"เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ" สวี่เฉียวหลีส่ายหน้า ความสนใจส่วนใหญ่ของเธอไปอยู่ที่ผู้ชายขยะคนนั้นหมดแล้ว จึงไม่ได้สนใจฟังว่าทั้งสองคุยเรื่องอะไรกัน ในใจอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้
"อ้อ...ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว" สวี่สี่ชิงขมวดคิ้วมุ่น หน้าตาของเธอดูคล้ายพ่อบุญธรรมตรงที่มีความสง่าผ่าเผย แต่ก็ยังคงความสวยธรรมชาติอยู่ คาดว่ารูปลักษณ์อีกส่วนหนึ่งน่าจะถูกถ่ายทอดมาจากแม่ของเธอ
“ไปกันเถอะค่ะ หนูหิวจะตายอยู่แล้ว พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ!” สวี่เฉียวหลีพูดจาออดอ้อน เธอหิวแล้วจริงๆ อยู่โรงพยาบาลวันๆ ได้กินแต่ข้าวต้ม กินจนจะกลายเป็นเทพเจ้าโจ๊กอยู่แล้ว! ตอนนี้เธอโหยหาปลาและเนื้อจำนวนมากมาเติมท้องอันว่างเปล่า อีกอย่างร่างกายนี้ก็ผอมบางเกินไป หากไปคิดบัญชีคนพวกนั้นในสภาพแบบนี้ เกรงว่าสุดท้ายเธอจะไม่เหลือกระดูกแม้แต่ชิ้นเดียว
“ได้ๆๆ ไปกันๆ” คุณนายสวี่ยิ้มแย้มอย่างเอ็นดู ดูเหมือนลูกสาวของเธอจะรู้ความมากขึ้น ดูเป็นคนมีเหตุมีผลขึ้นทันตา อีกทั้งความงี่เง่าเอาแต่ใจก็ไม่มีให้เห็นอีกด้วย
สวี่เฉียวหลีคงจะหิวมาก ทันทีที่อาหารมาถึงก็กินอย่างตะกละตะกลาม มีอะไรให้กินก็กินราวกับวิญญาณหิวโหยกลับชาติมาเกิด
แม้แต่พนักงานที่มาเสิร์ฟอาหารก็ยังต้องตกตะลึง ไม่น่าเชื่อว่าในร้านอาหารหรูเช่นนี้จะมี...เด็กสาวที่กินข้าวโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ตัวเองแบบนี้อยู่ด้วย
สมาชิกตระกูลสวี่ต่างยิ้มหัวเราะให้กับท่าทางของสวี่เฉียวหลี พลางเอ่ยปากบอกเธอให้กินช้าๆ แต่ก็ยังตักผักใส่ชามของเธอแบบยกใหญ่อีกด้วย เพราะกลัวว่าเธอจะกินไม่อิ่ม
“เฉียวหลี อิ่มแล้วเหรอ?” คุณสวี่คลี่คลี่ยิ้ม มองดูลูกเลี้ยงที่นั่งลูบพุงตัวเอง
“อืม ใกล้อิ่มแล้วค่ะ” ตอนนี้สวี่เฉียวหลีเพิ่งจะตระหนักว่าพ่อแม่และพี่สาวไม่ค่อยทานอาหารเท่าไหร่ ส่วนเธอกลับกินเอาๆ โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของตัวเอง
ในชาติก่อน สิ่งที่เธอกินจนอ๊วกก็คือสลัดผลไม้และอาหารลดน้ำหนักต่างๆ ไม่ค่อยได้กินเนื้อปลาเนื้อสัตว์อะไรแบบนี้เลยจริงๆ พอกลายเป็นสวี่เฉียวหลีก็ยังได้กินแต่โจ๊กในโรงพยาบาลจนเกือบเดือนอีก ดวงตาแห่งความหิวโหยก็เลยพร่ามัว…
“ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไร กินได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว กินเยอะๆ หน่อยถึงจะดี ดูรูปร่างผอมแห้งแรงน้อยของลูกสิ เดี่ยวคนก็คิดว่าพวกเราทารุณลูกหรอก” คุณสวี่เห็นท่าทางเขินอายของลูกสาวแล้วหัวเราะดังลั่น
“พ่อกับแม่และพี่ก็ควรจะกินเยอะๆ ด้วยถึงจะดี” สวี่เฉียวหลีฉีกยิ้ม
“พวกเรากินกันเกือบอิ่มแล้วล่ะ แต่พ่อมีเรื่องหนึ่งที่ได้ปรึกษากับแม่ของลูก ว่าจะ...”
