ตอนที่ 10
เส้นทางจอมยุทธ์
วันเวลาค่อย ๆ คืบคลานผ่านไปช้า ๆ จากหนึ่งวัน ผันผ่านเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนเคลื่อนคล้อยไปเป็นปี ยุทธภพยังคงเกิดเรื่องราวมากมายให้สะสาง มิว่ากลางวันหรือกลางคืน ล้วนดาษดื่นไปด้วยเรื่องราวดีร้ายคละเคล้าปนเป แต่ทว่าภายในหุบเขาสายรุ้ง กลับเงียบสงบราวมิมีผู้ใดอาศัยอยู่ภายในหุบเขาฉะนั้น นับไปล่วงเลยมาเป็นเวลาห้าปีแล้ว ซึ่งจ่านจืออาศัยอยู่ที่นี่ ห้าปีที่ผ่านไปเขาตั้งใจฝึกวิชาท่าร่างไม่ว่างเว้น เช้าสายบ่ายเย็นเห็นเขาออกกระบวนท่าตลอดเวลาก็ว่าได้
ในยามนี้ จ่านจือไม่เหมือนคนก่อนอีกแล้ว บัดนี้บุคลิกภาพสง่างามเป็นคนฝึกยุทธ์ ตัวเขาเองยังมีความรู้สึกว่า เวลาก้าวเดินยกมือวางเท้ารู้สึกสบาย ปลอดโปร่งอย่างบอกมิถูก ไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าแม้แต่น้อย
นอกเหนือจากนั้น สายตายังมีปฏิกิริยารวดเร็วยิ่ง สายตาของเขาปราดเปรียว อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้เพียงแมลงตัวน้อยนิด บินผ่านไปด้วยระดับความเร็ว ทว่าจ่านจือกลับมองเห็นว่า แมลงเหล่านั้นช่างบินเชื่องช้าอืดอาดเสียยิ่งนัก แทบจะเห็นทุกอิริยาบถของการขยับปีก หรือเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของแมลงเหล่านั้นได้โดยละเอียดมิตกหล่น ก่อนหน้านั้น จ่านจือมิอาจกระทำได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งเช่นบัดนี้
นอกจากสายตาปราดเปรียวเหนือธรรมดาแล้ว โสตประสาทสัมผัสของเขา ยังมีความก้าวหน้าเหนือคนธรรมดาทั่วไป แม้เพียงเข็มเล่มเล็ก ๆ ร่วงหล่นตกพื้น ยังมิอาจหลุดพ้นโสตของจ่านจือไปได้ แม้กระทั่งยามนอนหลับใหล หากมีสิ่งผิดปกติเคลื่อนไหว ยังมิอาจหลุดรอดโสตสัมผัสการรับรู้ของเขาไปได้ จ่านจือยินดียิ่งนัก
ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกว่านี่เป็นความก้าวหน้าของผู้ฝึกยุทธ์ หากปรับพื้นฐานจนแข็งแกร่งแล้ว ท่านจะสอนเคล็ดวิชากำลังภายในให้ตามลำดับ แต่สำหรับกับจ่านจือแล้ว เขากลับคิดว่า เพียงเท่านี้ล้วนพึงพอใจแล้วสำหรับเขา
จ่านจือพึงพอใจกับชีวิตในหุบเขาสายรุ้งเป็นที่สุด ไม่ต้องออกไปพบหน้าผู้คน วัน ๆ หากไม่ออกไปหาตัวยาสมุนไพร ไม่ก็ช่วยท่านเจ้าโอสถสายรุ้งปรุงยา ว่าง ๆ ยังฝึกปรือฝีมือเพิ่มความแคล่วคล่อง หวนระลึกนึกถึงป้าหนิวแม่บุญธรรมขึ้นมามิได้ หากท่านยังอยู่ ป่านนี้ท่านคงทำกับข้าวอร่อย ๆ พร้อมกับน้ำแกงร้อน ๆ ให้จ่านจือรับประทาน
ผาแห่งสายลม
