ตอนที่ 14
เทศกาลสารทตงชิว
เมื่อดรุณีทั้งสอง แนะนำตัวต่อจ่านจือแล้ว ทำให้เขาทราบว่า นางทั้งสองเป็นศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เคยเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ท่านเล่าว่าก่อนที่ท่านจะเร้นกาย มีความสนิทสนมกับเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวอยู่บ้าง
บัดนี้ สองดรุณีเข้าใจว่า จ่านจือมิใช่ชาวยุทธ์ ดังนั้นเขาจึงมิต้องการกล่าวถึง เกี่ยวกับหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ให้กับทั้งสองดรุณีรับทราบ ว่าเขาเคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้างเช่นกัน
คนทั้งสาม สนทนาพลางก้าวเท้าเดินไปยังศาลเจ้าร้าง จ่านจือเดินนำหน้าดรุณีทั้งสองไป ซื่อเหมี่ยน กับเอวี้ยอี้เซินบอกว่า นางเป็นศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว เคยติดตามอาจารย์ออกท่องยุทธ์หลายหน ดรุณีที่มีนามว่าเอวี้ยอี้เซิน กล่าวถามจ่านจือว่า
“นี่สหายน้อย อีกเดือนกว่าจะถึงเทศกาลสารทง่วนเซียวแล้ว เจ้าคิดจะไปท่องเที่ยวชมโคมไฟ ในตัวเมืองลั่วหยางหรือไม่?”
จ่านจือ เขาไม่ทราบว่าเทศกาลสารทง่วนเซียวคืออะไร เพราะตั้งแต่เล็ก ได้แต่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเย้ยอรุณหลังเขา ไม่เคยเข้าเมืองแม้แต่ครั้งเดียว จึงเรียนกับสองดรุณีไปตามตรงว่า
“ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเทศกาลสารทง่วนเซียว เป็นเทศกาลกระไร? ใช่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าหรือไม่ ในวันนั้นผู้คนเขากระทำสิ่งใดกัน”
เนื่องด้วย ตนเองอาศัยอยู่หมู่บ้านหลังเขา วัน ๆ เอาแต่ช่วยงานมารดา มิมีเวลาออกมาท่องเที่ยว ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าเทศกาลง่วนเซียว มีความสำคัญเช่นไร อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับเขาด้วยหรือไม่
เมื่อทั้งสามก้าวเท้าเข้าในศาลเจ้าร้างแล้ว ศิษย์ทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว นางทั้งสองจึงช่วยกันเล่าเรื่องราว เกี่ยวกับเทศกาลสารทง่วนเซียวให้จ่านจือฟัง โดยทั้งสองเล่าว่า
เทศกาลสารทง่วนเซียว คือคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปี ตรงกับวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้าย ทุกบ้านจะนิยมกินขนมบัวลอยกันในครอบครัว พร้อมกับออกจากบ้านเที่ยวชมการประดับโคมไฟ เพื่อความเป็นสิริมงคล ดังนั้นจึงมีการเรียกเทศกาลนี้อีกชื่อหนึ่งว่า “เทศกาลโคมไฟ”
“สหายน้อย เจ้าไม่เคยออกมาท่องเที่ยวชมโคมไฟเลยหรือ?”
ดรุณีนามเอวี้ยอี้เซินเอ่ยถามจ่านจือ สีหน้านางคล้ายแปลกประหลาดใจอยู่บ้าง เขารีบกล่าวตอบกลับไปตามความสัตย์ว่า
“ไม่เคย ข้าพเจ้ามิเคยออกมาเที่ยวชมสักครั้งเดียว ตั้งแต่เด็กกระทั่งเติบโต ล้วนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเชิงเขา มิเคยเดินทางเข้าเมืองหลวงแม้แต่คราเดียว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมิเคยท่องเที่ยวจริง ๆ”
ดรุณีนามซื่อเหมี่ยน สีหน้านางแม้มิได้แสดงความแปลกประหลาดใจ แต่ภายในใจอดสงสัยอยู่บ้าง จึงกล่าวถามจ่านจือขึ้นบ้างว่า
“เช่นนั้น ครอบครัวของเจ้า คงต้องทำขนมบัวลอย ให้เจ้ารับประทานสินะ?”