“พ่อมีเรื่องอะไรก็พูดมาเลยค่ะ!”
คุณสวี่และคุณนายสวี่สบตากันก่อนจะเอ่ยว่า “ว่าจะให้ลูกย้ายโรงเรียน”
สวี่เฉียวหลีทำหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ อาจเป็นเพราะพ่อกับแม่รู้แล้วว่าเธอได้รับความทรมานจากความรุนแรงในโรงเรียน
แต่การหาทางออกโดยการย้ายโรงเรียนคือวิธีของคนขี้คลาด เธอต้องการทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าของร่างเดิม ดังนั้นจึงไม่สามารถหนีปัญหาได้ “ไม่ต้องหรอกค่ะ พ่อกับแม่กังวลเรื่องของหนูมามากพอแล้ว หนูเข้าใจเจตนาของพ่อกับแม่ดี แต่หนูมั่นใจว่าตัวเองสามารถจัดการได้ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หนูบอกกับแม่แล้วไงคะ ว่าจะไม่เป็นดอกไม้ในเรือนกระจกอีกต่อไปแล้ว”
คุณสวี่และคุณนายสวี่พากันถอนหายใจในทันที ในใจรู้สึกอธิบายไม่ถูกเล็กน้อย เป็นพ่อแม่แต่ช่วยเหลือลูกไม่ได้ จึงย่อมรู้สึกไม่สบายใจเป็นธรรมดา แต่ลูกสาวเองก็นับว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลยอดรู้สึกปลื้มใจขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
ทว่าด้านสวี่ชี่ชิงสีหน้ากลับดูไม่เป็นสุข คอยสังเกตน้องสาวไปด้วยเป็นครั้งคราว น้องสาวที่ขี้ขลาดคนเดิมคนนั้นหายไปแล้ว และกลายมาเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ การแสดงออกของเธอเต็มไปด้วยความหมายที่ซับซ้อน
ปฏิกิริยาของสวี่สี่ชิงอยู่ในสายตาของสวี่เฉียวหลีทั้งหมด เธอค่อนข้างมั่นใจในความคิดของตัวเองว่าพี่สาวคนนี้น่าจะมีเรื่องปิดบังน้องสาวอยู่จริงๆ
ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้นก็กลายเป็นปัญหาที่ทำให้เธอกังวลใจมากขึ้นไปอีก
หลังจากกลับจากโรงพยาบาล สวี่เฉียวหลีถูกสั่งให้อยู่บ้านเป็นเวลาเกือบสองเดือนถึงจะไปโรงเรียนได้
โชคดีตอนที่เกิดเหตุ เธออยู่ในช่วงท้ายเทอมของชั้นมัธยมปลายปีที่สองแล้ว ตอนนี้จึงเป็นช่วงเปิดเทอมของชั้นมัธยมปลายปีที่สามพอดี
แต่เธอไม่กังวลว่าการเรียนจะตกต่ำหรือไม่ อย่างไรชาติที่แล้วเธอก็นับว่าเป็นเด็กหัวกะทิ แต่เธอกลับกังวลว่า พวกที่ทำร้ายเธอจะย้ายโรงเรียนหนีไป โชคดีที่เธอขอให้อาหลี่ไปถามจากทางโรงเรียนมาแล้วว่าคนพวกนั้นยังไม่ได้ย้ายหนีไปแต่อย่างใด จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมทั้งรู้สึกเอือมระอาว่าคนพวกนี้ใจกล้าจริงๆ ตอนนี้เธอไม่ใช่ปลาตัวเล็กที่จะปล่อยให้ใครมารังแกง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว
อาหลี่เป็นพ่อบ้านของตระกูลสวี่ และนับว่าเป็นคนที่เลี้ยงดูสวี่เฉียวหลีมาจนเติบใหญ่ ก่อนหน้านี้คุณนายสวี่บอกว่าหากอยากให้ช่วยอะไรก็ไปบอกอาหลี่ได้เลย เขารู้ทุกเรื่อง
สวี่เฉียวหลีไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับอาหลี่มากนัก แต่จากความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิมแล้วน่าจะสนิทสนมกันมากทีเดียว
อาหลี่ทั้งเป็นห่วงและโล่งใจเกี่ยวกับอุบัติเหตุในครั้งนี้ ที่ห่วงคือกลัวว่าคุณหนูจะร่างกายสมประกอบดีไหม แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรร้ายแรง ทั้งยังรู้สึกดีใจเพราะคุณหนูดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รู้ความมากขึ้นในชั่วข้ามคืน จากเด็กเอาแต่ใจก็เปลี่ยนไปในทางที่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ความอยากอาหารของคุณหนูก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย และร่างกายที่ผอมกะหร่องในตอนแรกก็ดีขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน แม้ว่าจะยังดูผอมอยู่ แต่ก็ไม่เหมือนกับหนังหุ้มกระดูกแบบเดิมนั่นแล้ว