อีกสถานที่หนึ่งของบู๊ลิ้มอันเร้นลับ เมฆคล้อยลอยเคลื่อนละลิ่วเป็นกลุ่มก้อน บ้างเป็นสีขาวนวลใยสบายตา บ้างสีหม่นคล้ำกระทั่งเกือบจะกลายเป็นสีดำ กลุ่มเมฆน้อยใหญ่ ในบางครั้งลอยต่ำ บางคราลอยละลิ่วขึ้นสู่เบื้องสูง บางคราวถูกสายลมพัดลอยเข้าปะทะยังหน้าผาดังครืนครั่น ผาแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่สูงปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบแทบไม่เห็นยอดเขา จะมีผู้ใดเล่าคาดคิดว่า ยอดผาสูงเทียมฟ้าแห่งนี้ ยังจะมีผู้คนอาศัยอยู่ได้ฉะนั้น
ผาเทียมฟ้าสูงชันดั้นเมฆแห่งนี้ ถูกเรียกหาว่า “ผาแห่งสายลม” ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ถึงความดำรงคงอยู่ของผาเร้นลับแห่งนี้ บนหน้าผาสูงชันมีที่ราบ ปลูกบ้านเรือนอยู่จำนวนยี่สิบกว่าหลัง มีผู้คนอาศัยอยู่ด้วยกันประมาณสี่สิบกว่าคน ผู้คนที่อาศัยอยู่บนผาแห่งนี้ ยังมิมีผู้ใดได้ลงจากผาแม้แต่คราเดียว ยกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าผาเสียก่อน จะมีเพียงสองคนที่ได้รับมอบหมายให้ลงจากเขา นั้นคือเฟิ่นมู่เหอ กับเฟิ่นไป่ชิงนั้นเอง
วันนี้ท่านเจ้าผาเรียกหาทั้งสอง เข้าพบแต่เช้าตรู่ หลังจากสองเฮียม่วย มู่เหอและไป่ชิง รับประทานอาหารเช้าเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงรีบตรงไปพบท่านเจ้าผาโดยไม่ชักช้าอิดออด
“พี่ชาย ท่านเจ้าผาเรียกหาเราเฮียม่วยแต่เช้า ไม่แน่นักว่าจะมีธุระสำคัญอันใด พี่ชายพอจะทราบอยู่บ้างหรือไม่?”
นางส่งเสียงกล่าวรบเร้า เอ่ยถามพี่ชายของนางตามประสา ตั้งแต่เล็ก ไป่ชิงชอบเล่นสนุกซุกซนไม่อยู่นิ่ง ที่สำคัญนางเป็นคนช่างเจรจาหากต้องการทราบสิ่งใด หากยังมิได้คำตอบพี่พึงพอใจ นางจะรบเร้าซักถามเช่นนั้นอยู่ร่ำไป
“พี่ชายคิดว่าท่านเจ้าผา เรียกหาเราสองเฮียม่วย คงต้องการสอบถามเรื่องราว ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับยุทธภพภายนอก ที่เราทั้งสองเฮียม่วยได้พบเห็นมา เหลือระยะเวลาอีกเพียงหกเดือน จะครบกำหนดวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินแล้ว”
เฟิ่นมู่เหอกล่าวตามความคิดเห็นออกไป เพราะท่านเจ้าผาเก็บตัวฝึกวิชามาสิบห้าปีแล้ว โดยที่ท่านไม่เคยก้าวย่าง ลงจากผาแห่งนี้เลยแม้แต่ก้าวเดียว ครั้งนี้พอใกล้วันชุมนุมชาวยุทธ์ ดูท่านกลับให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“แล้วพี่ชายคิดว่าท่านเจ้าผา ท่านจะไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินในครั้งนี้ด้วยหรือไม่? หากท่านเดินทางไปล้วนวิเศษยิ่ง หากทว่าพบหน้าแม่ชีนิรนามนางนั้น ข้าพเจ้าจะให้ท่านเจ้าผาของพวกเรา สั่งสอนนางชีนิรนามนางนั้นเสียให้เข็ดหลาบ”
เฟิ่นไป่ชิงกล่าวพลางทำน้ำเสียงขึ้นจมูก เฟิ่นมู่เหอมิต้องการแสดงความคิดเห็นในเรื่องราวเหล่านี้ เพราะเขาเองยังมิอาจคาดเดาความคิดของท่านเจ้าผาได้เช่นกัน แต่หากจะให้คาดเดาเอาตามความคิดของเขา เฟิ่นมู่เหอมีความเห็นว่า ท่านเจ้าผาดูกระตือรือร้นอีกทั้งให้ความสนใจ ในงานชุมนุมที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นจึงตอบคำถามไป่ชิงไปว่า
