ตอนที่ 63: ฉันต้องการลุง
ลี่เจินเจินเริ่มโกรธแล้ว เธอเกลียดกู้หนิงจนแทบคลั่ง ตอนนี้ฉินอี้ฟานยังเชิญชวนกู้หนิงไปทานอาหารกลางวันด้วยกันอีก
“ถ้าเธอไม่อยากให้ฉินอี้ฟานเกลียดเธอ ระวังกิริยาไว้บ้าง พวกเราค่อยจัดการกู้หนิงทีหลัง” ลี่เจินหยูเอ่ยเตือน
เขาต้องการให้ลี่เจินเจินลงเอยกับฉินอี้ฟาน เพราะมันจะช่วยตระกูลลี่อย่างมาก
ดังนั้นเขาจึงไม่ชอบกู้หนิงที่แย่งความสนใจจากฉินอี้ฟานและแข่งกับลี่เจินเจิน ว่ากันตามจริงแล้วเขาเกลียดกู้หนิงเพราะเงินสิบล้านหยวน
สิบล้านหยวนเป็นจำนวนเงินไม่มากสำหรับครอบครัวเขา แต่มันก็ใช้ทำอะไรได้หลายอย่าง เขาคงโกหกถ้าบอกว่าเขาไม่สนใจมันเลย
ลี่เจินเจินตกใจแต่ก็รู้สึกดีใจ
ใช่แล้ว ถ้าเธออยากจะจัดการกู้หนิง เธอควรจะทำมันเงียบๆอย่ากระโตกกระตาก
เมือง G เป็นบ้านเกิดของลี่เจินเจิน เธอรู้ลู่ทางที่จะจัดการกู้หนิง นอกจากนี้เธอยังรู้จักพวกอันธพาล มันง่ายมากที่จะทำร้ายกู้หนิงในสายตาลี่เจินเจิน
เมื่อคิดได้แบบนั้น ลี่เจินเจินก็เริ่มผ่อนคลายลง
“อย่าดีกว่าค่ะ ฉันมีบางอย่างต้องจัดการต่ออีก ขอบคุณมาก” กู้หนิงบอกปัดคำเชิญฉินอี้ฟาน
“ก็ได้” ฉินอี้ฟานไม่เซ้าซี้ “แล้วคุณจะมาที่นี่อีกรึเปล่า?”
“ไม่ค่ะ ไม่กลับมาแล้ว” กู้หนิงตอบ หยกที่ดีที่สุดอยู่ในมือเธอแล้วตอนนี้ มีหยกเหลืออยู่ไม่มากในร้านนี้ เธอใช้ตาทิพย์เพื่อหาเงิน มันคงเป็นการเห็นแก่ตัวถ้าเธอจะเอาหยกทุกก้อนที่มีในร้านเป็นของตัวเอง
ฉินอี้ฟานยอมแพ้ในที่สุด เขาเพียงแต่เอ่ยเตือนกู้หนิงว่าถ้ามีปัญหาให้มาหาเขาได้ทันที
“คุณหนูกู้ พวกเราไปโอนเงินกันเถอะ” โจวเจิ้งหงยังยืนอยู่ข้างๆกู้หนิงตลอดเวลา เมื่อรู้ว่าเธอกำลังจะจากไป เขาต้องจัดการโอนเงินให้เรียบร้อย
“พวกเราไม่ต้องรีบหรอกค่ะลุงโจว ไปกินข้าวเที่ยงกัน”
“ดี” โจวเจิ้งหงไม่ปฏิเสธ เงินของกู้หนิงก็ยังอยู่ในบัญชีของเขาต่อไป
ระหว่างที่กำลังจะออกจากร้าน โจวเจิ้งหงก็ช่วยกู้หนิงถือก้อนหินที่ยังไม่ได้ถูกตัด
หลังจากที่กู้หนิงและคนอื่นๆจากไป ร้านก็เป็นที่นิยมและมีชื่อเสียง ทุกคนรู้ว่ามีหยกชั้นยอดถูกตัดจากก้อนหินร้านนี้ เมื่อทุกคนได้รับรู้ว่าเจ้าของหยกชั้นยอดคือเด็กสาววัยรุ่น ทุกคนต่างทึ่งไปตามๆกัน