คำถามนี้ ของดรุณีนามซื่อเหมี่ยน คล้ายกับมีก้อนอะไรมาจุกอยู่บริเวณหน้าอกของเขา ได้ยินคำว่าครอบครัว ทำให้เขานึกถึงใบหน้าป้าหนิวขึ้นมา ใช่แล้วเขายังพอนึกออกอยู่บ้าง
ป้าหนิว เคยทำขนมบัวลอยให้เขารับประทาน แต่ไม่เคยบอกว่ามีความสำคัญเช่นไร จดจำได้ว่า ป้าหนิวจะบรรจงปั้นแป้งเป็นลูกกลม ๆ แล้วนำไปต้มในน้ำกับน้ำตาล ในหนึ่งปี ป้าหนิวจะทำขนมบัวลอย ให้จ่านจือรับประทานครั้งหนึ่ง เขายังเคยสงสัยเช่นกัน ว่า ไฉนป้าหนิวจึงทำขนมบัวลอย เพียงปีละครั้งเดียวเท่านั้นเอง
จ่านจือ เพิ่งจะเข้าใจในตอนนี้ การทำขนมบัวลอยรับประทาน ยังมีความสำคัญกับคนในครอบครัวด้วย อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับเทศกาล ที่เรียกว่าสารทง่วนเซียวอีกด้วย
ต่อจากนี้เล่า เขาจะรับประทานขนมบัวอันแสนอร่อยได้ที่ไหน ใครจะทำขนมบัวลอยให้เขารับประทาน ป้าหนิวท่านก็ตายจากเขาไปแล้ว คิดถึงตรงนี้ น้ำตาลูกผู้ชายไหลพรั่งพรูอย่างลืมตัว ไม่สามารถกลั้นความรู้สึกเอาไว้ได้
ตั้งแต่เล็กกระทั่งเติบโต ป้าหนิวทั้งรักทั้งทะนุถนอมตนดั่งแก้วตาดวงใจ ไม่มีคราวใดที่ป้าหนิวจะโกรธตนเลยแม้สักครั้งเดียว เขาเองรักและกตัญญูต่อป้าหนิวเช่นกัน
ครั้งนั้นเพื่อช่วยเหลือเขา ป้าหนิวถึงกับตัวเข้าเสี่ยงยอมตาย ภาพวันที่ป้าหนิวมารดาบุญธรรม จ้องมองเขาด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ก่อนสิ้นใจ ภาพนั้นยังฝังแน่นตราตรึง อยู่ในความทรงจำของจ่านจือ
เมื่อนึกถึงภาพนั้นขึ้นมา ผนวกกับเรื่องราวที่สองดรณีกล่าวถาม คล้ายดั่งทำนบเขื่อนพังทลายลง น้ำตาพรั่งพรูอย่างไม่อายขายหน้า ดรุณีทั้งสองนางเหลียวมองหน้ากัน ต่างอธิบายความรู้สึกออกมามิได้ กับภาพตรงหน้าเช่นกัน
ทั้งซื่อเหมี่ยน และเอวี้ยอี้เซิน ต่างรู้สึกรันทดหดหู่ไม่น้อยกับภาพตรงหน้า อดสะทกสะท้านสะเทือนใจมิได้ บุรุษหนุ่มตรงหน้านางทั้งสอง ร่างกายแข็งแรงกำยำ กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นโดยมิได้เสเสร้ง น้ำตานองหน้าน้ำมูกเนืองนองสองข้างแก้ม เอวี้ยอี้เซินจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง สีขาวสะอาดตาในแขนเสื้อ ยื่นส่งให้พร้อมกล่าวว่า
“สหายน้อย เจ้าอย่าได้เศร้าโศกเสียใจไป หากข้าและศิษย์พี่ กล่าวอะไรผิดไปไม่ถูกต้อง เจ้าอย่าได้ถือสาหาความ หากเจ้ามีเรื่องราวไม่สบายใจ กระทั่งมิอาจระบายให้กับผู้ใดได้ เจ้าบอกเล่าให้ข้ากับศิษย์พี่ฟังก็ได้ เผื่อบางทีข้ากับศิษย์พี่ อาจจะช่วยเหลือเจ้าได้บ้างก็ได้”