นอกจากนี้ใบหน้าที่ผอมซูบในตอนแรกก็ดูอวบอิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังสามารถเห็นรูปคางอันคมชัดได้อยู่ หน้าตาที่สะสวยเป็นทุนเดิม ตอนนี้ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
แต่จุดที่น่าแปลกใจคือคุณหนูนำเสื้อผ้าที่มีอยู่ไปบริจาคจนเกลี้ยง
เธอบอกว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นมอซอเกินไป เสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่นั้นทันสมัยกว่า ความคิดของคุณหนูไม่เหมือนความคิดของเด็กนักเรียนอยู่ดี
ทุกวันนี้คุณหนูยังไปออกกำลังกายที่ห้องฟิตเนสอีกด้วย หากเป็นสวี่เฉียวหลีคนก่อน เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วจะขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมาข้างนอกเลย
สองเดือนของการพักฟื้นทําให้สวี่เฉียวรู้สึกดีขึ้นเยอะมาก ความเคร่งครัดในชาติก่อนทําให้เธอไม่เคยได้ดื่มด่ำกับวันหยุดมากนัก
ชีวิตที่กินอิ่มนอนหลับแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายดีเหมือนกัน
เมื่อถึงวันแรกของการไปโรงเรียน สวี่เฉียวหลีตั้งใจแต่งหน้าบางๆ โดยใช้คอนซีลเลอร์แต้มไปบนริมฝีปากของตัวเอง ทําให้เธอดูเหมือนคนป่วยเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับดูสำออยแกล้งป่วยแบบนั้น แต่กลับน่ารักอ่อนหวานมากกว่า
เธอมองดูตัวเองในกระจก ค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย ไม่ผอมเป็นซี่ไม้เหมือนตอนที่อยู่โรงพยาบาลแล้ว
ตอนออกจากบ้านเธอตั้งใจสวมหน้ากากปิดบังหน้าตาของตัวเองเอาไว้ ที่โรงเรียนมีรถรับส่งพิเศษ แต่จากความทรงจำ เธอถูกรังแกมาตลอดจึงไม่เคยขึ้นรถโรงเรียนเลยสักครั้ง ตอนที่เป็นสวี่ซินหราน ตระกูลจางและแม่บุญธรรมขอให้เธอเรียนโฮมสคูลที่บ้าน เธอจึงยังไม่เคยสัมผัสบรรยากาศของการเข้าเรียนในห้องเรียนเลยสักครั้ง ถ้าอย่างนั้นก็ลองใช้โอกาสนี้สัมผัสประสบการณ์วัยรุ่นดูหน่อยแล้วกัน
คิดได้ดังนั้น เธอจึงย่ำเท้าเดินไปยังจุดรอรถโรงเรียนอย่างอารมณ์ดี ไม่ช้าก็เห็นรถบัสคันหรูขับเข้ามาจอดเทียบ สวี่เฉียวหลีจงใจดึงกระโปรงนักเรียนขึ้นเล็กน้อยเพื่อเผยให้เห็นขาอันเรียวยาว เธอตั้งใจสวมถุงน่องคู่นี้มาโดยเฉพาะ กระโปรงสั้นวับๆแวมๆของเด็กสาววัยรุ่นเป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้ชายได้มากที่สุด
ในตอนนั้นแม่บุญธรรมเป็นคนสอนสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จะว่าไปแล้ว แม่บุญธรรมก็สอนเธอหลายอย่างอยู่เหมือนกัน ทั้งเรื่องมารยาท วิธีทำให้ผู้ชายหวั่นไหว และอื่นๆ จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าขันจริงๆ
สิ่งที่เธอต้องการทำคือการทำตัวให้โดดเด่น แต่ไม่ควรเด่นสะดุดตาเกินไป ยังให้คนพวกนั้นเห็นหน้าตาเธอตอนนี้ไม่ได้ รอยแผลเป็นบนร่างกายของเธอนั้นยากจะลบเลือน ทำได้เพียงปกปิดไว้ชั่วคราวเท่านั้น
