เมื่อหูชื่อเหวินลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นปี1970แล้วเธอกลับมาเกิดใหม่เป็นรูมเมทของแม่ ความตั้งใจในครั้งนี้มีเพียงอย่างเดียวคือเธอจะหาสามีใหม่ให้แม่เอง ส่วนพ่อที่ไม่เอาไหนนะเหรอ เตะเขาไปให้ไกลๆเลย!!
เมื่อหูชื่อเหวินลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นปี1970แล้วเธอกลับมาเกิดใหม่เป็นรูมเมทของแม่ ความตั้งใจในครั้งนี้มีเพียงอย่างเดียวคือเธอจะหาสามีใหม่ให้แม่เอง ส่วนพ่อที่ไม่เอาไหนนะเหรอ เตะเขาไปให้ไกลๆเลย!!
หลังจากจางหมิงเยี่ยนพูดจบ เธอก็หน้าแดงและรีบหลบสายตาเขา นี่เป็นคำสารภาพที่น่าอายมาก!
หลังจากจ้าวหย่วนขุยได้ยินคำพูดนี้ เขาก็พยายามกลั้นยิ้มด้วยการเม้มปากและลูบหัวตัวเองแก้เขิน
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันไม่ได้อยากจะบังคับเธอ แค่คำพูดของเธอก็พอแล้วละ จะเปิดเผยเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เธอต้องการ แต่ว่าเรื่องครอบครัวของเธอฉันบอกพ่อกับแม่แล้วนะ พวกท่านเป็นคนมีเหตุผลมาท่านไม่ได้รังเกียจอะไรเลย”
“ว่าไงนะ? นาย… นายบอกครอบครัวเรื่องของเราแล้วหรือ?”
จางหมิงเยี่ยนเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ
“ใช่ แม่เขียนจดหมายมาหาฉัน ถามเกี่ยวกับเรื่องในไร่ บอกว่าฉันก็อายุ 26 แล้วเมื่อไหร่จะคบกับใครสักที ดังนั้น… ฉันเลยบอกเรื่องของเราไป”
จ้าวหย่วนขุยรู้สึกเฉยๆ กับพ่อแม่ของตัวเอง เพราะพวกเขาล้วนเป็นคนใจกว้างและไม่ได้สนใจว่าครอบครัวของจางหมิงเยี่ยนเป็นแบบไหน ตราบใดที่เธอเป็นผู้หญิงที่ดีและใส่ใจเขาก็พอ นอกจากนี้เขายังชอบเธอ พวกเขาจึงเห็นด้วย
หลังจากได้ยินจางหมิงเยี่ยนก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เธอไม่ได้บอกครอบครัวเรื่องจ้าวหย่วนขุย เพราะพวกเขาจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้บ้านของเธอและเขายังอยู่กันคนละที่อีก
เธอคิดมาตลอดว่าครอบครัวของจ้าวหย่วนขุยจะไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์นี้ เพราะว่าครอบครัวเธอมีพี่น้องเยอะและฐานะไม่ดี
“อย่างที่ฉันพูดไป ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อเราอยู่ด้วยกัน ตราบใดที่เธอเต็มใจจะยอมรับฉัน อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหา”
เมื่อเห็นความกังวลของเธอจ้าวหย่วนขุยก็พูดด้วยความจริงจัง