จ่านจือ รับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา เช็ดน้ำมูก พลางเล่าให้สองดรุณีทั้งสองฟังว่า
“ข้าพเจ้า ตัวคนเดียวลำพัง ตั้งแต่เด็กมีเพียงมารดาบุญธรรมชุบเลี้ยง ท่านเปรียบเสมือนญาติสนิทเพียงผู้เดียว ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในขณะนั้น ตอนนี้ท่านมาตายจากข้าพเจ้าไป ตายไปด้วยน้ำมือคนชั่วช้าสามานย์สามคน”
เมื่อเช็ดน้ำตาน้ำมูกอีกครั้ง จ่านจือส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“หลังจากนั้นข้าพเจ้า ได้รับการช่วยเหลือจากเฮียม่วยคู่หนึ่ง คนทั้งสองนั้นดียิ่งกับข้าพเจ้า พวกเขานำข้าพเจ้าไปฝากกับอาวุโสท่านหนึ่ง”
จ่านจือมีสีหน้าดีขึ้น หลังจากได้ร้องให้ระบายความเศร้าโศกออกมา กล่าวต่อว่า
“ยามนี้ ข้าพเจ้าเพิ่งมีโอกาสกลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง ดังนั้นจึงคิดจะแวะไปเคารพหลุมศพมารดา ที่หมู่บ้านเย้ยอรุณสักครั้ง เพื่อแสดงถึงความกตัญญู ไม่แน่นักในวันหน้า ข้าพเจ้าจะมีโอกาสกลับมาอีก?”
จ่านจือ ไม่ได้เล่ารายละเอียด ว่าเขาไปอยู่หุบเขาสายรุ้ง เพื่อฝึกวิชาฝ่ามือแต่ประการใด บอกแต่เพียงว่า เขาได้รับความช่วยเหลือ จากเฮียม่วยคู่หนึ่ง นำเขาไปฝากไว้กับอาวุโสท่านหนึ่ง ยังแดนกังหนำเท่านั้นเอง
ซื่อเหมี่ยน ส่งเสียงกล่าวว่า
“สหายน้อย ชีวิตเจ้าช่างอาภัพนัก เจ้าอย่าได้โศกเศร้าเสียใจเกินไปเลย จงเข้มแข็งให้มากไว้”
ดรุณีทั้งสองนาง ต่างรู้สึกสงสารต่อโชคชะตาของจ่านจือยิ่งนัก ด้วยวัยของนางทั้งสอง นับไปแล้วยังมากกว่าจ่านจืออยู่สองสามปี นางทั้งสองเองกลับรู้สึกคล้ายเขาเป็นดั่งน้องชาย ของนางทั้งสองมิปาน ดรุณีนามซื่อเหมี่ยน จึงกล่าวขึ้นว่า
“สหายน้อย หากเจ้าไม่มีครอบครัวหลงเหลืออยู่ เราสองคนจะทำขนมบัวลอย ให้เจ้ารับประทานเอง เจ้าอย่าได้เสียใจไป แต่หากเจ้าอยากร้องให้ออกมา เพื่อระบายความอึดอัดกลัดกลุ้ม เจ้าจงร้องออกมาเถิด หลังจากได้ร้องไห้แล้ว เจ้าจะรู้สึกดีขึ้นเอง”
หลังจากหยุดร้องไห้แล้ว จ่านจือรู้สึกว่าเขาดีขึ้นจริง ๆ รู้สึกว่าสมองปลอดโปร่ง ความรู้สึกคล้ายมีก้อนใดจุกอยู่บริเวณหน้าอก บัดนี้คล้ายกับไม่รู้สึกเช่นนั้นแล้ว เขาพบว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น บัดนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตากับน้ำมูกของเขา จึงกล่าวกับดรุณีนามเอวี้ยอี้เซินว่า
“ขอบคุณแม่นางอี้เซิน ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ไว้ข้าพเจ้าจ่านจือซักทำความสะอาดแล้ว ข้าพเจ้าค่อยคืนให้กับแม่นาง ในภายหลังได้หรือไม่?”