กู้หนิงยังไม่มีแผนจะออกจากตลาดขายของเก่าตอนนี้ ดังนั้นเธอจึงเลือกร้านอาหารที่อยู่ข้างในตลาดและจองที่นั่งส่วนตัว
“คุณหนูกู้ ขอบคุณมากที่ช่วยลุงครั้งนี้! ถ้าไม่มีหนู ลุงคงต้องทิ้งหินก้อนนั้นแน่ แล้วลุงคงไม่มีเงินมากมายแบบนี้” โจวเจิ้งหงขอบคุณกู้หนิงทันทีที่พวกเขานั่งลง
กู้หนิงยิ้มแย้ม เธอไม่จำเป็นต้องปิดบังจุดปะสงค์ที่แท้จริงของตัวเธอเองแล้ว ดังนั้นเธอจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ลุงโจว ฉันไม่อยากจะโกหกลุง ที่ฉันช่วยลุงเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าลุงเป็นใคร”
ได้ยินแบบนั้นโจวเจิ้งหงยิ่งแปลกใจและงุนงง เธอทำเพราะมีจุดประสงค์? จุดประสงค์อะไร? ทำไม? ถึงแม้เธอจะรู้ว่าเขาเป็นใคร มันก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรที่ช่วยเขา เขาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างและมีฐานะยากจน เป็นผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง แล้วจุดประสงค์ของกู้หนิงคืออะไร?
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเธอมีจุดประสงค์บางอย่าง โจวเจิ้งหงก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเลยสักนิด เขารู้ว่ากู้หนิงไม่ใช่คนไม่ดี
“ทำไม?” โจวเจิ้งหงเอ่ยถาม
“เพราะว่าฉันอยากจะทำธุรกิจค้าอัญมณี แต่ฉันยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ ฉันไม่สามารถทำมันได้เอง ฉันต้องการผู้จัดการที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ถึงฉันจะไม่รู้จักลุงมากนัก แต่ลุงก็ไม่ได้วิ่งหนีไปพร้อมกับเงิน ลุงไม่ใช่คนเลว และจากความสามารถที่พัฒนาร้านอัญมณีโจวฝู ความสามารถของลุงก็ได้รับการยืนยันแล้ว ดังนั้นหลังจากที่รู้ว่าลุงเป็นใคร ฉันก็ต้องการลุงให้มาทำงานด้วย”
อะไรนะ? โจวเจิ้งหงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
เขาคาดไม่ถึงว่าเด็กสาววัยรุ่นจะมีความทะเยอทะยานอยากจะทำธุรกิจ และหนำซ้ำยังทดสอบเขาว่าเหมาะที่จะเป็นผู้จัดการรึเปล่า
แต่พวกเขาต่างเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันแค่ครั้งเดียว! ทำไมเธอถึงเชื่อใจเขามากขนาดนั้น?