“พี่ชายคิดเห็นว่า เราสองเฮียม่วย รอท่านเจ้าผาให้คำตอบจากปากท่านเอง สมควรมิผิดพลาดเป็นเด็ดขาด พี่ชายเองยังมิกล้าคาดเดาเอาเอง เราทั้งสองเดินมานี่ใกล้จะถึงที่พักของท่านเจ้าผาแล้ว หยุดกล่าววาจาไว้ แล้วรีบเข้าพบท่านเจ้าผายังด้านในกันเถิด”
กล่าวพลางทั้งสองรีบก้าวเข้าไปด้านใน เมื่อก้าวเข้ามามองเห็นด้านในนั่งอยู่ด้วยผู้คนสิบกว่าคน ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางรูปร่างไม่สูงไม่เตี้ยมากนัก ค่อนข้างท้วมนิดๆ สวมชุดประจำเผ่าที่ตัดเย็บขึ้นเป็นพิเศษ ตั้งแต่จำความได้ ทั้งสองก็แต่งชุดประจำเผ่ามากระทั่งบัดนี้ ท่านเจ้าผาบอกว่าเพื่อป้องกันสายตาชาวยุทธ์ เลยแต่งชุดชาวเผ่าจะได้ไม่เป็นที่สังเกตเห็นว่าพวกเรา เป็นชาวยุทธจักรนั้นเอง
ส่วนคนอื่น ๆ ยืนเป็นแถวตอนสองแถวด้านหน้า เว้นช่องว่างระหว่างทางเดินไว้เป็นช่อง เมื่อเห็นทั้งสองมาถึงต่างขยับหลีกทางให้ก้าวย่างเข้าไป ทั้งสองตรงเข้าไปเห็นใบหน้าของท่านเจ้าผาในวันนี้ ท่านดูเปล่งปลั่งสดใสยิ่ง คล้ายกับว่ามีข่าวดีอันใดเกิดขึ้นกระนั้น ทั้งสองทำความเคารพท่านเจ้าผา พลางก้าวถอยมาด้านข้าง
“ข้าพเจ้ามู่เหอ คารวะท่านเจ้าผา”
มู่เหอกล่าวขึ้นก่อน หลังจากนั้นไปชิงกล่าวขึ้นบ้างว่า
“ข้าพเจ้าไป่ชิง คารวะท่านเจ้าผาเช่นกัน”
หลังจากยืนโดยสำรวมเรียบร้อยแล้ว มู่เหอกล่าวกับท่านเจ้าผาแห่งสายลมว่า
“ท่านเจ้าผาเรียกหาเราสองเฮียม่วย มีอันใดเรียกใช้ให้ไปกระทำหรือไม่?”
ชายร่างท้วมอายุราวหกสิบเจ็ดสิบปี สวมชุดคล้ายชาวเผ่าศีรษะโพกผ้าสีหม่น ใบหน้าแม้ดูราบเรียบไร้เรื่องราว แต่กลับแฝงไปด้วยความสุขสดใส ท่านเป็นเจ้าผาแห่งสายลมนี้ เมื่อได้ยินมู่เหอกล่าวถาม ขยับร่างพลางส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“เหมาต้า รีบยกเข้ามา”
กล่าวจบคนที่ถูกเรียกหาว่าเหมาต้า ก้าวย่างเข้ามาพร้อมกับยกถาดน้ำชาเข้ามากาหนึ่ง พร้อมกับจอกน้ำชาอีกสี่ใบ ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล พร้อมกับควันโชยกรุ่นโขมง ชาที่ใช้ชงล้วนเป็นชาที่ปลูกขึ้นเองภายในผาแห่งสายลมแห่งนี้ อาจเพราะอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้ชามีคุณภาพดี มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ ท่านเจ้าผาโปรดปรานการดื่มชายิ่งนัก
เหมาต้าเป็นผู้ช่วยอันเข้มแข็งของเจ้าผา เรียกว่าเป็นมือขวานับว่ามิผิดนัก ท่านเจ้าผาถ่ายทอดเพลงยุทธ์ให้แก่เหมาต้าชุดหนึ่ง ฝีมือกล้าแข็งห้าวหาญอายุราวสี่สิบปีเศษ เมื่อเหมาต้ายกน้ำชาเข้ามาแล้ว อีกไม่นานเท่าใดนัก คนอื่น ๆ ที่หลงเหลือต่างทยอยเข้ามา ทำให้ไป่ชิงเพิ่มพูนความสงสัยเป็นทวีคูณ เช้านี้ที่ท่านเจ้าผาเรียกตน กับพี่ชายเข้าพบต้องมีเรื่องราวใด เป็นพิเศษอย่างแน่นอน
