หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
ตอนที่ 37 อยากจะจีบเธอ
ความเย็นชาและอารมณ์ไม่ดีของจินเฉินส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากอาการป่วยนี้
“ไม่แน่ใจ” เขาตอบอย่างใจเย็น ขณะที่ใบหน้าของซูฮั่นหยวนปรากฏขึ้นในความคิดของเขา
หากครั้งแรกเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วครั้งที่สองจะอธิบายอย่างไร?
เขาเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้มีความพิเศษอย่างแน่นอน
ลู่เฟ่ยฟานไม่รู้ความคิดของเขา จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ในฐานะเพื่อนสนิท เขารู้สึกยินดีแทนเพื่อน “ใครจะรู้ บางทีอาการป่วยของนายอาจจะหายไปในเร็วๆ นี้ก็ได้!”
“อาจจะ”
“ไม่ใช่อาจจะ ฉันว่ามันใช่เลยล่ะ” ลู่เฟ่ยฟานพูดอย่างมั่นใจโดยไม่รู้ว่าความมั่นใจนี้มาจากไหน “มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนใช่ไหม นี่เป็นครั้งแรกใช่หรือเปล่า ฉันคิดว่าแม้แต่พระเจ้าก็คงจะทนไม่ไหวแล้วเลยตัดสินใจที่จะเมตตานายบ้าง”
“หึ” จินเฉินหัวเราะเบาๆ “เป็นหมอแท้ๆ แต่กลับเชื่อเรื่องลี้ลับ”
สีหน้าของเขากลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง “ฉันรู้… แต่มันก็ผ่านไปแล้ว” ลู่เฟ่ยฟานยืดเส้นยืดยืดสายแล้วพูดต่อ “ตอนที่นายหลับอยู่ ฉันไปที่ห้องผ่าตัด ผู้อำนวยการหลินบอกว่าเมื่อนายตื่นแล้วก็กลับบ้านได้เลย นายอยู่ที่เตียงผ่าตัดต่อเนื่องกันถึงสิบเจ็ดสิบแปดชั่วโมง แม้แต่คนเหล็กก็ยังต้องล้มลง เขาสั่งให้นายพักผ่อนสามวัน ต้องขอบคุณนายด้วย ฉันถึงได้สิทธิ์พานายกลับบ้าน”
“กลับก็กลับ” จินเฉินรู้ดีว่าเขาต้องการการพักผ่อนจริงๆ และนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสบายขนาดนี้ เขาต้องการใช้โอกาสนี้ในการพักผ่อนสักสองสามวัน
“ไปกันเถอะ” ลู่เฟ่ยฟานถอดเสื้อกาวน์ออกแล้ววางมือลงบนไหล่เพื่อนของเขา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฉันดูแลนายดีใช่ไหม? ในเมื่อเป็นอย่างนี้ นายจะตอบแทนฉันยังไงดี?”
จินเฉินนิ่งไปเล็กน้อย สายตาที่เขามองไปที่ลู่เฟ่ยฟานเผยให้เห็นถึงความเย้ยหยัน "สมองนายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า? อยากไปแผนกประสาทวิทยาไหม?"
เพื่อนคนนี้ช่างปากไวและหลงตัวเองเหลือเกิน ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก ผ่านการเล่นซนแบบเด็กๆ มาด้วยกันมากมาย ความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นมาก คำว่า 'บุญคุณ' ไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมของพวกเขาเลย แล้ววันนี้หมอนี่เป็นอะไรไป?
