่ใดในเวลานี้ มันยังคงอยู่ในห้องโถงนี้เพียงแต่มันทอดร่างเป็นซากศพไร้วิญญาณอยู่กลางห้องโถงนั่นเอง ทุกคนมีปฏิกิริยาตื่นตระหนกตกใจมิมีผู้ใดยอมเชื่อในคราแรก เมื่อเห็นร่างของมันกลายเป็นซากศพไปแล้ว หลิวซุ่นกงกงสอบถามทุกคน คำตอบที่ได้ต่างไม่มีผู้ใดรู้เห็นว่าเป็นฝีมือของผู้ใด ที่ลอบเข้ามาลงมือด้วยอำมหิตโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ท่านรู้สึกตื่นตระหนกตกใจไม่น้อยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้วยความรีบร้อนกระทั่งลืมหยิบเสื้อคลุมสวมทับออกมาจากห้องพัก หลิวซุ่นกงกงสั่งให้คนเคลื่อนย้ายศพไปไว้ยังห้องชั้นใน จากนั้นให้คนอื่น ๆ ซึ่งมิเกี่ยวข้องแยกย้ายกันไปได้ หลงเหลือไว้เพียงแต่เหล่ายอดฝีมือ กับมือดีภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าที่ยืนอยู่ฟากหนึ่งของห้องโถงเท่านั้น
หลิวซุ่นกงกงสั่งให้แยกย้ายกันตรวจค้น เพื่อหาร่องรอยหลักฐานของคนร้าย เน้นย้ำว่าให้คนหาทุกตารางนิ้วภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าห้ามตกหล่น ทุกคนรีบแยกย้ายทำตามที่ได้รับคำสั่ง มีเพียงห้องพักของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า หลิวซุ่นกงกงสั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปเด็ดขาด ด้วยเห็นว่าท่านเป็นแขก อีกทั้งเป็นคนคุ้นเคยสนิทสนมกันมาเนิ่นนานนั่นเอง
"ท่านหลิวซุ่นกงกง ข้าพเจ้ามู่ชิวป้าขอแสดงความเสียใจกับท่านด้วย มีคนถูกฆ่าตายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า โดยไม่มีผู้ใดพบเห็นแม้แต่เพียงผู้เดียว ผู้ที่ลงมือคงเป็นยอดฝีมืออันร้ายกาจน่ากลัว อีกทั้งเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ลงมือสังหารเจ็ดศพในคราวก่อน หรือไม่อาจเป็นคนเดียวกันกับที่ฆ่าคนในหมู่บ้านเย้ยอรุณเชิงเขา หัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวนนับได้ว่าเป็นมือดีที่อยู่กับท่านมานาน เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถซื่อสัตย์ภักดี บุคคลเช่นนี้ช่างหายากยิ่งไม่น่าจะต้องมาตายอนาถเช่นนี้"
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าแสดงความรู้สึกเสียใจ พร้อมกับประสานมือต่อหลิวซุ่นกงกง เจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าประสานสองมือตอบรับพลางกล่าวว่า
"ขอบคุณในน้ำใจของท่านมู่ ท่านนั้นมาเป็นแขกในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าของข้าพเจ้า กลับต้องมาพบพานเรื่องราวสะเทือนขวัญเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องขออภัยท่านมู่ที่ต้องลำบาก ท่านเดินทางมาข้าพเจ้ายังมิทันเลี้ยงต้อนรับ กลับเป็นท่านที่ต้องอยู่ร่วมอาลัยให้กับคนตาย"
เมื่อหลิวซุ่นกงกงกล่าววาจาเกรงอกเกรงใจเช่นนั้น เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า จึงใช้มือขวาตบหัวไหล่ซ้ายเบา ๆ เป็นการปลอบใจ ท่านเองกับเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าคุ้นเคยกันมาช้านาน ดังนั้นจึงมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ หลิวซุ่นกงกงยกมือขึ้นมาตบหลังมือของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า ซึ่งวางอยู่บนหัวไหล่ซ้ายของตนแล้วเอ่ยกล่าวว่า