“อืม… หย่วนขุยขอเวลาฉันหน่อยนะ แล้วพอมีโอกาสที่ดีเมื่อไหร่ฉันจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราอย่างแน่นอน” จางหมิงเยี่ยนเห็นความจริงใจของจ้าวหย่วนขุยแล้วก็ตัดสินใจอย่างเงียบเฉียบ
“คนเริ่มเลิกงานกันมากขึ้นแล้ว ฉันไปก่อนนะ ตอนกลับก็ระวังตัวด้วย!”จ้าวหย่วนขุยหันกลับมามองสองสามครั้งและเดินไปอย่างไม่เต็มใจ
จางหมิงเยี่ยนมองดูจ้าวหย่วนขุยอย่างแล้วกัดริมฝีปากของตัวเอง เธอต้องยับยั้งช่างใจไม่ให้เดินตามเขาไป
เธอเกิดในครอบครัวที่ให้คุณค่าผู้ชายมากกว่าผู้หญิง นานวันเข้าตัวเธอก็ยิ่งไร้ค่า ต่อให้มีผลการเรียนที่ดีแต่ก็ไม่ได้รับคำชม ทำให้เธอนึกเสมอว่าตัวเองมีฐานะต่ำต้อยและขี้ขลาด เธอใส่ใจว่าคนอื่นจะมองเธอแบบไหนและกลัวการถูกเยาะเย้ย ดูถูกและเหยียดหยามมากที่สุด
เธอไม่กล้าเปิดเผยเรื่องของความรัก เพราะเธอกลัว หวาดระแวงต่อสายตาแปลกๆ ของคนอื่นและไม่อยากให้คนอื่นพูดว่าเธอตะเกียกตะกายหาชีวิตที่ดีกว่าโดยใช้จ้าวหย่วนขุย เธอทำใจไม่ได้
เมื่อมองด้านหลังของคนที่เพิ่งเดินไปก็รู้สึกเศร้ามาก เธอไม่ชอบนิสัยของตัวเองเลย เธอเกลียดที่เธอสนใจสายตาและหวั่นไหวกับความคิดของคนอื่นเสมอ แต่นิสัยแบบนี้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ไม่สามารถเปลี่ยนได้ในพริบตา
ทันทีที่จางหมิงเยี่ยนกลับมาถึงหอพักก็มียุวชนบอกเธอว่าหลังอาหารเย็น ผู้ที่มีส่วนร่วมในการขับร้องจะต้องไปฝึกซ้อม
“โห นี่มันคนละชั้นกับบางคนเลยนะ พอเป็นเพื่อนกันก็ได้เป็นครูเลย แล้วทำไมยังอยู่หอนี้อีกละ? คนที่มีตาก็เห็นทั้งนั้นแหละ น่าสิ้นหวังจริงๆ”
จางหมิงเยี่ยนได้ยินเสียงประชดประชันของเฉินซูเฟิน เธอจึงหน้าแดงแล้วก้มหน้าก้มตาเดินไปหาหูชื่อเหวินและหลี่เสวี่ยฉิน
“ไม่ต้องสนใจเธอหรอก คนที่เด็ดองุ่นไม่ถึงก็เอาแต่พูดว่าองุ่นเปรี้ยวแบบนี้แหละ พี่เยี่ยนมากินข้าวเถอะ”
หูชื่อเหวินตบไหล่จางหมิงเยี่ยนเบาๆ ดึงเธอนั่งลงกินข้าวด้วยกัน โดยที่ไม่สนใจสิ่งที่เฉินซูเฟินพูดเลย
นี่คือสิ่งที่เธอเจอบ่อยครั้งในชีวิตที่แล้ว บางครั้งการเสียเวลาไปสู้รบตบมือกับคนอย่างเฉินชูเฟิงมากเท่าไหร่ ก็จะทำใหคนแบบนั้นยิ่งทำรุนแรงมากยิ่งขึ้น เปิดโอกาสให้เกิดการขัดแย้งเพิ่มขึ้นไปอีก
แต่ถ้าหากวางตัวเฉยไม่สนใจไปเสีย ฝ่ายหาเรื่องก็จะกลายเป็นคนตีอกชกหัวไปเองนั่นแหละ
สำหรับเฉินซูเฟินไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็ตาม หูชื่อเหวินจะไม่สนใจเหมือนหูลี่อิงเจ้าของร่างเดิม
เธอพูดไป ฉันไม่สนใจ เธอจะทำอะไรได้?