เมื่อทุกคนภายในผาแห่งสายลมแห่งนี้ ทยอยเข้ามาภายในหมดสิ้นแล้ว เจ้าผาแห่งสายลม จึงเรียกคนทั้งสาม อันได้แก่เหมาต้า เฟิ่นมู่เหอ และเฟิ่นไปชิง ออกมายังด้านหน้าคนอื่น ๆ แล้วกล่าวกับคนทั้งสามว่า
“เหมาต้า มู่เหอ เจ้าด้วยไป่ชิง รีบคุกเข่าลง”
ในตอนแรกไป่ชิงอดตกใจเล็กน้อยมิได้ ท่านเจ้าผาสั่งให้ทั้งสามคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้า อีกทั้งยังมีคนอื่น ๆ ในผาเข้ามาร่วมด้วยครบทุกผู้คน เกรงว่าท่านเจ้าผาแห่งสายลม จะลงโทษพวกตนสามคน แต่เมื่อพยายามนึก พลันนึกไม่ออกว่าได้กระทำความผิดอันใด เหมาต้า กับเฟิ่นมู่เหอ รีบคุกเข่าลงตรงหน้าท่านเจ้าผาแห่งสายลม ส่วนไป่ชิงยังคงยืนกระทำสิ่งไม่ถูก เฟิ่นมู่เหอเลยส่งเสียงเรียกไป่ชิงเบา ๆ พร้อมกับดึงแขนของไป่ชิงให้รีบคุกเข่าลง เมื่อทั้งสามคุกเข่าเรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าผาแห่งสายลมจึงกล่าวต่อว่า
“วันนี้เราเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า ที่ผ่านมาเจ้าทั้งสามคน ต่างช่วยงานเราได้เป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เราต้องหนักใจ ที่สำคัญพวกเจ้าทั้งสามต่างรักใคร่กลมเกลียวดียิ่ง ร่วมกันทำงานในผาแห่งนี้ ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดบกพร่อง ตัวเราเองแม้ถ่ายทอดวรยุทธ์ให้พวกเจ้าทั้งสาม แต่ไม่เคยเรียกหาในฐานะศิษย์อาจารย์ ดังนั้นวันนี้ เราจึงให้เหมาต้า ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ที่สุดในบรรดาพวกเจ้าทั้งสามเตรียมน้ำชามา เพื่อที่เราจะรับพวกเจ้าทั้งสามเป็นศิษย์ของเรา อย่างถูกต้องตามประเพณีการปฏิบัติ”
ทั้งสามได้ยินท่านเจ้าผากล่าววาจาเช่นนั้น ล้วนทราบว่าท่านเจ้าผา ยอมรับพวกตนทั้งสามเป็นศิษย์ของท่านอย่างถูกต้อง ต่างยินดีจนพูดกระไรไม่ออก เหมาต้ารีบรินน้ำชาใส่จอกน้ำชาทั้งสี่ใบ พร้อมกับส่งให้กับท่านเจ้าผาแห่งสายลมก่อนเป็นอันดับแรก มู่เหอและไป่ชิง รับจอกน้ำชาซึ่งเหมาต้ายื่นส่งให้ ทั้งสามคนยกน้ำชาคารวะต่อหน้าท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย โดยพร้อมเพรียงกัน
ท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย หัวร่อชอบอกชอบใจอย่างมีความสุข ร้องดัง ๆ ว่า
“ดื่ม”
ทั้งหมดยกจอกน้ำชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอกพร้อมกัน เมื่อวางจอกน้ำชาแล้ว ทั้งสามต่างโขกศีรษะกับพื้นแปดครั้งโดยพร้อมเพรียง เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย แสดงสีหน้าปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด คนอื่น ๆ ที่เข้ามาต่างส่งเสียงแสดงความยินดีกับทั้งสาม ส่งเสียงโห่ร้องจนกึกก้อง เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย หัวร่อและกล่าวว่า