เอวี้ยอี้เซิน นางส่ายหน้าเที่ยวหนึ่ง พร้อมกับกล่าววาจากับเขาว่า
“ไม่ต้องมอบคืนข้าหรอก ถือว่าข้าให้เจ้าเป็นของขวัญก็แล้วกัน ตอบแทนที่เจ้ายินยอมแบ่งพื้นที่หลับนอน ให้พวกเราทั้งสองพักแรมในศาลเจ้านี้ด้วย มิทราบว่าเจ้า รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
จ่านจือพยักหน้าตอบ กล่าวว่า
“ข้าพเจ้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
หลังจากผ่านการร้องไห้ คล้ายเป็นการระบายชนิดหนึ่ง ทำให้จ่านจือรู้สึกดีขึ้นมาก ดรุณีสองกลับมีอัธยาศัยดียิ่ง รักษามารยาทแต่ทว่าเป็นกันเอง มิถือเนื้อถือตัวแต่อย่างใด ท่าทีมีไมตรีที่ดีต่อเขาเสมือนกับเขาดุจญาติสนิทผู้หนึ่ง เอวี้ยอี้เซิน จึงกล่าวขึ้นบ้างว่า
“หากเจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว เราทั้งสองปลาบปลื้มยินดี ดังนั้นข้าจะเล่าตำนาน เกี่ยวกับเทศกาลสาทรง่วนเซียว ให้เจ้าฟังสักเรื่องหนึ่งเจ้าต้องการฟังหรือไม่?”
จ่านจือพยักหน้าตอบ พร้อมกล่าวว่า
“ดี ๆ หากพวกท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง นับว่าวิเศษนักสำหรับผู้ด้อยความรู้เช่นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากฟังเป็นที่สุด ขอบคุณแม่นางทั้งสองที่เสียเวลา”
เอวี้ยอี้เซิน ส่งเสียงกล่าวว่า
“มิเป็นการเสียเวลา เจ้ามิต้องเกรงอกเกรงใจไป พวกเราสองคนเต็มใจบอกเล่าให้เจ้าฟัง”
ซื่อเหมี่ยน ได้ยินจ่านจือเรียกหานาง และศิษย์น้องของนางว่า แม่นางกระทั่งติดปากไปแล้ว จึงคิดว่าเขานั้นไร้ญาติขาดมิตร หากให้เขาเรียกหานาง กับศิษย์น้องว่าพี่สาว ไม่แน่นักอาจทำให้เขารู้สึกดีขึ้น ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างเท่าใดนัก จึงกล่าวว่า
“เจ้าอย่าได้เรียกหาข้าสองคน ว่าแม่นางอยู่เลย ต่อไปเจ้าเรียกเราสองคนว่าพี่สาวจะดีหรือไม่? หากเจ้ามิรังเกียจพี่สาวสองคน พวกเราต้องการให้เจ้าเรียกหาเช่นนั้น ข้าว่าจะดูสนิทสนมเป็นกันเอง ดีกว่าเรียกแม่นางเช่นนั้นแม่นางเช่นนี้ เจ้าว่าดีหรือไม่เซียวจือ”
จ่านจือ รู้สึกยินดียิ่งนัก ที่ดรุณีทั้งสองอนุญาตให้ตนเรียกหาว่าพี่สาว รีบกล่าวกับพี่สาวทั้งสองว่า
“ข้าพเจ้าจ่านจือ เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ หากมีวาสนาได้รับความเมตตาจากพี่สาวทั้งสอง นับว่าเป็นของขวัญอันมีค่ายิ่งของข้าพเจ้าแล้ว เช่นนั้นต่อไป ข้าพเจ้าขอเรียกหาท่านทั้งสองว่าพี่สาวก็แล้วกัน”