"ท่านมู่เองเดินทางไกลลำบากไม่น้อย ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นเจ้าบ้าน เช่นนั้นจะขอเดินเป็นเพื่อนไปส่งท่านมู่ที่ห้องพักก็แล้วกัน ท่านมู่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยเนื่องจากรีบร้อนออกมา อีกสักครู่ท่านมู่ค่อยออกมาสมทบกับคนอื่น ๆ อีกไม่นานคงทราบความคืบหน้าว่าได้หลักฐานใดบ้างหรือไม่? เชิญท่านมู่"
หลิวซุ่นกงกงเห็นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าไม่ได้สวมเสื้อคลุมทับออกมา จึงอาสาเดินไปส่งยังห้องพัก ทั้งสองเดินไปสนทนากันไปเพียงไม่กี่ประโยค เมื่อถึงห้องพักของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า ซึ่งตั้งอยู่ในตัวตึกคชสีห์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า พอเข้าไปยังห้องพักสภาพภายในห้องนอนยังไม่เรียบร้อยเท่าใดนัก หมอนที่นอนผ้าห่มยังมิได้เก็บเข้าที่เข้าทาง ดังนั้นเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าจึงขอตัวเก็บที่นอนสักครู่ ปล่อยให้หลิวซุ่นกงกงยืนรอด้วยเกรงอกเกรงใจ
หลิวซุ่นกงกงขณะยืนรอเหลือบแลเห็นเสื้อคลุมตัวหนึ่งเป็นผ้าฝ้ายเนื้อดี เส้นด้ายทอละเอียดประณีตสีครามเข้ม หลิวซุ่นกงกงมองผ่านเผิน ๆ ทราบว่าเป็นเนื้อผ้าของร้านขายผ้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือชื่อ "ต่วนซัว" เป็นร้านขายผ้าที่มีคุณภาพดีที่สุดในเมืองลั่วหยาง เถ้าแก่เจ้าของร้านรวบรวมผ้าเนื้อดีจากทั่วสารทิศมาวางขายที่นี่
หลิวซุ่นกงกงเดินไปหยิบเสื้อคลุมของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ซึ่งแขวนอยู่บนผนังข้าง ๆ เตียงนอน จากนั้นเดินมาหยุดยืนยื่นส่งให้เจ้าหุบเขามู่ชิวป้า เจ้าหุบเขากล่าวขอบคุณพลางสวมเสื้อคลุมทับ เสร็จสรรพแล้วจึงพากันเดินออกมาจากห้องพักไปยังห้องโถงชั้นใน ซึ่งใช้สถานที่เก็บร่างคนตายไว้นั่นเอง
ทั้งสองเดินตรงมาเลี้ยวซ้ายแล้วก้าวเท้าไปห้าหกวาจึงถึงห้องที่เก็บศพคนตายไว้ หลังจากนั้นอีกเพียงครู่เดียวคนอื่น ๆ ที่แยกย้ายกันไปตรวจค้นตามซอกมุมของตัวตึก อีกทั้งห้องหับต่าง ๆ พลางทยอยมาถึง เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว หลิวซุ่นกงกงกล่าวถามขึ้นทันทีว่า
"เรียนถามทุกท่านทั้งหลาย มิทราบว่าได้ร่องรอยน่าสงสัยใดบ้างหรือไม่? ตรวจค้นจนทั่วบริเวณแล้วพบสิ่งใดผิดปกติ หรือพอเป็นเบาะแสที่คนร้ายทิ้งไว้บ้างหรือไม่?"
ทุกคนที่ออกตรวจค้นต่างให้คำตอบแทบคล้ายคลึงกัน นั้นคือไม่พบร่องรอยหลักฐานใด ที่พอจะสืบสาวหาตัวคนร้ายได้เลย
"เช่นนั้นเราจะลองตรวจค้นร่างเกาฉวนอีกครั้งให้แน่ใจ ก่อนที่จะนำร่างของมันไปฝังให้เรียบร้อย เผื่อบางทีมีหลักฐานใด? ให้สืบสาวได้บ้าง พวกท่านทั้งหลายมาช่วยเราด้วยอีกแรงหนึ่ง"
หลิวซุ่นกงกงกล่าวชักชวนพลางตรวจค้นตามร่างของผู้ตายอีกครั้ง เมื่อตรวจค้นดูอยู่หลายเที่ยวไม่พบสิ่งต้องสงสัยใด ฉับพลันนั้นเองเสียงผู้คนร่ำร้องขึ้น
"ท่านหลิวซุ่นกงกง! รีบมาดูตรงนี้เร็วเข้า ที่มือของเกาฉวนกำบางสิ่งเอาไว้?"
เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ส่งเสียงร้องเรียกหลิวซุ่นกงกงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เมื่อเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าออกแรงง้างดึงนิ้วมือของผู้ตายออก สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทุกคน ในมือของผู้ตายมีเศษชิ้นของผ้าแถบหนึ่ง คาดว่าผู้ตายคงจะตะปบเอาไว้ตอนถูกทำร้าย หลิวซุ่นกงกงหยิบชิ้นผ้านั้นขึ้นมาพร้อมกับกล่าวว่า
"ในที่สุดเราได้หลักฐานเพื่อเป็นเบาะแสหาตัวคนร้าย ต้องกล่าวขอบคุณดวงวิญญาณของเกาฉวนแล้ว แม้มันตายไปกลับทิ้งหลักฐานเอาไว้ให้ใช้เปิดโปงโฉมหน้าของคนร้ายรายนี้ มิเช่นนั้นจะต้องมีผู้คนต้องตกตายภายใต้ฝ่ามือลึกลับนี้อีกหลายคน ท่านทั้งหลายเชิญมาชมดูว่า พวกท่านเคยเห็นผ้าลักษณะนี้ที่ใดบ้างหรือไม่?"
หลิวซุ่นกงกงยื่นส่งเศษผ้าชิ้นนั้นให้ทุกคนชมดูจนถ้วนทั่ว เศษผ้าชิ้นนั้นมีขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือ เป็นผ้าเนื้อดีสีครามเข้ม ทุกคนชมดูพลางใช้ความคิดพิจารณา พยายามนึกดูว่าเคยเห็นผู้ใดสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ลักษณะที่เห็นบ้างหรือไม่
ทุกคนในที่นั้นต่างพากันครุ่นคิด ว่าผู้ใดกันที่เป็นเจ้าของเศษผ้าชิ้นนี้ อีกทั้งยังเป็นฆาตกรลงมือเข่นฆ่าชาวยุทธ์อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ท่านกลับมีความรู้สึกว่าเศษผ้าชิ้นนี้ช่างคุ้นตาเหลือเกิน แต่ก่อนที่เจ้าหุบมู่ชิวป้าจะนึกออกว่าเคยเห็นผ้าลักษณะนี้จากที่ใด พลันสายตาทุกคู่ในที่นั้นพากันจับจ้องมายังร่างของท่านดุจอินทรีจับจ้องเหยื่อมิปาน
ในเสี้ยวเวลานั้นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า พลันคิดออกเช่นกันว่าเศษผ้าชิ้นนี้ไฉนช่างคุ้นตาท่านนัก จะมิให้คุ้นตาได้เช่นไรในเมื่อเนื้อผ้าชนิดเดียวกันนั้น บัดนี้มันมาสวมทับอยู่บนร่างของท่านเอง
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ส่งเสียงร่ำร้องในใจว่าครั้งนี้เราย่ำแย่แล้ว แม้คิดจะแก้ต่างให้กับตนเองคงไร้ผล ในเมื่อหลักฐานมัดแน่นหนาปานนี้ มิหนำซ้ำเรายังตกอยู่ในวงล้อมของคมเขี้ยวพยัคฆ์กรงเล็บมังกรอีก ในเวลานี้ท่านจึงต้องตัดสินใจแล้ว ระหว่างหยกแตกหักกับกระเบื้องสมบูรณ์ สิ่งใดสมควรหยิบฉวยเอาไว้ก่อนในเวลานี้
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า พลันตัดใจในฉับพลัน ท่านเตรียมพร้อมเร่งเร้าลมปราณขึ้นทั่วร่าง ผู้ที่พุ่งร่างเข้ามาหาท่านเป็นคนแรกคือต๊กม้อเต็กไต้ซือลามะทิเบต ติดตามมาด้วยสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง
คนทั้งสองเจียฮุยกับเจียจิ้ง พวกมันยังไม่หายโกรธแค้นเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าเท่าใดนัก สาเหตุเป็นเรื่องราวเมื่อคืน ซึ่งมันสองคนถูกสยบเอาไว้โดยมิทันได้ลงมือ คราครั้งนี้พอได้โอกาสพลันต้องการเอาคืน ลำพังมันสองคนมิมีขวัญกล้าเพียงนี้ แต่เนื่องด้วยมีผู้ช่วยอันเข้มแข็งที่นี่ หากมิฉกฉวยโอกาสนี้คงยากได้ล้างอาย ดังนั้นจึงไม่พลาดปลดปล่อยโอกาสให้หลุดรอดมือไป