“ดี ๆ ต่อจากนี้พวกเจ้าทั้งสามเป็นศิษย์ของเราโดยถูกต้อง เหมาต้าเจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ มู่เหอเจ้าเป็นศิษย์พี่รอง ส่วนไป่ชิงเจ้าเป็นศิษย์น้องเล็ก เจ้าทั้งสามเมื่อเป็นศิษย์ของเราแล้ว ต้องรักใคร่สามัคคีกันให้ มาก ๆ มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน อย่าได้คิดแก่งแย่งชิงดีกัน ที่ผ่านมาเราไม่ให้พวกเจ้าเรียกหาเราว่าอาจารย์ เพราะเหตุใดนั้น เรามีเหตุผลประการหนึ่ง หลังจากนี้เราจะค่อย ๆ บอกเล่าให้พวกเจ้าได้รับทราบ”
ท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย สั่งให้คนอื่น ๆ ออกไปได้ คงเหลือไว้เพียงศิษย์ทั้งสาม ท่านเจ้าผาแห่งสายลมสั่งให้ทั้งสามนั่งลง พร้อมกับเล่าถึงสาเหตุ ว่าไฉนที่ผ่านมาท่านจึงไม่ยอมรับทั้งสามเป็นศิษย์ อีกทั้งยังสั่งห้ามมิให้ทั้งสาม เรียกท่านหาว่าอาจารย์อีกด้วย
ท่านเริ่มบอกเล่าเรื่องราวโดยคร่าว ๆ ว่า
“เมื่อหลายปีก่อน มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งไม่ขอเอ่ยนาม ท่านได้รับศิษย์ห้าคน ซึ่งในตอนนั้นท่านยังไม่ได้ก่อตั้งสำนักเป็นหลักแหล่ง ท่านออกเดินทางท่องยุทธภพไปทุกหนแห่ง พร้อมกับศิษย์ทั้งห้าของท่าน พร้อมกับอบรมสั่งสอน ถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ทั้งห้าไปด้วย ศิษย์ทั้งห้าต่างรักใคร่สามัคคี แต่ละคนล้วนฝึกวิชาชุดหนึ่งเรียกว่า ‘วิชาสี่ธาตุกำเนิดจักรวาล’”
สี่ธาตุแบ่งออกเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ปรมาจารย์ท่านนั้นได้บัญญัติวิชาชุดนี้ขึ้นมา โดยแยกย่อยออกเป็นห้าวิชาด้วยกัน พร้อมกับอาศัยจุดเด่นของธาตุทั้งสี่บัญญัติขึ้นเป็นสุดยอดวิชา ได้แก่ วิชาภูผาทะลวงใจ(ดิน) วิชาเก้าชโลทร(น้ำ) วิชาวายุกรีดนภา(ลม) วิชาฝ่ามืออัคคี(ไฟ) วิชาดาวดึงส์(จักรวาล)
ศิษย์ทั้งห้าคน ต่างแยกกันฝึกวิชาของตนจนสำเร็จ ในยุคนั้นชาวยุทธ์ต่างครั่นคร้ามต่อศิษย์ทั้งห้าของปรมาจารย์ท่านนี้ เพราะหากศิษย์ทั้งห้าพร้อมใจกันใช้วิชา ทั้งห้าคนโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อใช้ออกต่างเกื้อหนุนส่งเสริมแก่กันไร้ช่องโหว่ พลังทั้งห้าถ่ายทอดต่อเนื่องถึงกันมิยั้งหยุด เมื่อดินน้ำลมไฟหล่อหลอมรวมกัน ก่อเกิดเป็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล พลังที่ปล่อยออกมาจึงทั้งดุดันผันแปร แลแข็งกร้าวแห่งธาตุดิน อีกทั้งยังเผ็ดร้อนรุนแรงแห่งธาตุไฟ พร้อมทั้งยังแฝงความอ่อนหยุ่นเยือกเย็นแห่งธาตุน้ำ ทั้งยังพลิ้วไหวไม่สิ้นสุดด้วยธาตุลม
