ตอนที่ 157: เสียมารยาท!
“แล้วคุณไม่น่าขำตรงไหนคะ? ฉันไม่รู้หรอกนะว่าใครบอกคุณเรื่องฉันกับฉินอี้ฟาน แต่ฉันขอบอกคุณตรงนี้เลยว่าพวกเราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น พวกเราไม่ใช่แฟนกัน” กู้หนิงก้มมองไปที่ฉินอี้ฉิงด้วยความมั่นใจ ฉินอี้ฉิงโมโหกับท่าทางอวดดีของเธอ
ฉินอี้ฉิงยังไม่ทันได้ตอบ กู้หนิงก็พูดต่อว่า “และฉันก็ไม่สนเช็คห้าแสนของคุณหรอก ความจริงแล้วฉินอี้ฟานซื้อหยกจักรพรรดิและหยกฮกลกซิ่วจากฉันค่ะ!”
แม้ว่ากู้หนิงอยากจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่เธอไม่ยอมให้ฉินอี้ฉิงดูถูกเธอในที่สาธารณะได้ เธอต้องปกป้องตัวเอง
กู้หนิงรู้ว่าคนรวยไม่มีวันชอบคนจน แต่เธอไม่อาจยอมรับการดูถูกได้เช่นกัน
“อะไรนะ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอี้ฉิงก็ค่อนข้างประหลาดใจ ฉินอี้ฟานซื้อหยกจักรพรรดิและฮกลกซิ่วจากกู้หนิง?
ซึ่งหมายความว่ากู้หนิงไม่ใช่ซินเดอเรลล่า แต่เป็นเด็กสาวที่มีเงินเป็นสิบล้านหยวน?
สิบล้านหยวนไม่มีความหมายในสายตาของฉินอี้ฉิงก็จริง แต่มันมากสำหรับเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง
“ฉันไม่สนหรอกว่าฉินอี้ฟานจะบอกอะไรคุณเรื่องฉันที่เมือง G จากนี้ไปกรุณาอย่าดูถูกคนอื่นเพียงเพราะคุณรวยกว่าพวกเขา ตอนนี้ฉันอาจด้อยกว่าตระกูลฉิน แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต!” กู้หนิงพูดอย่างเย็นชาก่อนที่เธอจะหันหลังเดินจากไป
ฉินอี้ฉิงนิ่งเงียบเหมือนคนโง่ เมือง G? เกิดอะไรขึ้นที่เมือง G?
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินอี้ฉิงก็โทรหาฉินอี้ฟาน นาทีที่ฉินอี้ฟานรับสายเธอถามโดยไม่รอช้า “นายอยู่ที่ไหน”
“พี่ถามทำไม?” ฉินอี้ฟานถามกลับไปอย่างเหลืออด ฉินอี้ฟานกลับบ้านหลังจากที่ลี่เจินเจินกลับเมือง G ไปแล้ว เขาเลยคิดว่าพี่สาวเขาโทรมาหาเขาเพราะเรื่องลี่เจินเจิน ดังนั้นเขาจึงไม่บอกว่าตอนนี้เขาอยู่บ้าน
“ฉันอยากถามอะไรนายหน่อยเกี่ยวกับกู้หนิง” ฉินอี้ฉิงเข้าใจว่าน้องชายไม่อยากได้ยินอะไรเกี่ยวกับลี่เจินเจินอีก ดังนั้นเธอจึงบอกเขาว่าเกี่ยวกับกู้หนิง
“อะไรนะ? เกิดอะไรขึ้นกับกู้หนิง?” อยู่ๆฉินอี้ฟานก็ประสาทเสีย
เมื่อรู้ว่าน้องชายเป็นห่วงกู้หนิงมาก ฉินอี้ฉิงก็อารมณ์เสีย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกับน้องชายตัวเองตอนนี้
ฉินอี้ฉิงตอบว่า “เธอไม่ได้เป็นอะไร พี่แค่อยากจะถามอะไรนายหน่อย ไม่สะดวกคุยทางโทรศัพท์ นายอยู่ที่ไหน? ออกมาเจอกันหน่อย”
“ผมอยู่บ้าน” ฉินอี้ฟานเป็นห่วงกู้หนิงมาก
ฉินอี้ฉิงลุกออกจากคาเฟ่มุ่งตรงกลับบ้านตระกูลฉินทันที
สามสิบนาทีต่อมาเธอก็มาถึงบ้าน
เธอพบกับฉินอี้ฟานที่ห้องรับรอง พ่อแม่ของพวกเขาก็อยู่ด้วย ฉินอี้ฉิงรีบร้อนจนไม่ทักทายพ่อแม่ แต่กลับถามฉินอี้ฟานตรงๆว่า “อี้ฟาน กู้หนิงขายหยกจักพรรดิกับหยกฮกลกซิ่วให้นายเหรอ?”
