เมื่อมีเงินในมือหลี่เหอฮว๋าจึงเริ่มลงมือด้วยความรวดเร็ว สิ่งแรกที่ทำคือเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำขนม
นางซื้อถั่วแดงและไข่สดจากชาวบ้านที่นำของมาขายในเมือง จากนั้นจึงไปที่ร้านค้าเพื่อซื้อน้ำตาลขาวมาหนึ่งถุง สุดท้ายไปที่ร้านขายกระดาษน้ำมัน นางซื้อกระดาษน้ำมันมาหนึ่งห่อใช้สำหรับห่อขนมให้ลูกค้าตอนขายขนมในวันพรุ่งนี้
หลังซื้อของเหล่านี้เสร็จนางค่อยไปร้านขายขนมในเมืองเพื่อสอบถามราคาขนม
ร้านขนมที่นางเข้าไปเป็นร้านที่มีราคาจับต้องได้มากที่สุดในบรรดาร้านขายขนมที่อยู่ในเมือง นางวางแผนว่าต่อไปขนมของนางจะอิงราคาจากร้านแห่งนี้เพื่อที่ลูกค้าของนางจะได้ไม่คิดว่าราคาขนมของนางสูงเกินไป
ร้านค้าแห่งนี้มีขนมถั่วแดงเช่นกัน ขายราคาชั่งละ 7 อีแปะ หลี่เหอฮว๋าเฝ้าดูจากด้านข้าง มีลูกค้าคนหนึ่งเพิ่งซื้อขนมถั่วแดงไปหนึ่งชั่ง ในนั้นมีขนมถั่วแดงอยู่ประมาณ 4 ชิ้น หมายความว่าราคาตกชิ้นละ 2 อีแปะ หลี่เหอฮว๋าคิดไว้ในใจว่าตอนตัดแบ่งเป็นชิ้นนางจะตัดให้มีชิ้นที่ใหญ่กว่านี้อีกเล็กน้อย จากนั้นก็จะแบ่งขายเป็นชิ้น ราคาชิ้นละ 2 อีแปะ ขนมไข่ก็จะขายในราคาเดียวกัน
หลังซื้อของและสอบถามราคาเสร็จแล้วหลี่เหอฮว๋าก็เดินกลับบ้านไปด้วยสีหน้าแช่มชื่น
หลังรอให้ผู้อื่นกินอาหารเย็นเสร็จและจางหลินซื่อล้างทำความสะอาดหม้อถ้วยชามเรียบร้อยแล้ว หลี่เหอฮว๋าค่อยถือวัตถุดิบที่ซื้อมาไปที่ห้องครัว นางเริ่มนวดแป้งก่อน จากนั้นก็ตีไข่และนึ่งถั่วแดง...
ด้านนอกครอบครัวจางที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ในลานบ้านได้ยินเสียงกุกกักๆ ดังจากห้องครัว จางหลินซื่ออดไม่ได้พึมพำออกมา “กำลังทำอะไรอยู่นะ? คงจะไม่ทำให้ข้าวของในบ้านเราเสียหายหรอกใช่ไหม?”
จางชิงซานรู้สึกไม่พอใจเช่นกัน “พี่ ผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญยิ่ง ข้าไม่อยากอาศัยอยู่ร่วมกับนาง”
จางเถียซานไม่พูดอะไร เขาอุ้มชูหลินพร้อมกับลูบหลังเขาเบาๆ
เห็นว่าจางเถียซานไม่พูดอะไร จางหลินซื่อที่คุ้นชินกับนิสัยเงียบขรึมของบุตรชายคนโตจึงหันไปพูดคุยเรื่องอื่นๆ กับบุตรชายคนเล็กแทน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ ก็มีกลิ่นหอมแปลกลอยเข้ามาในลานบ้าน เป็นกลิ่นที่ชวนให้น้ำลายสอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
จางชิงซานสูดจมูกดมกลิ่นเข้าไปอย่างเต็มแรง “นี่มันกลิ่นขนมใช่หรือไม่? ผู้ใดซื้อขนมมา? ช่างหอมจริง!”
จางหลินซื่อก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “เป็นกลิ่นขนมแต่กลิ่นต่างจากขนมอยู่ในเมือง กลิ่นนี้หอมกว่าที่ขายอยู่ตามร้านเสียอีก เป็นขนมชนิดใดกัน?”