“พวกเราเพิ่งเจอกันครั้งแรก ยังไม่ได้รู้จักมักจี่กัน ทำไมถึงเชื่อใจลุงล่ะ?” โจวเจิ้งหงเอ่ยถาม
“ค่ะ พวกเราเพิ่งเจอกันครั้งแรก และยังไม่ได้สนิทสนมกัน ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเชื่อใจลุงหรอกค่ะ แต่ฉันเต็มใจที่จะเชื่อลุง ถึงแม้ฉันจะเชื่อใจคนอื่นมากแค่ไหน แต่เรื่องทรยศหักหลังเป็นสิ่งที่ฉันยอมรับไม่ได้ ถ้าใครจริงใจ ฉันจะให้อนาคตที่สดใสกับเขา ถ้าใครทรยศ คนนั้นจะต้องตาย ไม่มีทางอื่น”
ได้ยินคำว่า ‘ตาย’ จากกู้หนิงที่ทำท่าราวกับว่าเป็นฆาตกร โจวเจิ้งหงเหงื่อตกราวกับว่าเขาถูกรายล้อมด้วยตวามตาย เขานั่งนิ่งแข็งทื่อกลั้นลมหายใจ
โจวเจิ้งหงเป็นนักธุรกิจที่มีความช่ำชองคนหนึ่ง เขาพบเจอกับคนหลากหลายแบบ และเขาสามารถตัดสินกู้หนิงจากบรรยากาศรอบๆว่าเธอเป็นคนที่แข่งแกร่งมีอำนาจเช่นเดียวกับคนโหดเหี้ยม
แน่นอนความโหดเหี้ยมเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของเธอ เธอเอาใจใส่ดูแลคนของเธอค่อนข้างมาก
เมื่อเผชิญหน้ากับคำเตือนกู้หนิง โจวเจิ้งหงกลับไม่ลังเล เขาเชื่อใจกู้หนิงอย่างเต็มที่
สำหรับโจวเจิ้งหง ถ้าเขาเลือกที่จะติดตามเธอแล้ว เขาจะไม่มีวันหักหลังเธอ เขาเป็นคนที่ซื่อตรงและซื่อสัตย์อย่างมาก
“บางที ลุงอาจจะมองฉันในแง่ไม่ดี และไม่อยากมีเด็กเป็นหัวหน้า หรือลุงอาจจะอยากเป็นนายตัวเอง และเริ่มต้นทำธุรกิจตัวเองอีกครั้ง แต่ฉันเชื่อว่าลุงเป็นคนฉลาดที่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ลุงจำเป็นต้องมีเงินจำนวนมากและวัตถุดิบในการเริ่มทำธุรกิจ แต่ลุงยังขาดทั้งสองอย่าง เชาผิงคงไม่อยู่เฉยและยอมให้ลุงทำธุรกิจง่ายๆแน่ บางทีลุงอาจจะจดทะเบียดจัดตั้งบริษัทไม่ได้ แน่นอนว่าลุงสามารถหนีจากจ้าวผิงไปอยู่เมืองอื่นได้ แต่ถ้าหากลุงมีเงินทุนและวัตถุดิบไม่พอ มันคงยากที่ลุงจะประสบความสำเร็จ”
และนี่เป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของโจวเจิ้งหงจริงๆ ถึงเขาอยากจะเริ่มทำธุรกิจใหม่อีกครั้งแค่ไหน เขาก็รู้ว่าไม่มีทางทำได้ง่ายๆ
ถ้าหากเขาต้องการหนีจากเชาผิงและไปอยู่เมืองอื่น เขาก็ยังขาดเงินและวัตถุดิบ เขาอาจจะทำพลาดอีกครั้งก็ได้
“และฉันสามารถสนับสนุนเงินและวัตถุดิบให้ลุงได้ ในสายตาของลุงอาจจะคิดว่าวันนี้ฉันแค่โชคดี แต่เชื่อเถอะว่าไม่ใช่ ฉันมีความสามารถของฉันเอง ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องเงินกับวัตถุดิบ ถ้าลุงยินดีรับข้อเสนอ ฉันจะแบ่งหุ้นให้ 20% แต่ลุงต้องรับผิดชอบงานบริษัททุกอย่าง คนทั่วไปจะรับทราบว่าลุงเป็นประธานบริษัทและมีสิทธิ์ทุกอย่างในฐานะประธาน ส่วนฉันจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง ลุงต้องปรึกษาฉันทุกเรื่องที่ลุงตัดสินใจไม่ได้”
ตอนที่ 64: หยกบิวตี้
ตอนนี้ดูเหมือนว่าโจวเจิ้งหงตกใจแทบสิ้นสติไปแล้ว
เขาไม่เคยสงสัยในความสามารถการพนันหินของกู้หนิง หลังจากรับรู้ว่าเธอมีทักษะของตัวเธอเอง เขาก็ยิ่งนึกชื่นชมเธอมากขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจที่สุดคือกู้หนิงยินดีให้เขาบริหารบริษัทและยังแบ่งหุ้นให้เขายี่สิบเปอร์เซนต์
ทำไมเธอถึงได้เชื่อใจเขามากขนาดนั้น?
ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากความสามารถของตัวเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโจวเจิ้งหงได้ตัดสินใจแล้ว
โดยไม่ลังเล โจวเจิ้งหงลุกขึ้นและมองไปยังกู้หนิง “คุณหนูกู้ ลุงยินดีจะติดตามคุณและไม่มีวันที่จะทรยศ”
ในขณะเดียวกัน โจวเจิ้งหงก็ได้ตัดสินใจที่จะทำให้บริษัทของกู้หนิงมีกำไรมากมายมหาศาล
สถานที่ในการตั้งบริษัทชั่วคราวจะอยู่ในเมือง G กู้หนิงมีแผนจะจัดตั้งสาขาหลักในเมืองหลวงเมื่อเธอเข้ามหาวิทยาลัย
เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่เธอคุ้นเคยและกำลังจะไปอยู่
แบรนด์สินค้าของเธอคือ ‘หยกบิวตี้’ และชื่อบริษัทของเธอคือ ‘หยกบิวตี้จิวเวอรี่’ ธุรกิจหลักคือหยก
ส่วนอัญมณีเช่นทอง เงินและอื่นๆ กู้หนิงวางแผนจะทำพวกมันด้วยในอนาคตแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
ตอนนี้กู้หนิงมีหยกชั้นยอดในมือ เธอตัดสินใจจะทำเครื่องประดับระดับไฮเอนด์ขาย เครื่องประดับที่ทำจากหยกระดับกลางราคาอย่างน้อยก็หลายแสนหยวน ถ้าทำจากหยกระดับสูงราคาอย่างน้อยก็หลักหลายล้านหยวนหรือมากกว่า
ถึงจะมีกลุ่มคนซื้อไม่มาก แต่ก็ทำกำไรได้มากหากขายได้หนึ่งชิ้น
โจวเจิ้งหงรับผิดชอบในการหาโรงงานและร้านค้าในเมือง G เขายังต้องจ้างพนักงานและซื้อเครื่องจักร
เขามีความรู้ในเรื่องนี้ดีกว่ากู้หนิง ดังนั้นกู้หนิงจึงไม่เข้าไปก้าวก่าย
โจวเจิ้งหงตัดสินใจจะใช้นักออกแบบเครื่องประดับคนเก่าของเขา เมื่อเจ้าของแบรนด์โจวฝูเปลี่ยนคน บรรดาพนักงานที่ติดตามเขาก็ลาออกไปด้วย
เป็นที่รู้ว่าโจวเจิ้งหงเป็นคนจิตใจดีและมีน้ำใจ พนักงานที่ทำงานร่วมกับเขาต่างก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน หลังจากเขาล้มละลาย พวกเขาก็คอยช่วยเหลือเขา
ถึงแม้การออกแบบเครื่องประดับของพวกเขาจะไม่ได้อยู่ในระดับท็อป แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดอยู่ในระดับสาม พวกเขาเพียงแต่ต้องการแพลตฟอร์มไว้ฝึกและพัฒนา
เงินทุนจดทะเบียนก้อนแรกในบริษัทคือหนึ่งร้อยล้านหยวนและอาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