ฉินอี้ฉิงต้องการคำตอบยืนยันจากฉินอี้ฟาน “พี่รู้ได้ยังไง?” ฉินอี้ฟานแปลกใจ
“อะไรกัน? ลูกซื้อหยกจากเด็กสาวที่ชื่อกู้หนิงหรือ?” ฉินฮ่าวเจิ้งเองก็ประหลาดใจ เขาค่อนข้างประทับใจกู้หนิงเพราะเธอมอบของขวัญแก้วหัวกวางให้เขา
“ครับ” ฉินอี้ฟานตอบ จากนั้นก็หันไปถามพี่สาวอีกครั้ง “พี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
กู้หนิงบอกให้เขาเก็บเป็นความลับ พนักงานของเขาแอบบอกฉินอี้ฉิงหรือเปล่า? คิดๆแล้วเขาก็หงุดหงิด เขาตัดสินใจจะตรวจสอบเรื่องนี้ทีหลัง
“พี่เพิ่งคุยกับเธอมา”
“อะไรนะ? ทำไม?” ฉินอี้ฟานผุดลุกขึ้นจากโซฟาทันที
ฉินอี้ฉิงบอกฉินอี้ฟานถึงสิ่งที่เธอทำซึ่งทำให้ฉินอี้ฟานไม่สบอารมณ์มาก ฉินอี้ฟานเกือบจะตะโกนใส่เธออยู่รอมร่อ “ผมบอกแล้วว่าอย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของผม ทำไมยังทำแบบนั้น ผมชอบเธอแต่เธอยังไม่รู้ พี่ทำแบบนั้นเพื่อตั้งใจทำให้เธออับอาย! พี่ทำแบบนั้นทำไม!"
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินอี้ฟานควบคุมตัวเองไม่ได้ ครอบครัวของเขาได้แต่นั่งอึ้ง
“อี้ฉิง ลูกไม่ควรทำแบบนั้นเลย เสียมารยาท!” ฉินฮ่าวเจิ้งก็ไม่พอใจกับการกระทำของลูกสาวคนโตเช่นกัน
“พี่อยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมือง G ใช่ไหม ได้ ผมบอกพี่ก็ได้” ฉินอี้ฟานโกรธที่พี่สาวของเขาไม่ชอบกู้หนิง ในเมื่อกู้หนิงไม่สนใจที่จะบอกความจริงให้ฉินอี้ฉิงฟัง เขาจึงบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมือง G เขาบอกครอบครัวของเขาว่ากู้หนิงพนันกับลี่เจินเจินและเขายังได้ซื้อหยกระดับสูงจากกู้หนิงราคากว่าร้อยล้านหยวน ครอบครัวของเขาตกใจไปตามๆกัน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจมากที่สุดคือคำพูดต่อมา
“และหยกฮกลกซิ่วก็มีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นซึ่งมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งร้อยล้านหยวน แต่เธอใช้มันทำเครื่องประดับให้ครอบครัวของเธอ! ฮกลกซิ่วที่ผมได้จากเธอคือส่วนที่เหลือจากทำเครื่องประดับไปแล้ว พี่คิดว่าเธอที่มีเงินมากกว่าร้อยล้านหยวนจะสนเช็คแค่ห้าแสนหยวนของพี่งั้นเหรอ?” ฉินอี้ฟานถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“อะไรนะ?!”
ตอนนี้ครอบครัวตระกูลฉินตกใจเสียยิ่งกว่าตกใจ หยกฮกลกซิ่วใหญ่กว่ากำปั้น?
“ตอนนี้เธออาจจะเทียบกับตระกูลฉินไม่ได้ แต่ใครจะรู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? เธอไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาทั่วไปที่ใครจะดูถูกได้” ฉินอี้ฟานพูดอย่างเย็นชาจากนั้นเขาก็เดินออกไปโดยไม่ลังเล
วินาทีที่เขาเดินออกไป ฉินอี้ฟานโทรหากู้หนิงเพื่อขอโทษ
ในขณะนั้นกู้หนิงกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว เธอกำลังเสิร์จหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับภูเขาหยุนไท่ เธอตรวจสอบว่าบนภูเขาหยุนไท่มีถ้ำหรือไม่ แต่เธอไม่พบคำตอบ
ภูเขาหยุนไท่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เนื่องจากไม่มีใครพูดถึงถ้ำจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ยังไม่มีใครพบถ้ำมาก่อน
จากนั้นกู้หนิงตรวจสอบว่ามีเรื่องราวหรือตำนานของภูเขาหยุนไท่เพื่อช่วยในการค้นหาเบาะแสหรือไม่ ค้นหาไม่นานเธอก็พบตำนานแห่งภูเขาหยุนไท่!