ดรุณีสองนาง หันมองหน้ากัน อดที่จะอมยิ้มออกมามิได้กับคำพูดที่มิได้เสแสร้งของจ่านจือ จากนั้นนางทั้งสอง ต่างผลัดกันเล่าตำนาน เกี่ยวกับเทศกาลสารทง่วนเซียวให้เขาฟัง ตำนานมีอยู่ว่า
ตำนานที่เกี่ยวกับเสนาบดี ผู้เปี่ยมด้วยปัญญา และความกรุณา กับหญิงสาวยอดกตัญญู ในสมัยกษัตริย์อู๋ตี้ ของราชวงศ์ฮั่น ในเมืองหลวงฉางอัน ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ในช่วงใกล้วันตรุษจีน
ขณะที่เสนาบดีนามตงฟางซั่ว กำลังเดินชมดอกเหมยในอุทยาน ได้พบพานนางกำนัลผู้หนึ่ง กำลังจะกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย จึงได้ขัดขวาง และขอทราบถึงสาเหตุ นางจึงได้เล่าความทุกข์ให้ฟังว่า นางชื่อหยวนเซียว ถูกส่งเข้ามาอยู่ในวังตั้งแต่เยาว์วัย และขาดการติดต่อจากครอบครัว
เมื่อถึงยามตรุษเช่นนี้ จึงคิดถึงพ่อแม่พี่น้อง ที่เคยร่วมกันรับประทานอาหาร ในวันตรุษจีนอย่างอบอุ่น และมีความสุข อีกทั้งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอกตัญญู จึงตั้งใจจะฆ่าตัวตายหนีความทุกข์
เสนาบดีตงฟางซั่ว จึงปลอบใจ และให้สัญญาว่า จะทำให้นางได้พบกับครอบครัว ในวันเพ็ญสิบห้าค่ำเดือนอ้าย วันสารทที่สอง จากนั้นตงฟางซั่ว จึงได้กระจายข่าวลือไปทั่วเมืองหลวงว่า เมืองฉางอันมีเคราะห์ร้าย
จะถูกไฟเผาไหม้ทั้งเมือง ในคืนวันเพ็ญสิบห้าค่ำเดือนอ้าย แต่ก่อนจะถึงวันนั้น จะมีหญิงสาวสวมชุดแดง ขี่ลามาเตือนชาวเมืองก่อน จากนั้นได้เกณฑ์ชายชราไปรอต้อนรับ เมื่อชายชราไปพบนางชุดแดง ให้อ้อนวอนต่อนาง
นางจึงได้กล่าวต่อชายชราว่า เง็กเซียนฮ่องเต้ ต้องการเผาเมืองฉางอัน ให้ลุกไหม้แดงฉาน หากนางไม่เผาเมือง เง็กเซียนฮ่องเต้จะลงโทษนางได้ และฝากส่งสาส์นนี้ ให้แก่ฮ่องเต้อู๋ตี้ด้วย
เมื่อความไปถึงฮ่องเต้ พระองค์ทรงตกพระทัยมาก จึงมีราชโองการให้ตงฟางซั่ว สั่งการให้ขุนนางและประชาชนทุกครัวเรือนในนครฉางอัน จุดโคมไฟสีแดงทั่วทั้งเมือง และให้ชาวบ้านถือโคมแดง ออกมาเดินตามท้องถนน ในคืนสิบห้าค่ำเดือนอ้ายโดยพร้อมเพรียงกัน ให้แสงไฟสีแดงสว่างไสวทั่วทั้งเมือง พร้อมให้มีการจุดประทัด และดอกไม้ไฟอย่างอึกทึก เพื่อลวงเง็กเซียนฮ่องเต้ ว่าไฟกำลังลุกไหม้นครฉางอันอย่างรุนแรง
ตงฟางซั่ว จึงได้จัดให้นางหยวนเซียว อยู่ในกลุ่มผู้ที่เดินถือโคมแดงเดินนำชาวบ้าน และให้โอกาสนางได้เดินทางกลับบ้าน เพื่อทำขนมทังถวน(บัวลอย) และรับประทานร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข จากเหตุการณ์ครั้งนั้น สำนักพระราชวัง จึงได้ยึดถือเป็นงานประเพณีต่อเนื่อง กันมาตราบจนทุกวันนี้