จางชิงซานลุกขึ้นพร้อมสูดจมูกฟุดฟิดๆ หาแหล่งที่มาของกลิ่นหอม ไม่นานเขาก็เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านแม่ ไยข้าจึงรู้สึกว่ากลิ่นออกมาจากบ้านเราเล่า?”
จางหลินซื่อปฏิเสธออกมาโดยไม่รู้ตัว “จะเป็นไปได้อย่างไร บ้านเราซื้อขนมมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
จางชิงซานบอก “ท่านแม่ จริงนะขอรับ เป็นกลิ่นหอมจากบ้านเรา ดูเหมือนจะอยู่ในครัว...”
สายตาของจางหลินซื่ชำเลืองไปทางห้องครัว ร่องรอยความไม่แน่ใจปรากฏขึ้น เป็นไปได้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นซื้อขนมมากินในห้องครัว?
จางเถียซานที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยอยู่นาน เวลานี้เอ่ยออกมาว่า “ท่านแม่ ชิงซานนั่งลงเถิด เป็นครัวของบ้านเราเอง”
จางหลินซื่อกับจางชิงซานหันมามองหน้ากันแล้วนั่งลง
จางหลินซื่ออดบ่นพึมพำไม่ได้ “ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นอย่างนี้ละ ทั้งตะกละทั้งขี้เกียจ ซื้อของแพงๆ อย่างขนมมากินก็แอบกินเงียบๆ อยู่ในครัว บ้านเราช่างโชคร้ายจริงๆ ที่แต่งผู้หญิงอย่างนี้เข้ามา หากไม่เป็นเพราะพ่อของนาง...”
“ท่านแม่!” จางเถียซานเอ่ยขัดคำด่าทอที่จางหลินซื่อกำลังจะกล่าวออกมา จางหลินซื่อจึงเม้มปากแล้วไม่พูดอะไรต่อ
จางชิงซานเหลือบมองพี่ชายและมารดาของตน จากนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกแต่สายตามองไปทางห้องครัวโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็เห็นหลี่เหอฮว๋าเดินถือจานมุ่งหน้ามาที่ลานบ้าน
หลี่เหอฮว๋าเพิ่งทำขนมถั่วแดงกับขนมไข่เสร็จ นางตัดขนมเป็นชิ้นๆ จัดเรียงขนมลงไปในตะกร้าที่ด้านในรองไว้ด้วยผ้าขาวสะอาด แค่รอเวลาจะออกไปขายตั้งแต่เช้าตรู่วันพรุ่งนี้
กระนั้นก็ตามนางจงใจแบ่งขนมเอาไว้อย่างละ 4 ชิ้น ตั้งใจจะเอาออกไปให้คนบ้านจาง วัตถุดิบในการทำขนมได้มาจากเงินที่ขอยืมมาจากจางเถียซาน ห้องครัวที่ใช้ก็เป็นของบ้านจาง พวกฟืนข้าวน้ำมันเกลือ*ก็ล้วนเป็นของบ้านจาง การนำมาให้คนบ้านจางชิมจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางอยากให้เด็กน้อยได้กินขนมที่นางทำด้วย ด้วยเหตุนี้นางจึงเดินถือขนมออกมาด้วยตัวเอง
*มาจาก ฟืน ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ เครื่องปรุงรส น้ำส้มสายชูและชา หมายถึงของจำเป็น 7 อย่างที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวจีนมาตั้งแต่ครั้งอดีต
หลี่เหอฮว๋าเดินเข้าไปหาคนกลุ่มนั้น ทำเมินเฉยต่อสายตาเชือดเฉือนของจางหลินซื่อและจางชิงซาน นางวางจานลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ “นี่เป็นขนมถั่วแดงกับขนมไข่ที่ข้าทำเอง เพิ่งออกมาจากเตา เอามาให้พวกท่านได้ลองชิมดู”
แววตาของจางหลินซื่อและจางชิงซานฉายความประหลาดใจ พวกเขาคิดว่านางซื้อขนมกลับมากิน ไม่คิดว่านางจะเป็นคนทำขึ้นมาเอง เป็นไปได้อย่างไรกัน? หลี่เหอฮว๋าสามารถทำขนมที่น่ากินและดูดีขนาดนี้ได้ด้วยหรือ? เป็นเรื่องหลอกลวงหรือไม่?