“ช่างเถอะ ฉันพูดตรงๆ เลยแล้วกัน” ลู่เฟ่ยฟานหัวเราะแห้งๆ “นายรู้จักผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อซูฮั่นหยวนใช่ไหม? ฉันไปที่ห้องพยาบาลมาถามดู แล้วก็ได้ยินมาว่านายเคยผ่าตัดให้พ่อของเธอ”
“นายต้องการอะไร” จินเฉินเลิกคิ้วขึ้น
“แน่นอนว่าฉันถามเพราะฉันอยากให้เธอเป็นแฟนของฉันน่ะสิ! อา... บอกให้นะ ผู้หญิงคนนั้นน่ะสวยมาก แล้วนิสัยของเธอก็ถูกใจฉันสุดๆ เอาเป็นว่า ฉันตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น! ฉันอยากจีบเธอ นายเคยเจอเธอมาก่อนใช่ไหม? ฉันอยากได้ข้อมูลของเธอจากนาย”
“ไม่รู้”
“เฮ้ นายเป็นเพื่อนฉันหรือเปล่าเนี่ย?” ลู่เฟ่ยฟานเริ่มร้อนใจ “นายรู้ว่าพ่อแม่ฉันคอยบังคับให้ฉันไปนัดบอดตลอด ฉันก็ไปนัดมานับไม่ถ้วนแต่ก็ไม่ถูกใจใครเลย ไม่คิดเลยว่าจะเจอคู่แท้ที่นี่ ฉันอยากจีบเธอจริงๆ! ถ้านายรู้อะไรบอกฉันหน่อยเถอะ”
“ฉันไม่รู้” จินเฉินตอบสั้นๆ “ฉันไม่เคยคุยกับเธอมาก่อน”
“น-นาย…” อีกฝ่ายกัดฟันพูด “…ถ้านายยังทำแบบนี้ต่อไปนะ นายได้เป็นโสดไปตลอดชีวิตแน่!”
“เลิกพล่ามเถอะ ไม่ใช่ว่าจะพาฉันกลับบ้านหรอกหรือ ไปกันเถอะ” จินเฉินดึงแขนออกจากเพื่อนของเขา ถอดเสื้อกาวน์ออกแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อโค้ทสีเทาเข้มก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 38 อยากโดนตีใช่ไหม
วันนี้ครอบครัวซูคึกคักมาก
ซูจิ่งเหิง ลูกชายคนโต และอู๋เจียวเจียว ภรรยาของเขา ได้ไปเยี่ยมฉลองวันเกิดพ่อตา แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้น พวกเขาจึงกลับบ้านกลางคัน ในขณะที่ซูจิ่งรุ่ยที่ทำงานล่วงเวลาจนถึงเที่ยง ไม่ต้องทำงานในช่วงบ่าย เขาจึงรีบกลับบ้านมาร่วมกินข้าวด้วย
มื้ออาหารนี้มีความหมายพิเศษสำหรับครอบครัวซู อย่างแรกคือการเฉลิมฉลองที่ซูต้าเจียงผ่านพ้นช่วงวิกฤตและกำลังฟื้นตัวได้ดี อย่างที่สองคือการรวมตัวกันของครอบครัว และสุดท้าย ซูต้าเจียงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการแผนกที่โรงงานเครื่องจักรฉางเฟิงซึ่งได้ประกาศในโรงงานแล้ว และอีกไม่นานเขาจะได้กลับไปทำงาน
เว่ยกุ้ยฉินเตรียมอาหารสุดพิเศษโดยใช้ซี่โครงหมูที่ซูฮั่นหยวนซื้อมาและตุ๋นเป็นซุปหัวไชเท้า นอกจากนี้เธอยังไปซื้อแฮมรมควัน ไก่ย่าง และผัดผักจากร้านขายของชำของรัฐ