ต๊กม้อเต็กลามะบรรลุถึงก่อนครึ่งก้าว สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งจึงตามติดมา ห่วงทองสองวงประกบติดกันแนบแน่น พร้อมกับบรรจุพลังลมปราณอันลึกล้ำกระทั่งเปี่ยมล้น แล้ววาดห่วงทองสองวงเฉียง ๆ ทิศทางจากด้านบนซ้ายไปขวาล่าง ตำแหน่งหัวไหล่ของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า เมื่อห่วงทองเคลื่อนไหวในอากาศ บังเกิดเป็นคลื่นลมอื้ออึงดังหวืดหวือ พลังลมปราณอันบ้าคลั่ง คล้ายถาโถมปกคลุมทั่วบริเวณ แต่ก่อนที่ห่วงทองทั้งสองวงจะต้องร่างสัมผัสกาย เจ้าหุบเขามู่ชิวป้าผลักสองฝ่ามือออกเสมออก พร้อมกับพุ่งร่างถอยหลังไปสามก้าว
เสียงทึบหนัก ๆ ดังขึ้นพร้อมกับร่างของสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ซึ่งเพิ่งบรรลุมาถึงกระดอนกลับหลังไปวาเศษ เนื่องด้วยต๊กม้อเต็กลามะใช้ท่าร่างอันพิสดารรวดเร็ว พุ่งทะยานลอยขึ้นสู่อากาศเหนือศีรษะราวสองวา ลามะรูปนี้คำนวณล่วงหน้าออกว่า เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าจะใช้กระบวนท่าฝ่ามืออันเกรี้ยวกราด
ลามะทิเบตรูปนี้ฝีมือมิธรรมดา สายตาโสตสัมผัสยิ่งไม่เลวทรามต่ำช้า เมื่อเห็นเจ้าหุบเขาตั้งท่าฝ่ามือ ทราบว่าเจ้าหุบเขามู่ชิวป้ากำลังเร่งเร้ากำลังภายในถึงขีดสุด จึงมั่นใจไม่ผิดพลาดกระบวนท่าฝ่ามือนี้ เจ้าหุบเขามู่ชิวป้าคิดแลกชีวิตกับมันนั่นเอง
สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง มันทั้งสองเพิ่งบรรลุมาถึงจึงยังมิทันตั้งหลักหลบหลีก ยามกะทันหันลนลานสองขาพลันสับสน กระทั่งถูกพลังฝ่ามือกระแทกล้มฟาดลงกับพื้น มันทั้งสองรู้สึกจุกแน่นอึดอัดแทบสำรอกอาเจียนอวัยวะภายในออกมาจนลุกไม่ขึ้น
แต่ถึงเช่นไรยังนับว่าโชคดีอยู่บ้าง ที่มันทั้งสองเกร็งพลังลมปราณคุ้มครองกายเอาไว้ จึงยังพอป้องกันได้ในระดับหนึ่ง แต่กระนั้นมันทั้งสองคนยังได้รับบอบช้ำภายในสาหัส เมื่อต๊กม้อเต็กลามะทิ้งร่างลงสู่พื้นเป็นเวลาเดียวกันกับเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า ช่วงชิงพุ่งร่างออกทางหน้าต่างอาคารพอดี
เมื่อพุ่งร่างออกมาด้านนอก ในห้วงสมองความคิดของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า ท่านคิดว่าขอเพียงหนีเอาชีวิตรอดจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้าไปก่อนเป็นใช้ได้ ภายหน้าค่อยหาทางล้างความผิดนี้ แต่ทว่าคล้ายกับหนทางหนีของท่าน อาจไม่ราบรื่นสะดวกสบายเท่าใดนัก สืบเนื่องจากทุกทิศทางหลบหนีบัดนี้เหมือนถูกบีบให้คับแคบเล็กลงทุกขณะ เมื่อเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ทะยานตามติดดุจเงาร่างดั่งกาวเหนียวของท่านฉะนั้น
ทางด้านขวามือของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า ผู้ที่บีบเส้นทางคับแคบเข้ามา เป็นหัวหน้าตึกสามคน อันสุ่ย ฉีฝ่าน ต้าถงตามลำดับ เมื่อเร่งรุดมาถึง ทั้งสามอยู่ห่างราวสองวา เจ้าหุบเขามู่ชิวป้ารู้แก่ใจว่าทั้งสามมิใช่คู่มือของท่าน พวกมันยังด้อยฝีมือแต่มิถึงกับต่ำทราม
ดังนั้นเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า พุ่งร่างเข้าหาคนทั้งสามพร้อมกับหมัดซ้ายขวาต่อยออกติดต่อกันสิบกว่าหมัด เสียงพลังหมัดและฝ่ามือปะทะกันดังทึบ ๆ ปง ๆ ยอดฝีมือประกระบวนท่าผลแพ้ชนะวัดกันเพียงเศษเสี้ยวพริบตา เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าอาศัยช่วงจังหวะนี้ เปลี่ยนจากหมัดเป็นสองนิ้วจี้ปราดเข้าใส่ทั้งสามคนตำแหน่งไหปลาร้า นี่เป็นวิชาดรรชนีสกัดจุดที่รวดเร็วและแยบคายพิสดาร