ปรมาจารย์ท่านนั้น ท่านภูมิใจในตัวศิษย์ทั้งห้าเป็นอย่างมาก แต่แล้วต่อมาศิษย์ทั้งห้าเกิดบาดหมางกันภายในสำนัก ด้วยสาเหตุใดไม่อยากเอ่ยถึง ในที่สุดความเป็นศิษย์ร่วมสำนักอาจารย์ต่างสิ้นสุดลง สุดท้ายศิษย์ทั้งห้าพากันเร้นกายจากยุทธภพ ส่วนปรมาจารย์ท่านนั้นมีอันหายสาบสูญไป
ดังนั้นที่ผ่านมา อาจารย์จึงไม่อยากรับศิษย์ เกรงว่าจะเป็นเหมือนปรมาจารย์ท่านนั้น ซึ่งท่านรับศิษย์แล้วเกิดเรื่องราวมากมาย จนมีคนล้มตายไปไม่น้อย ยุทธภพแทบลุกไหม้เป็นไฟ เมื่ออาจารย์รับเจ้าทั้งสามเป็นศิษย์แล้ว หวังว่าเจ้าทั้งสามจะรักใคร่กันดุจเฮียม่วยไม่ทอดทิ้งกัน ไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย อาจารย์ค่อยบอกเล่าให้พวกเจ้าฟังในภายหลัง”
กล่าวพลางท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินช้า ๆ พร้อมกับกล่าวว่า
“นับจากวันนี้ถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน ยังเหลือเวลาอีกเพียงหกเดือน จึงถือว่าเหลือเวลาไม่มากนัก ดังนั้นตั้งแต่วันนี้ อาจารย์จะเข้มงวดเจ้าทั้งสามให้ฝึกวิชาอย่างหนักหน่วง ในบู๊ลิ้มมีผู้ทักษะยุทธ์อยู่มากมาย แม้ว่าฝีมือของพวกเจ้าทั้งสามจะกล้าแกร่ง แต่ในยุทธภพมีเล่ห์เหลี่ยมมากมายให้ต้องระวัง ลำพังฝีมืออาจไม่เพียงพอ ดังนั้นตั้งแต่วันนี้พวกเจ้าทั้งสาม จงตั้งใจศึกษาวิชาฝ่ามือ รวมทั้งค่ายกล อาวุธลับเอาไว้ให้ดี”
ท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย สนทนาพลางเดินนำศิษย์ทั้งสามออกมายังเบื้องนอก ผาแห่งสายลมนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาอยู่ตลอดทั้งปี ดังนั้นทั้งวันคืนจะมีสายลมพัดผ่าน ยามสายลมปะทะกับหน้าผา บังเกิดเสียงดังหวีดหวิวครืน ๆ ตลอดเวลา เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย เดินนำหน้าศิษย์ทั้งสามไปยังสถานที่ด้านหลังของสถานที่ ซึ่งเป็นลานกว้างพื้นราบเรียบ กล่าวต่อว่า
“อาจารย์เองเก็บตัวอยู่บนผาแห่งนี้สิบห้าปี ไม่เคยย่างกรายเข้าสู่ยุทธภพแม้แต่คราเดียว ไม่แน่นักกลับไปในครั้งนี้ แม้แต่อาจารย์เอง อาจจะไม่อยู่ในสายตาของชาวยุทธ์ทั้งหลายแล้ว แต่ถึงเช่นไร อาจารย์ย่อมมีประสบการณ์มากกว่าเจ้าสามคน พวกเจ้าอาศัยอยู่แต่บนผาแห่งสายลมแห่งนี้ อาจยังไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน ดังนั้นระยะเวลาที่เหลืออยู่นี้ อาจารย์จะทุ่มเทให้แก่พวกเจ้าโดยเต็มที่ หลังจากนั้นอาจารย์จะให้พวกเจ้าทั้งสามออกไปหาประสบการณ์ผาดโผนในยุทธภพ ตั้งแต่วันนี้จงตั้งใจร่ำเรียนวิชาอย่าเกียจคร้านเป็นเด็ดขาด”
เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย หันไปทางไป่ชิง แล้วกล่าวถามว่า
“วิชาอาวุธลับเข็มโปรยบุปผาร่วง เจ้าฝึกปรือไปถึงไหนแล้ว ก้าวหน้าขึ้นบ้างหรือไม่?”