เล่าถึงตอนนี้ สองดรุณีหันมาจึงพบว่า จ่านจือกำลังหลับใหลไปพอดี ดังนั้นนางทั้งสอง จึงชักชวนกันไปอีกฟากหนึ่งของศาลเจ้า เอนกายลงนอนเคียงข้างกัน บนหญ้าแห้งกองหนึ่ง เมื่อทั้งสองหลับใหลไปเพียงครู่เดียว นอกศาลเจ้าร้างแห่งนี้ มีเงาร่างสายหนึ่ง เพิ่งสาดทะยานผ่านหน้าศาลเจ้าไป ด้วยระดับความเร็วดุจวิญญาณภูตพรายตนหนึ่ง
หมู่ตึกกระเรียนฟ้า
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปกี่ยามแล้ว แต่ทว่าเงาร่างสายนั้น พุ่งร่างมุ่งตรงสู่หมู่ตึกกระเรียนฟ้าของหลิวซุ่นกงกง คืนนี้ภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า หลิวกงกงมิได้อยู่ในตัวตึก เนื่องจากเดินทางไปวัดเส้าหลินได้สองวันแล้ว ในตัวตึกคงมีแต่ยอดฝีมือของหลิวกงกง และมือดีอีกมากมายหลายคน
หลิวซุ่นกงกง ไปเส้าหลินครานี้โดยลำพัง คล้ายกับไปหารือเรื่องราวหนึ่งที่ไม่อยากเปิดเผย คาดเดาว่าอาจเกี่ยวข้องกับการชุมนุมชาวยุทธ์ ซึ่งกำลังใกล้มาถึงนั่นเอง ดังนั้นก่อนออกเดินทาง หลิวซุ่นกงกงจึงมีคำสั่ง กำชับให้ทุกฝ่ายจัดเวรยามอย่างแน่นหนา ทุกครึ่งชั่วยามจะต้องออกตรวจตราทุกซอกมุมของตัวตึก
หัวหน้าตึกทั้งสี่ได้แก่ หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย หัวหน้าตึกเมฆาฉีฝ่าน หัวหน้าตึกอินทรีต้าถง และหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวน ทั้งสี่ประจำอยู่ในแต่ละตึก นอกจากนั้น ในแต่ละตึกยังมีสมุนมือดีอีกตึกละสิบกว่าคน ส่วนตึกที่อยู่ตรงกลางมีชื่อว่าเทพปักษา หลิวซุ่นกงกงมอบหมายให้ต๊กม้อเต็กไต้ซือ กับเล่อต้าเต๋อ พร้อมด้วยเสิ่นซื่อสูอวี้รับผิดชอบ
ส่วนด้านหน้าตึกจัดเวรยามไว้อีกสิบคน แยกย้ายกันยืนประจำจุด จุดละสองคนด้วยกัน ด้านหลังตึกซึ่งเป็นสวนอุทยานมีต้นไม้นานาพันธุ์ ดอกไม้งดงามหลากสีสัน ทางเดินที่อยู่ด้านหลัง สร้างเป็นพื้นหินอ่อนสีเข้ม ตัดผ่านกลางสวนยาวไปถึงเก๋งรูปแปดเหลี่ยม ซึ่งปลูกสร้างอยู่กลางสระน้ำ อันเต็มไปด้วยกอบัวที่กำลังออกดอก โผล่พ้นผิวน้ำอยู่เรียงราย ทั้งดอกสีขาวสีแดงส่งกลิ่นหอมเย็นรวยริน
เหนือผิวน้ำปกคลุมด้วยละอองไอน้ำสีขาว ที่รวมตัวระเหยขึ้นสู่ชั้นอากาศ รอบ ๆ ขอบสระปลูกต้นหลิวเป็นทิวแถวดูร่มรื่น บางกิ่งใบทิ้งตัวย้อยลงสู่ผิวน้ำอันใสสะอาด ถัดมาเป็นกำแพงศิลาสูงราวสิบกว่าวา
ด้านหลังจัดเวรยามไว้ถึงสามสิบคน กระจายกันอยู่ทั่วทุกจุด ผู้ที่ดูแลด้านหลังได้แก่เทวทูตซ้ายขวา เจียฮุยกับเจียจิ้ง ส่วนบริวารและเด็กรับใช้ ต่างแยกย้ายอยู่ตามห้องหอของตนเอง
คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ขึ้นหนึ่งค่ำเดือนสิบสอง บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดวังเวง มีเพียงสายลมพัดเบาบาง โคมไฟสีแดงหลายดวง ที่จุดไว้ตามมุมตึกแกว่งไกวไปมาช้า ๆ ครั้งกระโน้น ตั้งแต่หมู่ตึกกระเรียนฟ้า มีคนตายเมื่อครั้งงานอวยพรหลิวซุ่นกงกง ทุกค่ำคืนจะจัดเวรยามไว้อย่างรัดกุม ที่ผ่านมาไร้เรื่องราวรบกวน
ร่างนั้นเมื่อทะยานจวบจนใกล้หมู่ตึกกระเรียนฟ้า ชะลอฝีเท้าลง จากนั้นอ้อมเลียบกำแพงสูงมาทางด้านหลัง ซึ่งเป็นสวนอุทยาน เมื่อมาถึงด้านหลังแนบใบหูกับกำแพง ฟังเสียงภายในว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีเสียงใด ร่างนั้นกระโดดคราเดียว แล้วทิ้งตัวลงบนกำแพงสูงสิบกว่าวา ตำแหน่งที่ทิ้งตัวปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ผู้ที่มาอยู่ในอาภรณ์สีครามเข้ม ใช้ผ้าปิดใบหน้ามิดชิด ตั้งแต่กลางจมูกลงมา มิได้พกพากระบี่อาวุธ ขณะที่ซุ่มอยู่บนกำแพง มีเวรยามถือคบไฟเดินตรงมาห้าคน คนทั้งห้ามือถือกระบี่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เมื่อคนทั้งห้าเดินเข้ามาใกล้ห่างไม่ถึงสิบวา จากแสงสว่างของคบไฟส่องกระทบร่างของคนปิดหน้า คนปิดหน้าเองกลับมิได้หลบหนี หรือหลบซ่อนกายแต่อย่างใด
เมื่อทั้งห้าคนแหงนหน้าขึ้นไป เห็นคนปิดหน้าอยู่บนกำแพง รู้ทันทีว่าเป็นคนร้าย ต่างขยับอาวุธในมือ พร้อมกับขยับริมฝีปากส่งเสียงบอกคนอื่น ๆ ว่ามีคนร้าย แต่ยังมิทันได้เปล่งเสียงออกมา คนปิดหน้าบนกำแพงทิ้งตัวลงมาจากบนกำแพง พร้อมกับแขนซ้ายเหยียดตรงออก มือคว่ำลงนิ้วทั้งห้าแนบชิดติดกัน จากนั้นสะบัดฝ่ามือเพียงเล็กน้อย แทบมองไม่เห็นการเคลื่อนไหว บังเกิดเป็นพลังไร้สภาพกลุ่มหนึ่ง แยกย้ายเป็นห้าสายใส่ตำแหน่งคนทั้งห้า
ร่างคนผู้นั้นยังไม่ทันบรรลุถึงพื้นเบื้องล่าง ทั้งห้าคนต่างยืนแข็งทื่อมิเคลื่อนไหวแล้ว คนผู้นั้นเมื่อเท้าแตะพื้นวิ่งเข้าหาตัวตึกด้านใน ดูฝีเท้าแผ่วเบาไร้น้ำหนัก วิชาตัวเบาสูงเยี่ยมยากพบพาน เวรยามทั้งห้าคนต่างถูกจี้สกัดจุดโดยมิได้สัมผัสต้องร่าง ความรวดเร็วของพลังฝีมือที่ใช้ แทบไม่ทันกระพริบตาด้วยซ้ำ