เมื่อรั้งสองนิ้วมือกลับร่างของอันสุ่ย ฉีฝ่าน ต้าถง ทั้งสามคนต่างยืนงวยงงสงบนิ่งมิเคลื่อนไหว ได้แต่กลอกกลิ้งลูกตาทั้งสองไปมา ปากก่นด่าส่งเสียงดังสับสน
เจ้าหุบเขามูชิวป้ามิรีรอชักช้า รีบพุ่งร่างลอยขึ้นหลบหนีไปทางศาลเจ้าร้าง เบื้องหลังยังคงตามติดด้วยต๊กม้อเต็กลามะ เล่อต้าเต๋อ เสิ่นซื่อสูอวี้ ส่วนหลิวซุ่นกงกงเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า มิได้ติดตามมาในทันที ท่านตรงเข้าไปตบคลายจุดให้กับสามคนที่ยืนงุนงงดุจถูกสายฟ้าปานฉนั้น พวกมันโดนดรรชนีสกัดจุดของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า
มือดีของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าทั้งสาม พุ่งร่างปราด ๆ ตามมาใกล้ถึงศาลเจ้าร้างอีกราวครึ่งลี้จะไล่ทัน เมื่อติดตามทันมันสามคนแยกย้ายซ้ายขวาสกัดด้านหน้าอีกผู้หนึ่ง จึงเป็นการปิดเส้นทางหลบหนีของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าเอาไว้ หากย้อนกลับมีแต่จะประสบกับยอดฝีมือที่กำลังติดตามมา
ยามนั้นเป็นจังหวะคับขันอันตราย เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าเพียงผู้เดียว ส่วนคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้ามีถึงสามคน อีกทั้งกำลังจะติดตามมาอีกจำนวนหนึ่ง ทันใดนั้นจ่านจือกับซื่อเหมี่ยนรวมทั้งเอวี้ยอี้เซินเดินทางมาถึงบริเวณนั้นพอดี พอศิษย์สตรีทั้งสองมองเห็นอาจารย์ของนางตกอยู่ในวงล้อม จึงพากันส่งเสียงร้องตะโกนเรียกอาจารย์ดังว่า
"อาจารย์!"
ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน นางทั้งสองมิรีรอชักช้าพากันชักกระบี่ออกจากฝัก รีบพุ่งร่างดั่งนางแอ่นเหินตรงเข้าไปช่วยเหลืออาจารย์รับมืออีกแรงโดยมิกริ่งเกรงหวาดกลัว เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า เหลียวตามเสียงร้องเรียกเมื่อเห็นศิษย์สตรีทั้งสองจึงร้องบอกว่า
"ซื่อเหมี่ยน อี้เซิน พวกเจ้าทั้งสองมิใช่คู่มือของพวกเขา เจ้าทั้งสองมิต้องห่วงอาจารย์รีบหนีไป ไปเส้าหลินบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินท่านรับรู้ บอกกับท่านเจ้าอาวาสว่าอาจารย์จะไปชี้แจงความจริงให้ฟังในวันชุมนุมชาวยุทธ์ เรียนบอกต่อท่านว่าอาจารย์ถูกคนใส่ร้ายป้ายสี พวกเขากล่าวหาว่าอาจารย์ฆ่าคนตายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า"
พอสิ้นเสียงกล่าวของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ศิษย์สตรีทั้งสองของท่านยังมิทันกล่าวตอบ เสิ่นซื่อสูอวี้ยอดฝีมือจากอูเยี่ยว์ชิงกล่าววาจาขึ้นก่อนว่า
"เห็นทีคำสั่งเสียของเจ้าหุบเขามู่ ศิษย์ทั้งสองของท่านคงมิอาจปฏิบัติตามได้แล้วกระมัง? ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าฝากคำพูดทั้งหมดไปถึงยมบาลยังง่ายดายกว่าไปเส้าหลิน วันนี้พวกเราจะต้องเอาชีวิตของท่าน พร้อมกับศิษย์สตรีทั้งสองเพื่อแก้แค้นให้แก่เกาฉวนให้จงได้"