เฟิ่นไปชิงส่งยิ้มอย่างเอาใจ แล้วรีบตอบเจ้าผาเกาทิเหว่ยไปว่า
“นับว่าก้าวหน้าไปหลายส่วนแล้วอาจารย์ หลังจากศิษย์ได้ทดลองใช้กับแม่ชีนิรนามนางหนึ่ง แต่ศิษย์ขบคิดไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดตอนที่ใช้ออกไปนั้น ข้าพเจ้าเพียงฝึกได้สามส่วน แต่ท่าทางแม่ชีนิรนามนางนั้น กลับตื่นตระหนกตกใจและล่าถอยไปง่ายดาย อาจารย์ท่านพอคาดเดาออกบ้างหรือไม่?”
ไป่ชิงรีบกล่าวถามเจ้าผาแห่งสายลมเกทิเหว่ย เกี่ยวกับแม่ชีนิรนามลึกลับผู้หนึ่ง ซึ่งนางเคยประมือตอนลงจากผา ท่าทางนางมีท่าทีตื่นตระหนกตกใจ เมื่อตนเองใช้เข็มโปรยบุปผาร่วงออกไป
“วิชาอาวุธลับชุดนี้เป็นวิชาอาวุธลับเฉพาะ ที่อาจารย์ได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์อีกทอดหนึ่ง คิดว่าในใต้หล้าคงมีเพียงอาจารย์ อีกทั้งเจ้าอีกเพียงผู้เดียวที่ใช้วิชาอาวุธลับนี้ หากฝึกจนสำเร็จขั้นสูงสุด จะมีความร้ายกาจน่ากลัวศัตรูยากหลบหลีกพ้น เพียงผู้ใช้รู้จักใช้ลมปราณกำลังภายในบังคับทิศทาง ควบคุมน้ำหนักและแฝงกำลังภายในเข้าไปในตัวเข็มตอนซัดออก แม้เข็มเล่มเล็ก ๆ แต่ทว่าความร้ายกาจไม่ต่างจากกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่งเลยทีเดียว ความยากจะอยู่ที่เคล็ดลับการบรรจุพลังเข้าสู่ตัวเข็มก่อนซัดขว้าง ดังนั้นวันนี้อาจารย์จะอธิบายเคล็ดลับใจความสำคัญ ให้เจ้าฟังทำความเข้าใจโดยละเอียด จากคำบอกเล่าของเจ้าเมื่อครู่ คิดว่าแม่ชีนิรนามนางนั้น มันอาจรู้จักวิชาเข็มโปรยบุปผาร่วง ที่เจ้าใช้ออกไปอยู่บ้างก็เป็นได้”
เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย อธิบายถึงที่มาของวิชาอาวุธลับชุดนี้ ท่านกล่าวว่า วิชาอาวุธลับนี้ มีความร้ายกาจหากฝึกฝนจนสำเร็จขั้นสุดยอด จากนั้นท่านหันไปทางเหมาต้า และเฟิ่นมู่เหอ กล่าวกับทั้งสองว่า
“ส่วนเจ้าทั้งสอง นอกจากวิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดให้แล้ว วิชาค่ายกล พวกเจ้ายังต้องหมั่นฝึกฝนให้ชำนาญ เพราะมันจะมีประโยชน์มากมาย หากพวกเจ้าพบพาน กับคู่ต่อสู้อันเข้มแข็งจึงสามารถนำออกมาใช้ รับรองว่าศัตรูยากทำลายได้ง่ายดายเด็ดขาด”
“ทราบแล้วอาจารย์ ศิษย์ทั้งสองจะตั้งใจฝึกฝน และจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างเด็ดขาด”
เหมาต้าและเฟิ่นมู่เหอ รับปากท่านเจ้าผาเกาทิเหว่ยเป็นมั่นเหมาะ หลังจากนั้นท่านเจ้าผาเกาทิเหว่ย จึงเริ่มลงมือสอนวิชาให้กับศิษย์ทั้งสาม ศิษย์ทั้งสามต่างตั้งอกตั้งใจฝึกวิชาเพื่อออกท่องยุทธภพ อีกทั้งเดินทางไปร่วมงาน ในวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลินอีกด้วย
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564