สำหรับอุตสาหกรรมอัญมณี เงินทุนจดทะเบียนหนึ่งร้อยล้านหยวนถือว่ายังไม่มาก ค่อนข้างน้อยด้วยซ้ำไป เพราะมันต้องการเงินจำนวนมากไว้ซื้อก้อนหินดิบ แต่กู้หนิงไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เธอมีวัตถุดิบในมือแล้ว และพวกมันทั้งหมดมีมูลค่าถึงหกร้อยหรือเจ็ดร้อยล้านหยวน
ดังนั้นในแง่ของเงินทุนทั้งหมดเธอมีสินทรัพย์ประมาณเจ็ดร้อยล้านหยวนซึ่งเป็นธุรกิจขนาดใหญ่
และกู้หนิงยังคงใช้ตาทิพย์ในการเสาะหาหยก มันไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเงินไปเปล่าประโยชน์ในการกว้านซื้อหินดิบ
ตอนนี้กู้หนิงมีเงินสดสองร้อยล้านหยวน เธอลงทุนหนึ่งร้อยล้านหยวนสำหรับธุรกิจ และยังเหลืออีกหนึ่งร้อยล้านหยวน
เธอมีแผนจะผ่าหยกอีกสองก้อนและขายมันให้กับจ้าวหยูเฟิงและอาจารย์ฝู เธอก็จะมีเงินเพิ่มอีกประมาณเจ็ดสิบล้านหยวน
กู้หนิงขอให้โจวเจิ้งหงช่วยซื้ออพาร์ทเม้นต์ดีๆที่ตกแต่งแล้วใกล้ตัวเมือง G เมื่อเธอมายังเมือง G ในอนาคต เธอจะได้มีที่พัก
“โอ้ บอส เงินที่พวกเราขายหยกดอกชบาได้….” โจวเจิ้งเตือนความจำกู้หนิง ส่วนแบ่งกู้หนิงยังอยู่กับเข้าเก้าล้านหยวน
“ใช้เงินเก้าล้านหยวนซื้ออพาร์ทเมนต์ และที่เหลือแบ่งเอาไว้ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในบริษัท” กู้หนิงบอก
เธอไม่ให้เงินเก้าล้านหยวนกับคนอื่นโดยไม่มีที่มาที่ไปไม่ได้
“ครับ” โจวเจิ้งหงตอบ
หลังจากมื้อเที่ยง กู้หนิงก็บอกโจวเจิ้งหงว่าเธอต้องการตัดก้อนหินเพิ่ม
วันนี้กู้หนิงตัดก้อนหินเยอะแล้ว เธอไม่ต้องการตัดมันอีกต่อหน้าคนมากมาย เธอไม่อยากตกเป็นความสนใจ
โจวเจิ้งหงบอกเธอว่าร้านขายหินมีเครื่องเช่าและห้องส่วนตัวให้โดยเฉพาะ
จากนั้นทั้งสองก็เดินไปยังร้านขายหิน
ขณะนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายโมง
ระหว่างทางกู้หนิงก็โทรหาอาจารย์ฝูและจ้าวหยูเฟิง เธอถามที่อยู่พวกเขาและบอกว่าเธอมีหยกระดับสูงจะขาย
จ้าวอยูเฟิงไม่ได้อยู่บนถนนพนันหิน แต่เขาอยู่ในถนนขายของเก่า ในขณะที่อาจารย์ฝูกลับบ้านไปแล้ว แต่เมื่อเขาได้ยินว่ามีหยกระดับสูง เขาจึงรีบบอกว่าจะรีบมาให้เร็วที่สุด
ใช้เวลาค่อนข้างมากในการตัดหิน กู้หนิงจึงให้จ้าวหยูเฟิงรอเธอโทรหา
ส่วนอาจารย์ฝูเธอบอกให้เขาไม่ต้องรีบ เธอวางแผนจะตัดหินสามก้อน และมันอาจต้องใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง เธอจึงนัดอาจารย์ฝูบ่ายสามโมงครึ่ง