มื้อนี้หรูหรากว่ามื้อเย็นในคืนวันปีใหม่เสียอีก
ซูต้าเจียงไม่สามารถนั่งนานได้เพราะสุขภาพ ดังนั้นพวกเขาจึงวางโต๊ะไว้ข้างเตียงของเขา เพื่อที่เขาจะได้นอนพักเมื่อรู้สึกเหนื่อย
“อ้ายโยว! นี่ช่างหายากจริงๆ” เว่ยกุ้ยฉินอารมณ์ดีมากในวันนี้และให้ลูกชายคนที่สามของเธอรินเหล้าให้เธอด้วย เธออยากดื่มสักสองสามแก้วด้วย “นอกจากลูกคนที่สองและครอบครัวของเธอที่ไม่มา นี่ก็ถือว่าเป็นการรวมตัวกันครบถ้วนแล้ว! ฉันมีความสุขมากเลย มา ดื่มด้วยกันหน่อย! ทุกคนจงดื่มอวยพรให้พ่อของพวกเธอกันสักครั้ง”
“พ่อไม่ควรดื่มนะคะ” ซูฮั่นหยวนเตือนเมื่อเห็นว่าพ่อของเธอหยิบแก้วขึ้นมา “แผลของพ่อยังไม่หายดี และร่างกายของพ่อก็ยังอ่อนแออยู่ หมอบอกว่าไม่ควรดื่ม”
“คิดว่าตัวเองรู้เยอะไปหมดคนเดียวหรือไง” ไม่ว่าอย่างไรซูจิ่งรุ่ยก็รู้สึกว่าน้องสาวขวางหูขวางตาไม่หาย “เหมือนว่าแกเป็นคนเดียวในครอบครัวที่สนใจพ่ออย่างนั้นแหละ”
“ดื่มแค่นิดเดียวได้ไหม แค่จิบเดียวก็ได้” ซูจิ่งเหิงพยายามที่จะไกล่เกลี่ย เพราะเขารู้ว่าถ้าพี่น้องยังเถียงกันต่อไป อาจนำไปสู่การทะเลาะวิวาทได้
หากเป็นอย่างนั้นจริง อาหารมื้อนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้กินกันอย่างมีความสุขเลย
“แค่จิบเดียวก็ไม่ได้เหมือนกัน” ซูฮั่นหยวนยืนกราน “พ่อคะ ตอนนี้พ่อยังต้องกินยานะคะ จำได้ไหมว่าหมอพูดว่าอะไร การดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับยานั้นอันตรายมาก มันอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แค่จิบเดียวก็ไม่ได้ค่ะ”
“หยุดพูดไร้สาระซะที!” ซูจิ่งรุ่ยกระแทกโต๊ะเสียงดัง “ตอนที่ฉันเป็นหวัด ฉันกินยาไปตั้งเยอะ ดื่มเหล้าไปก็เยอะ แต่ฉันก็ไม่เห็นจะตาย”
ซูฮั่นหยวนหัวเราะเยาะ “ก็เพราะอย่างนี้ไง สมองของพี่ถึงได้ทื่อ พี่ไม่ชอบเรียนหนังสือและไม่ยอมฟังคำแนะนำ พี่คิดว่าตัวเองรู้มากกว่าหมอหรือไง?”
“แกอยากโดนตีหรือไง? อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าตีนะ! อย่าคิดว่ามีคนหนุนหลังแล้วฉันจะไม่กล้าเล่นงานแกนะ” เขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
“พอได้แล้ว หยุดตะโกนซะที ดูสิว่าถงถงตกใจกลัวแล้ว” อู๋เจียวเจียวมองซูจิ่งรุ่ยด้วยความไม่พอใจ