นึกถึงคำพูดที่โด่งดังมากในชาติที่แล้วของเธอ
ต่อให้เธอไม่เข้าใจฉัน ก็ฆ่าฉันไม่ได้
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าบางคนคิดอะไรอยู่ ในเมื่อใช้เส้นสายแล้วทำไมไม่สมัครหอพักเดี่ยวไปเลย จะมาเบียดเสียดนอนเตียงคังกับพวกเราเราไปเพื่ออะไร”
เฉินซูเฟินยังคงไม่ยอมหยุดที่จะยั่วยุ
“ดูสิพี่เยี่ยน เสวี่ยฉิน ลองไก่เจอันนี้ดู กินให้หมดวันนี้เลยเถอะ เก็บไว้พรุ่งนี้ก็ไม่อร่อยแล้ว”
หูชื่อเหวินไม่แม้แต่จะมองเฉินซูเฟินและยังคงพูดคุยกับจางหมิงเยี่ยนและหลี่เสวี่ยฉินราวกับเป็นเรื่องปกติ
ความจริงแล้วหูลี่อิงก็คิดที่จะสมัครหอพักเดี่ยวเช่นกัน แต่เธอไม่กล้าอยู่คนเดียวและพ่อของเธอก็ไม่อนุญาตด้วย
เฉินซูเฟินโกรธอยู่สักพักก็เดินออกไปก่อนที่จะทานอาหารเสร็จ เมื่อเร็วๆ นี้นังจิ้งจอกตัวนี้อยู่ๆ ก็หยุดโต้เถียงกับเธอ ทำให้เธอรู้สึกโกรธและต้องการจะระบายความโมโหออกไป
“ลี่… ไม่สิ ชื่อเหวิน เธอเปลี่ยนไปจริงๆ เมื่อก่อนเวลาเฉินซูเฟินพูดอะไรก็ตามเธอจะเหมือนพลุที่พร้อมระเบิดและโต้เถียงอย่างดุเดือด” หลี่เสวี่ยฉินพูดและมองไปที่หูชื่อเหวินพร้อมกับกินข้าว
“ทำไมละ? ไม่ดีหรือ? ทะเลาะกับเธอแล้วได้อะไร เปลืองแรงเปล่าๆ แถมยังอารมณ์เสียอีก เธอมีปากอยากจะพูดอะไรก็พูดได้ทั้งนั้นแหละ เราจะฟังหรือไม่ฟังก็เรื่องของเรา ฟังแต่เรื่องดีๆ ก็พอ”
หูชื่อเหวินคิดแบบนี้จริงๆ ทานอาหารโดยไม่ฟังอะไรไม่น่าอภิรมย์ย่อมดีกว่า
“ฮะฮ่า!” จางหมิงเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เธอรู้สึกว่าที่หูชื่อเหวินพูดมีเหตุผล ถ้าเธอเปิดใจให้ได้เหมือนเธอคงจะมีความสุขมากกว่านี้
“ที่เธอพูดก็จริงนะ! ฉันไม่รู้จะเถียงอะไรเลย!”
หลี่เสวี่ยฉินชื่นชมคำพูดของหูชื่อเหวินทันที
หูชื่อเหวินเลิกคิ้ว นี่คือประสบการณ์ที่ได้รับจากสามีของเธอในชาติที่แล้ว
ผู้ชายคนนั้นปากเสีย จู้จี้ทั้งวัน เธอมักจะอดเถียงเขาไม่ได้ในตอนแรก ต่อมาจึงได้พบว่าหัวใจของตนเองมีปัญหา หากโกรธจะทำให้ตัวสั่นและเจ็บที่หัวใจอย่างรุนแรง
หูชื่อเหวินจึงเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ บางครั้งเธอจะจมดิ่งอยู่กับความซึมเศร้าแต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็จะสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง
หากไม่ทำอย่างนั้น ชีวิตก่อนเธอคงเสียสติและคลุ้มคลั่งไปนานแล้ว หากดูจากเรื่องราวมากมายที่เธอได้ประสบมา
เมื่อนึกถึงแม่ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเมื่อชีวิตที่แล้ว หูชื่อเหวินกะพริบตามองไปที่จางหมิงเยี่ยน
“พี่เยี่ยน บางครั้งพี่ก็เก็บตัวมากเกินไป ลองเปิดใจกับทุกอย่างให้มากกว่านี้ดู ถ้าหากคิดอะไรไม่ออกแค่คุยกับฉันหรือเสวี่ยฉิน ก็ได้ อย่าเก็บเอาไว้ในใจเพียงคนเดียว พอนานๆ ไปจะเสียสุขภาพจิต พี่ไม่อยากมีความสุขหรือ?”
จางหมิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองหูชื่อเหวินอย่างประหลาดใจ เธอรู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าเข้าใจในตัวเธอมาก สิ่งที่หูชื่อเหวินพูดเป็นเรื่องเจ็บปวดแต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย
“ได้สิ ถ้ามีอะไรต่อไปฉันจะคุยกับเธอนะ”
จางหมิงหยี่ยนพูดจริงจัง เธอเองก็ต้องเปลี่ยนตัวเองเช่นกัน ดังนั้นต้องพยายามให้มากกว่านี้อีก!