กู้หนิงตั้งใจให้จ้าวหยูเฟิงกับอาจารย์ฝูมากันคนละเวลา เธอเกรงว่าพวกเขาจะอยากได้หยกก้อนเดียวกันอีก และเธออยากจะหลีกเลี่ยงปัญหาด้วย
ถึงแม้จ้าวหยูเฟิงจะเป็นผู้ซื้อคนแรกซึ่งอาจจะไม่ยุติธรรมสำหรับอาจารย์ฝู กู้หนิงคิดว่าเธอจะให้หยกระดับสูงกับทั้งสองคน
เมื่อพวกเธอมาถึงร้านขายหิน พวกเธอก็เช่าเครื่องตัดและห้องส่วนตัวไว้สำหรับตัดหินโดยเฉพาะ
กู้หนิงหยิบหินก้อนขนาดครึ่งลูกฟุตบอลออกมาเป็นอันดับแรก จากนั้นอีกสองก้อนที่มีขนาดเท่ากับลูกแอปเปิ้ล พวกมันต่างมีหยกระดับสูงอยู่ข้างใน หนึ่งในก้อนเล็กมีหยกสีแดงอยู่ข้างในก้อนที่กู้หนิงเกือบพลาดไม่ได้มันมา
หยกแดงก้อนนี้ กู้หนิงตัดสินใจจะทำเป็นของขวัญให้กู้ม่านและกู้ชิง
กู้หนิงขีดเส้นที่หินก้อนใหญ่ จากนั้นก็ให้โจวเจิ้งหงเป็นคนตัด
ในระหว่างที่กู้หนิงกำลังเจียหินของเธอที่มีหยกสีแดงอยู่ข้างใน
แม้ว่าโจวเจิ้งหงจะเชื่อกู้หนิงไปแล้วว่าเธอมีทักษะในการเลือกหิน เขาก็ยังอดตื่นเต้นที่เห็นชั้นผิวหินสีเขียวไม่ได้
เมื่อหยกถูกตัดออกมา เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
เห็นแบบนั้นกู้หนิงก็อดยิ้มไม่ได้
ในขณะที่โจวเจิ้งหงเอาหยกออกมา หินอีกก้อนที่กู้หนิงกำลังเจียก็เผยสีให้เห็นเช่นกัน
โจวเจิ้งหงปรายตามอง เสียงของเขาสั่นเทา “ใช่หยกสีแดงหรือเปล่า?”
“ใช่” กู้หนิงตอบเสียงเรียบ
เมื่อได้ยินคำตอบ โจวเจิ้งหงเกือบกัดลิ้นตัวเอง เขาช็อคตาตั้ง
ส่วนหยกที่อยู่ในมือโจวเจิ้งหงมีขนาดเท่ากับสองกำปั้น
“นะ นี่คือ หยกแก้ว”
มันมีความโปร่งใสเพียงครึ่งเดียว ดังนั้นจึงจัดเป็นระดับสูงแต่ยังไม่ใช่ตัวท็อป
ในขณะเดียวกันหยกสีแดงของกู้หนิงก็ปรากกฎออกมาให้เห็น มันเรืองรองแสงสีแดง ผิวของมันเรียบลื่นและโปร่งใสดีเยี่ยม มันเป็นหยกหงอนไก่สีแดงระดับสูง
โจวเจิ้งหงประหนึ่งว่าถูกตีจากอาการช็อคอีกครั้ง เขาไม่อาจดึงสติกลับมาได้
“ช่วยตัดชิ้นสุดท้ายด้วยค่ะ” กู้หนิงไม่มีเวลาแล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องเรียกสติโจวเจิ้งหง
โจวเจิ้งหงกลับมามีสติอีกครั้ง และตัดหินก้อนสุดท้ายอย่างไว
ถึงแม้เขาจะพอคาดได้ว่าจะมีหยกอยู่ข้างใน เขาก็ยังตื่นเต้นที่เห็นชั้นผิวสีเขียวอยู่ดี