หลี่เหอฮว๋าก็สังเกตเห็นความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในแววตาของพวกเขาเช่นกัน นางไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแค่ทำเป็นมองไม่เห็น
จางหลินซื่อเกลียดชังหลี่เหอฮว๋าอย่างถึงแก่น แล้วตอนนี้จะให้ตนยอมรับน้ำใจจากนางได้อย่างไรต่อให้ขนมตรงหน้าจะดูเย้ายวนใจมากก็ตาม จางหลินซื่อไม่ไว้หน้าหลี่เหอฮว๋า “เหอะ เจ้าเป็นคนมีน้ำใจดีงามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ข้าไม่กล้ากินอาหารของเจ้าหรอก กลัวว่าเจ้าจะวางยาข้า!”
หลี่เหอฮว๋าเงียบงันไปชั่วขณะ ทำเป็นไม่ใส่พลางพูดเสียงเบา “พวกท่านกินกันเถิด ข้าจะกลับห้องแล้ว” หลังกล่าวจบนางก็หันหลังกลับเข้าห้องเก็บฟืนไป
ช่างเถิด นางมีมารยาทให้ แต่หากพวกเขาไม่ต้องการกินก็ไม่เป็นไร นางไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ
ในลานบ้านจางหลินซื่อกับจางชิงซานมองตามหลังหลี่เหอฮว๋าที่เดินกลับเข้าห้องเก็บฟืนไป จากนั้นก็หันกลับมามองขนมบนโต๊ะ นัยน์ตาของพวกเขามีแววลังเล
ขนมนี่ไม่เพียงแต่ดูดีแต่กลิ่นยังยั่วยวนใจอีกด้วย ขนมดูน่ากินแต่จะกินของที่หญิงผู้นั้นเป็นคนทำไม่ใช่ว่า...
ถึงตอนนี้จางเถียซานก็หยิบขนมไข่ขึ้นมาหนึ่งชิ้น “ท่านแม่ ชิงซาน กินเถิด”
เห็นเขาพูดเช่นนี้ จางหลินซื่อกับจางชิงซานหันไปสบตากันก่อนจะยื่นมือไปหยิบขนมขึ้นมาคนละชิ้นโดยไม่ลังเลอีก
กินสิ! เหตุใดจะไม่กินเล่า หญิงผู้นั้นละโมบเอาเงินของครอบครัวพวกเขาไปตั้งมากมาย ขนมไข่อะไรนี่ทำไมจะกินไม่ได้เล่า
ทันทีที่กัดขนมเข้าไปพวกเขาต่างก็ตะลึงงันไปพร้อมๆ กัน จางเถียซานยังไม่เท่าไหร่ แต่แววตาที่คาดไม่ถึงของจางหลินซื่อกับจางชิงซานนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน
ขณะที่เคี้ยวขนมจางชิงซานก็ชำเลืองมองไปที่ห้องเก็บฟืน คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “นางเป็นคนทำขนมนี่จริงๆ หรือ? นางทำขนมที่อร่อยถึงเพียงนี้เป็นด้วยหรือ?”
จางหลินซื่อก็สงสัยเช่นกัน ทว่านางดีรู้ว่าขนมนี้ไม่ได้ซื้อมาแน่ๆ เพราะนางไม่เคยเห็นขนมไข่ชนิดนี้มาก่อนเลย ขนมถั่วแดงแบบนี้นางเคยเห็นมาก่อนแต่ไม่มีรสชาติดีเช่นนี้
จางเถียซานกินขนมเข้าไปแล้วนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะบิขนมเป็นชิ้นเล็กๆ ป้อนไปที่ปากของบุตรชายที่ตนอุ้มไว้ในอ้อมแขน “ชูหลิน กินขนม”
ชูหลินตอบสนองกับคำพูดของจางเถียซานเสมอมา เขาอ้าปากรับขนมที่จ่ออยู่ที่ปากของตนอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ค่อยๆ เคี้ยวขนม เขาไม่มีท่าทีปฏิเสธแต่อย่างใด แม้จะเคี้ยวอย่างช้าๆ แต่ก็เห็นได้ว่าเขากินอย่างเอร็ดอร่อย
จางเถียซานอดคิดถึงเกี๊ยวทอดในตอนเช้าไม่ได้ ตอนนั้นก็เป็นอย่างนี้ ชูหลินกินอย่างอร่อยจนหมดจานและไม่อาเจียนออกมาเลย
ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถในการทำอาหารเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
......................................