ทันทีที่เธอขึ้นรถโรงเรียนก็เป็นไปตามคาด สายตาจำนวนมากจับจ้องมาที่เธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สวี่เฉียวหลีไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด เพราะอย่างไรเธอก็เคยเป็นดารามาก่อน จึงรับมือกับสายตาแบบนี้ได้สบายๆ
เมื่อกวาดตามองคนบนรถราว ๆ เจ็ดแปดคน ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ทำไมที่นั่งยังเหลือว่างหลายที่ล่ะ? แต่พอคิดอีกที โรงเรียนลูกคนรวยแบบนี้ ปกติก็ไม่ค่อยมีใครขึ้นรถโรงเรียนกันหรอก จากนั้นเธอก็มองหาที่นั่งแล้วนั่งลงเงียบๆ
บนรถที่เดิมทีก็ค่อนข้างเสียงดังอยู่แล้ว ตอนนี้เพิ่มเสียงซุบซิบเข้ามาอีก หลายคนเริ่มคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของเด็กสาวแปลกหน้าคนนี้
เด็กสาวผมสีชมพูที่นั่งหลับตาบนรถขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ลืมตาขึ้น ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางอ่อนๆ ดูงดงาม รูปร่างสะโอดสะองสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนเดียวกันแต่กลับห่อหุ้มร่างที่มีส่วนเว้าโค้งนั้นให้ดูอรชรได้แบบนี้ ดวงตาเฉยชากวาดมองในรถ ก่อนจะเหลือบตามองเป็นเชิงตั้งคำถามไปยังเด็กชายตัวอ้วนที่อยู่ด้านข้าง
“เอ่อ มีคนใหม่ขึ้นมาบนรถน่ะ” เด็กชายตัวอ้วนพูดอย่างนอบน้อม
“ไอ้อ้วน ใครขึ้นมาก็ไม่รู้เหรอ! รถคันนี้เป็นรถส่วนตัวของลูกพี่เรา แกควรจะไล่มันลงรถไปไม่ใช่เหรอ? แกอยากจะให้ลูกพี่หายใจร่วมกับคนแบบนั้นเรอะ?” เด็กสาวแต่งหน้าหนาเตอะที่นั่งอยู่ด้านข้างของเด็กสาวผมสีชมพูดขึ้น ขณะพูดก็เบ้ปากไปด้วย นิ้วมือม้วนผมสีช็อกโกแลตที่ดัดเป็นลอนใหญ่ของตัวเองไปมา ยืดลำคอเรียวขาวขึ้นตรง ราวกับหงส์ที่หยิ่งผยองอยู่ตลอดเวลา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอก็หน้าตาสวยเหมือนกัน เพียงแต่ถูกเครื่องสำอางหนาเตอะฉาบเอาไว้จนสูญเสียความสวยใสที่เด็กผู้หญิงควรมีไปแล้ว
“เอ่อ คือว่า...” เด็กชายตัวอ้วนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาตี่ดุจเส้นด้ายของเขาพินิจมองไปยังเด็กหญิงร่างผอมบางที่อยู่ตรงหน้า แค่มองก็รู้ว่าเป็นเด็กสาวที่ถูกรังแกได้ง่ายคนหนึ่ง ในใจรู้สึกทนไม่ได้ ใบหน้าจ้ำม้ำจึงเต็มไปด้วยความลำบากใจ
“ยังไม่รีบไปอีก ไอ้หมูอ้วนเอ้ย!” เด็กหญิงผมสีช็อคโกแลตคนนั้นยังคงพูดต่อ เธอยกขาเรียวขึ้น และถีบหลังเก้าอี้ของเด็กชายอ้วนอย่างแรง
“ได้ๆๆ” เด็กชายอ้วนหน้าคล้ำเขียวเหมือนผัก รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาในทันที แล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าสวี่เฉียวหลีอย่างกล้าๆ กลัวๆ
สวี่เฉียวหลีได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่หมดแล้ว เธอนึกดูแคลนพฤติกรรมของเด็กเหล่านี้อยู่ในใจ เป็นคนเหมือนกันแท้ๆ แต่กลับคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น
พอเห็นแบบนี้แล้ว สังคมในโรงเรียนนี้ต้องมีปัญหาหนักมาก แม้ว่าตระกูลสวี่จะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการจัดการกับคนเหล่านี้ หากเป็นโรงเรียนลูกคนรวย เมื่อพูดถึงเรื่องอำนาจบารมีของครอบครัวแล้ว ครอบครัวของสวี่เฉียวหลีคงเปรียบได้กับมดปลวกของที่นี่อย่างแน่นอน “พะ...เพื่อน...เพื่อนคนนั้นน่ะ ขอโทษนะ เธอคงนั่งรถคันนี้ไม่ได้” เด็กชายอ้วนพูดเสียงแผ่วเบามาก เขาแทบจะเอาศีรษะมุดเข้าไปในเสื้อตัวเองอยู่แล้ว