“จะตะโกนกันทำไม” ซูต้าเจียงขมวดคิ้ว เขาหยิบตะเกียบแล้วเคาะหัวลูกชายคนที่สามสองครั้ง “นี่คือวิธีที่แกปฏิบัติต่อน้องสาวของแกงั้นหรอ? แกเป็นพี่ชายแท้ๆ นะ นอกจากจะไม่ปกป้องน้องแล้ว ยังตะโกนใส่น้องทุกวัน! พ่อว่าแกนี่แหละที่ต้องโดนตีจริง ๆ”
“ผม...” ซูจิ่งรุ่ยไม่อยากยอมแพ้
“อะไร? อยากพูดอะไรอีก?” ซูต้าเจียงมองลูกชายด้วยสายตาข่มขู่
“พอแล้ว ๆ คุณยังไม่สบายอยู่นะ อย่าเพิ่งโมโหนักเลย” เว่ยกุ้ยฉินพยายามปลอบสามี “พี่น้องก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ เล่นกันไปมา แต่เวลาสำคัญพวกเขาก็ยังรักกัน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกค่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่?” ซูต้าเจียงแค่นเสียงเย็นชา “งั้นพ่อถามหน่อย “ทำไมหยวนหยวนถึงไม่อยากอยู่บ้านและยืนยันจะไปอยู่ที่โรงงานแทน ตอบพ่อมาสิ”
“พ่อครับ ในเมื่อพ่อพูดถึงเรื่องนี้ ผมก็จะบอกพ่อเรื่องนี้ให้หมดเลย” ซูจิ่งรุ่ยวางตะเกียบลงและเริ่มพูดถึงเรื่องการแต่งงานของเขาอีกครั้ง “พ่อครับ พ่อก็รู้เรื่องของผมกับชิวเอ๋อ วันนี้ทุกคนก็อยู่พร้อมหน้า ผมขอถือโอกาสนี้พูดคุยเรื่องนี้ให้มันจบแล้วกัน”
ตอนที่ 39 ลำเอียงอย่างไม่มีขอบเขต
“จิ่งรุ่ย ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลังนะ” ซูจิ่งเหิงเห็นว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องนี้ จึงรีบเตือนน้องชาย “นานๆ ทีพวกเราจะได้รวมตัวกัน ทานอาหารกันอย่างสงบเถอะ”
“พี่อย่ายุ่งเลย เรื่องนี้มันกวนใจผมมานานแล้ว และผมแค่อยากพูดออกมา” ซูจิ่งรุ่ยมองไปที่พ่อของเขา แล้วสูดหายใจลึกก่อนจะเริ่มพูด “ผมจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนไหนนอกจากหลินจื่อชิว พ่อครับ เธอไม่ต้องการอะไรเลยนอกจากงาน พ่อรักลูกสาวของพ่อ แต่พ่อไม่รักลูกชายบ้างหรือครับ”
“จริง ๆ แล้วจิ่งรุ่ยเองก็ลำบากเหมือนกัน” เว่ยกุ้ยฉินรีบพูดสนับสนุนลูกชาย “รักครั้งนี้เขาจริงจังมาก จื่อชิวเองก็เป็นคนดีมาก เธอเป็นคนเก่ง สิ่งเดียวที่เธอขาดคืองาน เราคุยเรื่องนี้กับหยวนหยวนไปก่อนแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าเธอจะโกรธและหนีออกจากบ้าน ทำให้ตอนนี้เรื่องแต่งงานของจิ่งรุ่ยคาราคาซังแบบนี้ คุณคิดว่พวกเราควรทำยังไงดี?”