สิ้นเสียงกล่าวจบ เสิ่นซื่อสูอวี้ในมือเพิ่มดาบสันหนาบนสันดาบเจอะร้อยห่วงเหล็กเก้าห่วง พร้อมกับเล่อต้าเต๋อยอดฝีมือจากอุยกูร์ มันผู้นี้ใช้อาวุธเป็นค้อนเหล็กหนักราวชั่ง มันทั้งสองต่างพุ่งร่างเข้าหาศิษย์สตรีทั้งสองของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า พร้อมอาวุธประจำกายกรีดก้องร้องคำราม
ยามนั้นก่อนที่มันทั้งสองจะบรรลุถึงอีกเพียงหนึ่งก้าว ร่างหนึ่งพลันกระโดดเข้าขัดขวางเอาไว้ก่อน ศิษย์สตรีทั้งสองเมื่อมองเห็นชัดถนัดตาพบว่าเป็นจ่านจือนั้นเอง พอกระโดดเข้าขวางร่างแทบแนบชิดกับสองคนนั้น
ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินเมื่อเห็นเขากระโดดเอาร่างขวางกั้นไว้ให้กับนางทั้งสอง พวกนางต่างตกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องด้วยทราบว่าเขาไม่เป็นวรยุทธ์ นางทั้งสองยามตระหนกตกใจส่งเสียงร้องเรียกจ่านจือด้วยคววามเป็นห่วงโดยมิได้นัดหมายพร้อมเพรียงกันว่า
“เซียวจือ!"
"พี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง ท่านทั้งสองถอยไปมิต้องห่วงข้าพเจ้า คนเหล่านี้มอบให้เซียวจือรับมือเอง พวกท่านจดจำคำพูดของเซียวจือมิได้หรือ? ข้าพเจ้าบอกว่าจะคุ้มครองพี่สาวทั้งสอง ผู้ใดก็มิอาจทำอันตรายพี่สาวทั้งสองของเซียวจือเด็ดขาด"
จ่านจือกล่าววาจาจบ ร่ายรำกระบวนท่าที่หนึ่งในวิชาดาวดึงส์นามดาวเย้ยเดือน จากนั้นผลักสองฝ่ามือออกก่อเกิดเป็นพลังดังทึบ ๆ พลังไร้สภาพแต่ทว่าดุดันพุ่งเข้าปะทะกับอาวุธของคนทั้งสองที่ใช้ออกก่อน เป็นค้อนเหล็กหนักพันชั่งกับดาบสันหนาเก้าห่วง
แต่กระนั้นคนทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือ เสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อพุ่งร่างเฉียง ๆ ฉีกออกไปทางซ้ายขวาคนละทิศคนละทาง ยอดฝีมือทั้งสองมิเคยเห็นกระบวนท่าวิชาที่จ่านจือใช้ ดังนั้นรู้สึกตระหนกตกใจในกระบวนท่าพิสดาร ยามกะทันหันลนลานจึงมิกล้าผลีผลามปะทะโดยตรง ทางด้านเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า กำลังปะทะกระบวนท่ากับต๊กม้อเต็กลามะอย่างอย่างดุเดือดเผ็ดร้อนเช่นกัน
บัดนั้นก่อนที่เหตุการณ์จะดำเนินต่อไปเช่นไร พลันเสียงหนึ่งตะโกนร้องเรียกจ่านจือซึ่งเขารู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง พร้อมวัตถุหนึ่งซัดขว้างมา เมื่อตกถึงพื้นแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มควันสีม่วงอมเทาพวยพุ่งฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
"จ่านจือ!"
เมื่อกลุ่มควันเหล่านั้นเบาบางจางลง ทุกคนต่างอันตรธานหายไปหมดสิ้น คงเหลือไว้เพียงแต่ต๊กม้อเต็กลามะจากทิเบต เสิ่นซื่อสูอวี้จากอูเยี่ยว์ เล่อต้าเต๋อจากอุยกูร์ ยอดฝีมือทั้งสามในสังกัดหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ต่างพากันตกตะลึงพรึงเพริดงุนงงต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งบังเกิดขึ้น สุกรกำลังจะหามกลับมีคนเอาคานเข้ามาสอด แถมยังแย่งชิงไปง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแต่มิอาจกระทำเช่นไรได้ ต่างพากันกระทืบเท้าแสดงอาการเจ็บแค้นเสียดายแทบจะระเบิดออกมา
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564