ในห้องเก็บฟืนหลี่เหอฮว๋ากำลังจัดของที่นางจะนำไปขายในเมืองวันพรุ่งนี้ หลังจัดเตรียมเสร็จจึงกินขนมเข้าไปหนึ่งชิ้น จากนั้นก็เริ่มทำโยคะจนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยทั้งได้เหงื่อแล้วจึงได้หยุด ถึงเวลานี้ด้านนอกเงียบสงัดลงแล้ว นางจึงเดินไปที่ห้องครัวเพื่อต้มน้ำอาบ
เช้าวันต่อมาหลี่เหอฮว๋าตื่นขึ้นตั้งแต่ท้องฟ้าเริ่มมีแสงแรก หลังล้างหน้าบ้วนปากง่ายๆ ใช้เวลาไม่นานนักนางก็เดินมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง ตอนที่ไปถึงฟ้าสว่างแล้ว ตลาดเริ่มมีบรรยากาศคึกคัก
หลี่เหอฮว๋านั่งยองๆ บริเวณที่ค่อนข้างสะอาดสะอ้าน วางตะกร้าลงแล้วเปิดผ้าสีขาวที่คลุมเอาไว้ออกให้เห็นขนมถั่วแดงและขนมไข่ที่อยู่ภายใน จากนั้นก็หยิบห่อกระดาษน้ำมันออกมาแล้วเปิดออก ด้านในเป็นขนมที่ถูกตัดไว้เป็นชิ้นเล็กๆ หลี่เหอฮว๋าตัดขนมเตรียมไว้ตั้งแต่อยู่ที่บ้านเพื่อเตรียมไว้ให้ลูกค้าได้ชิม
หลังเตรียมทุกอย่างพร้อม หลี่เหอฮว๋าเปิดปากตะโกนขึ้น “ขายขนมไข่กับขนมถั่วแดง ขนมไข่ขนมถั่วแดงหอมอร่อยชิ้นใหญ่ๆ ชิมได้เลยไม่ต้องเสียเงิน ไม่อร่อยไม่ต้องซื้อ!”
พอได้ยินหลี่เหอฮว๋าพูดว่าชิมได้ไม่ต้องเสียเงินหลายๆ คนได้ให้ความสนใจโดยเฉพาะพวกเด็กๆ พวกเขาจับจ้องขนมที่น่าอร่อยเหล่านั้นจนน้ำลายสอทั้งกระโดดโหยงแหยงทั้งตะโกน “ข้าอยากกิน ข้าอยากกิน”
เมื่อพวกผู้ใหญ่เห็นเด็กๆ ที่บ้านตนอยากกินจึงเอ่ยถาม “ขนมนี่ขายอย่างไร?”
หลี่เหอฮว๋าตอบ “ขนมถั่วแดงกับขนมไข่ขายชิ้นละ 2 อีแปะเจ้าค่ะ”
พอบางคนได้ยินว่าราคา 2 อีแปะคิดว่าแพงจึงพากันส่ายหน้า
หลี่เหอฮว๋าพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นขนมสูตรลับของบรรพบุรุษ รับประกันได้ว่ารสชาติชั้นหนึ่ง ขนมของข้าแต่ละชิ้นขนาดไม่เล็กเลยนะเจ้าคะขายชิ้นละ 2 อีแปะเท่านั้นถูกกว่านี้ไม่ได้แล้ว พวกท่านลองชิมกันก่อน หากไม่อร่อยพวกท่านไม่ต้องซื้อ” ว่าแล้วหลี่เหอฮว๋าก็แจกจ่ายขนมในมือไปให้ทั้งพวกเด็กๆ และพวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย
สุดท้ายเป็นไปตามที่หลี่เหอฮว๋าคาดการณ์ไว้ ทุกคนที่ได้กินเห็นด้วยว่าขนมอร่อย พวกเด็กๆ ร่ำร้องอยากกินอีก
หลังจากนั้นหลี่เหอฮว๋าต้องหยุดตะโกนเพราะมัวแต่ยุ่งกับการห่อขนมให้คนที่เข้ามาซื้อ พอผู้อื่นเห็นว่าตรงที่นางยืนอยู่ดูคึกคัก ผู้คนที่โดยรอบที่ผ่านมาต่างตามกันเข้ามามุงดูด้วย
หลี่เหอฮว๋าขายขนมวันแรกไม่กล้าทำมามากนัก ทำมาเพียงตะกร้าเดียวและขายหมดภายในเวลาครึ่งชั่วยาม บางคนที่ซื้อไม่ทันพาลอารมณ์เสีย
“ทำไมเจ้ามีมาขนมน้อยนักเล่า? พวกข้าก็อยากซื้อยังไม่ทันได้ซื้อเลย!”