เมื่อวิ่งตะบึงมายี่สิบกว่าวา ปรากฏมือดีพุ่งตรงมาอีกสี่คน สองคนหน้าคือเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ทั้งสองดึงกระบองเหล็กอาวุธประจำกายจากกลางหลังถือไว้มั่น พุ่งตรงเข้าหาคนผู้นั้นด้วยความเร็วดุจม้าป่า ส่วนอีกสองคนถือคบไฟด้วยมือซ้าย มือขวาถือดาบยาวติดตามมาทิ้งระยะห่างพอสมควร พร้อมกันนั้นยังมีอีกคนหนึ่งเมื่อเห็นมีคนบุกรุกเข้ามา รีบวิ่งเข้าไปในตัวตึกเพื่อแจ้งต่อคนอื่น ๆ
เทวทูตซายขวาเจียฮุยและเจียจิ้ง ทะยานลิ่วพร้อมเกร็งลมปราณห่างไม่ถึงสามก้าว แต่ก่อนที่ทั้งสองจะบรรลุถึง คนผู้นั้นพลันกระโดดตีลังกาข้ามศีรษะสองเทวทูตซ้ายขวาไป พอร่างตกลงเกือบถึงพื้นกลับเตะเท้าหยิบยืมพลัง ตีลังกาอีกทอดหนึ่งข้ามศีรษะของสองคนที่ถือคบไฟเข้ามา ท่วงท่าที่ใช้รวดเร็วสุดบรรยาย ยากนักจะได้พบในยุทธภพ เมื่อคนผู้นั้นทิ้งร่างสู่พื้นห่างออกไปสองก้าว ทั้งสี่คนต่างถูกจี้สกัดจุด มิเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับห้าคนแรก
เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง นับว่ามีพลังฝีมือสูงเยี่ยม ยังถูกสกัดจุดโดยมิทันลงมือ แถมคนที่จี้สกัดจุดมิได้แตะเนื้อต้องตัวด้วยซ้ำ นับว่าเป็นวิชาจี้จุดที่ร้ายกาจพิสดารนัก เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ยังมิทันรู้ว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้นกับตนเอง มันทั้งสองขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมิได้แล้ว ต่างคับแค้นแน่นอกสุดทนทาน แต่ทว่าไม่สามารถทำเยี่ยงไรได้ นี่เป็นคำรบสองแล้ว ที่มันทั้งสองคนถูกสยบโดยมิทันได้ลงมือ
ครั้งแรกพวกมันถูกเหยาเยี่ยนผิง ซึ่งตอนนั้นปลอมเป็นบุรุษสำอาง เข้าขัดขวางการสังหารจ่านจือของพวกมัน ทั้งยังถูกล่วงเกินด้วยวาจาของเด็กรุ่นหลัง แค่นั้นยังไม่พอ พวกมันทั้งสองพ่ายแพ้ในสองกระบวนท่า ให้กับเด็กทารกเช่นเหยาเยี่ยนผิง ทำให้ครั้งนั้นมันทั้งสองมิกล้าปริปาก บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ผู้ใดได้รับรู้
มาครั้งนี้พวกมันทั้งสองยังมิทันได้ลงมือ กลับถูกสยบไว้อีกครั้ง ทำเอาเดือดดาลเป็นการใหญ่ ได้แต่กลอกกลิ้งดวงตาไปมา ในใจต่างคิดตรงกันว่า จะสับคนผู้มาให้ละเอียดเป็นหมื่นชิ้นให้จงได้
คนผู้นั้นยังมิทันได้บรรลุถึงตัวตึก หัวหน้าตึกทั้งสี่ อีกทั้งต๊กม้อเต็กไต้ซือ พร้อมด้วยเล่อต้าเต๋อ อีกทั้งเสิ่นซื่อสูอวี้ ต่างมุ่งตรงมาพอดี ทั้งหมดล้วนเป็นมือดีวิทยายุทธ์สูงเยี่ยม ต๊กม้อเต็กไต้ซือถือว่ายอดเยี่ยมที่สุด นับว่าครานี้ ผู้ที่บุกรุกคงเจอคู่ต่อสู้ที่ยากรับมือแล้ว
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564