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ซูต้าเจียงกำลังพักฟื้น เว่ยกุ้ยฉินจึงอดกลั้นไม่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพราะกลัวว่าพ่อจะไม่สบายใจ แต่ตอนนี้ครอบครัวหลินมีคนไปขอหลินจื่อชิวแต่งงานหลายคน ลูกชายของเธอกังวลและโกรธมาก เว่ยกุ้ยฉินเองก็นอนไม่หลับ
“เธอต้องการงานหรือ” ซูต้าเจียงถาม
“ใช่ครับ” ซูจิ่งรุ่ยพยักหน้าแรง ๆ “เธอต้องการแค่งานเท่านั้น”
อู๋เจียวเจียวเม้มปากและพูดว่า “เด็กคนนั้นรู้ว่าอะไรควรไม่ควรขอจริงๆ งานหนึ่งงานนั้นมีค่ามากกว่าของหมั้น ใครในครอบครัวจะยอมให้งานกับเธอ ถ้าเธอคิดจะซื้องาน งานที่ถูกที่สุดก็ต้องใช้เงินอย่างน้อยเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยหยวน สมัยนี้คนเขาขายงานกันในราคาตั้งหลายพันหยวน”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ นี่ไม่ใช่เรื่องของเธอที่จะพูด” เว่ยกุ้ยฉินจ้องลูกสะใภ้แล้วหันไปทางลูกชายคนโตของเธอ “ต่อให้เราต้องซื้องาน เราก็ไม่ได้ใช้เงินของแก แล้วแกจะยุ่งทำไม”
"แม่พูดแบบนี้ไม่ถูกนะคะ จะบอกว่าไม่ใช้เงินของฉันได้ยังไง ตอนที่ซูจิ่งเหิงแต่งงานกับฉัน พวกคุณก็ให้ของหมั้นมาแค่หนึ่งร้อยหยวนเองไม่ใช่หรือ แล้วทำไมพอถึงคิวจิ่งรุ่ยที่จะแต่งงาน ค่าใช้จ่ายในการหางานให้ภรรยาของเขาถึงไม่ถือว่าเป็นเงินแล้วหรือคะ? ฉันไม่สนใจหรอกถ้าพวกคุณจะใช้เงินมากมายขนาดนั้นเพื่อหางานให้ภรรยาของจิ่งรุ่ย แต่พวกคุณต้องชดเชยให้ฉันด้วยไหม ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่อยู่แล้ว” อู๋เจียวเจียวพูดด้วยความโกรธ
"พอได้แล้ว! หยุดพูดแทรกกันเสียที ยังพอวุ่นวายไม่พออีกหรือ” ซูจิ่งเหิงดึงแขนเสื้อของภรรยาเป็นสัญญาณให้เธอหยุดพูดและไม่ต้องไปร่วมยุ่งกับความวุ่นวายนี้
"คุณหุบปากไปเลย!" เธอแว้ดใส่สามี “คุณนี่มันน่าพิศวงจริง ๆ มองไม่เห็นหรือไงว่าแม่ของคุณลำเอียงจนเป็นบ้าไปแล้ว แม้แต่ซูฮั่นหยวนยังฉลาดขึ้นแล้ว แต่คุณยังคงโง่อยู่เลย พอมีปัญหาก็เอาแต่เงียบ”
“พี่สะใภ้ จากที่พี่พูดมา พี่มีอะไรขัดแย้งกับผมหรือ?” ซูจิ่งรุ่ยจับได้ว่าคำพูดของเธอกำลังพุ่งเป้ามาที่เขา
"ฉันจะกล้าได้ยังไง ฉันแค่พูดตามความจริง" เธอตอบกลับอย่างเสียดสี
"พอได้แล้ว!" เว่ยกุ้ยฉินโกรธจัด เมื่อเห็นว่าลูก ๆ ของเธอทะเลาะกันไม่หยุดเพราะเรื่องนี้ เธอทุบโต๊ะอย่างแรง “รู้กันไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร? จะทานข้าวกันอย่างสงบสุขไม่ได้หรือ? จำเป็นต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลย?”
“จิ่งรุ่ยเป็นคนเริ่มก่อนนะคะ” อู๋เจียวเจียวพึมพำ
"การที่ผมอยากแต่งงานมันผิดตรงไหน" ซูจิ่งรุ่ยโกรธจัด เขาลุกขึ้นแล้วโยนตะเกียบลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกไป "ไม่กินแล้วข้าว!”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตึงเครียดขึ้นมาทันที ซูต้าเจียงมีสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ราวกับว่าเขากำลังจะระเบิดออกมา
"กลับมานี่!" เว่ยกุ้ยฉินเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว เธอจึงรีบลุกขึ้นแล้วดึงหูลูกชายคนที่สามกลับมา “ขอโทษพ่อเดี๋ยวนี้! พ่อแกนั่งหัวโด่อยู่นี่ แกยังกลัวอยู่อีกเหรอว่าจะไม่มีใครช่วยเรื่องแต่งงาน”