หลี่เหอฮว๋ายิ้มอย่างขออภัย “ข้าต้องขออภัยทุกท่านด้วยวันนี้ข้าทำมาน้อย แต่ไม่เป็นไรนะเจ้าคะพรุ่งนี้ข้าจะกลับมาขายอีก หากพวกท่านอยากกินก็มาซื้อได้”
หลายๆ คนที่อยากซื้อแต่ซื้อไม่ทันได้ยินคำพูดของหลี่เหอฮว๋าค่อยรู้สึกโล่งใจและตัดสินใจจะมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้
หลี่เหอฮว๋ามองตะกร้าที่ว่างเปล่าแล้วยิ้มอย่างมีความสุข นางหิ้วตะกร้าขึ้นมาเดินตรงไปซื้อถั่วแดงและไข่เพื่อเตรียมวัตถุดิบสำหรับพรุ่งนี้ ตอนนี้นางต้องการจะซื้อของให้มากขึ้นอีกเพื่อทำขนม 2 ตะกร้ามาขายในวันพรุ่งนี้
ซื้อของเรียบร้อยแล้วหลี่เหอฮว๋าก็เดินอารมณ์ดีกลับบ้าน ทันทีที่เข้าไปบ้านนางตรงไปที่ห้องเก็บฟืนพร้อมกับลงกลอนประตู จากนั้นก็เทเงินที่อยู่ในแขนเสื้อทั้งหมดลงไปบนเตียง ได้ยินเพียงเสียงกระทบกันของเหรียญทองแดง
หลี่เหอฮว๋าตาหยีลงด้วยความดีใจ นางเริ่มต้นนับเหรียญทีละเหรียญ มีเงินอยู่ทั้งสิ้น 50 อีแปะ หลังหัดต้นทุนและเงินที่ซื้อวัตถุดิบมาวันนี้ นางมีเงินเหลือเก็บ 30 อีแปะ
หลี่เหอฮว๋าไม่เคยชอบเงินมากเท่ากับเวลานี้มาก่อนเลย นางอดกลิ้งตัวลงไปบนเตียงที่มีเงินกองอยู่ไม่ได้
หลังความตื่นเต้นดีใจผ่านพ้น หลี่เหอฮว๋านำเชือกมาร้อยเงินเข้าด้วยกันเป็นพวง จ้องมองมันอย่างสะท้อนใจเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจลุกขึ้นเดินออกไปหาจางเถียซาน
นางตั้งใจจะคืนเงินจางเถียซาน นางไม่ชอบติดค้างเงินใคร
จางเถียซานไม่อยู่บ้าน หลี่เหอฮว๋าเฝ้ารอเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเห็นเขากลับมาพร้อมกับถังน้ำ นางรีบเดินตามเขาเข้าไป เมื่อเขาเทน้ำใส่ลงไปในถังเรียบร้อย นางจึงยื่นเงินไปให้เขา “นี่ นี่คือเงินของเจ้า”
จางเถียซานก้มมองเหรียญทองแดงที่ยื่นมาตรงหน้าตนก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันมาใส่ไว้ในอกเสื้อของตนด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ จากนั้นก็หิ้วถังน้ำออกไปอีก
หลี่เหอฮว๋าไม่สนใจ อย่างไรเมื่อได้คืนเงินให้นางก็รู้สึกสบายใจแล้ว นางเดินกลับไปที่ห้องเก็บฟืนแล้วนอนพักบนเตียง หลังจากที่คนอื่นๆ ในบ้านจางกินอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยนางถึงค่อยได้ออกไปทำขนม