มีการกล่าวกันว่าในสมัยราชวงศ์ชิง นายอำเภอของอำเภอหนึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหารับสินบนและฉ้อโกง ฮ่องเต้ได้ไล่เขาออกตำแหน่งเพื่อสอบสวน จากนั้นนายอำเภอคนนั้นพร้อมทั้งครอบครัวของเขาก็หนีไปที่ภูเขาหยุนไท่
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาไม่ได้รับการบันทึก จนกระทั่งครึ่งปีต่อมามีคนพบศพที่เชิงเขาหยุนไท่ พบแหวนหยกขนาดกว้างที่มีตัวอักษรจีน "หลิ่ว" สลักอยู่บนนิ้วของชายคนนั้น ได้รับการยืนยันในภายหลังว่าร่างนี้คือนายอำเภอหลิ่วเจียงผู้มีชื่อเสียง
ไม่มีใครรู้ว่าหลิ่วเจียงซ่อนตัวอยู่ในภูเขาหยุนไท่จนถึงตอนนั้น
หลิ่วเจียงได้นำทองคำ เครื่องประดับและสมบัติอื่นๆ มากับเขาที่ภูเขาหยุนไท่ด้วย รัฐบาลจึงได้ส่งทหารจำนวนมากไปค้นหาบนภูเขา อย่างไรก็ตามภูเขาหยุนไท่เป็นสถานที่อันตราย รัฐบาลยอมแพ้หลังจากการค้นหาเพียงไม่กี่วันโดยเปล่าประโยชน์
เนื่องจากตำนานนี้หลายคนกล่าวว่ามีของล้ำค่าซ่อนอยู่ในภูเขาหยุนไท่ แต่ตำนานก็เป็นตำนาน ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงจึงไม่มีใครเชื่อเต็มร้อย
ตอนที่ 158: เลิ่งเชาถิงอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่
กู้หนิงยังไม่เชื่อจนกว่าเธอจะได้เห็นกับตาตัวเอง เธอเกือบแน่ใจว่าวัตถุโบราณในถ้ำต้องเป็นของนายอำเภอหลิ่วเจียง
ในขณะเดียวกันโทรศัพท์ของกู้หนิงก็ดังขึ้น ผู้โทรเข้ามาคือฉินอี้ฟาน กู้หนิงอิดออดไม่อยากรับ
เป็นเพราะฉินอี้ฉิง เธอเลยอารมณ์ไม่ค่อยดีในตอนนี้และเธอก็โกรธให้ฉินอี้ฟานด้วย อย่างไรก็ตามเธอคิดว่ามันคงดีกว่าถ้าพูดให้มันชัดไปเลย ดังนั้นเธอจึงกดรับและกรอกเสียงไปว่า “สวัสดีค่ะ”
เมื่อฉินอี้ฟานได้ยินเสียงกู้หนิงเขาก็รีบกล่าวคำขอโทษขอโพย “กู้หนิง ผมต้องขอโทษจริงๆเรื่องที่พี่สาวผมทำตัวแบบนั้นกับคุณ ได้โปรดรับคำขอโทษจากผมด้วยนะครับ”
“รับคำขอโทษค่ะ” กู้หนิงไม่ยกโทษให้ฉินอี้ฉิงง่ายขนาดนั้นหรอก แต่เธอคิดว่าในอนาคตคงไม่ได้เจอหล่อนบ่อยครั้ง ดังนั้นเลยไม่จำเป็นต้องทำลายความสัมพันธ์ของเธอกับฉินอี้ฟาน
“ขอบคุณนะ” ฉินอี้ฟานตอบ “จริงๆแล้วเป็นความผิดผมเอง ถ้าไม่เพราะผม…”
ฉินอี้ฟานหยุดพูดกะทันหัน เขารู้สึกกังวลและลังเลที่จะบอกกู้หนิงว่าเขาชอบเธอ เขากลัวถูกปฏิเสธ เขากังวลว่าจะไม่สามารถเป็นเพื่อนกับเธอได้อีกต่อไป แต่ถ้าเขาไม่พูดตอนนี้หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นเขาคงไม่มีโอกาสที่ดีกว่านี้แล้ว ยังไงก็ตามเวลานี้ยังไม่เหมาะสมที่จะบอกความรู้สึกของเขาผ่านทางโทรศัพท์กับหญิงสาว
คิดได้เช่นนั้น ฉินอีฟานจึงวางแผนนัดกู้หนิงออกมาพบกัน “เอ่อ กู้หนิง ผมมีเรื่องจะบอกคุณ ช่วยออกมาพบผมสักครู่ได้ไหม?”
“บอกทางโทรศัพท์ก็ได้ค่ะ” กู้หนิงพอจะรู้ว่าเขาต้องการจะบอกอะไรเธอ ถึงแม้เธอไม่อยากให้เขาทำเช่นนั้น เธอก็ห้ามเขาไม่ได้
ในเมื่อเจ้าตัวพูดแบบนั้น ฉินอี้ฟานจึงต้องพูดทางโทรศัพท์
“ผมขอโทษจริงๆเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณ ถ้าผมไม่บอกพี่ว่าผมชอบคุณก็คงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น พี่สาวของผมค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการและชอบยุ่งเกี่ยวในทุกๆเรื่อง แต่ผมไม่ใช่คนแบบพี่นะ ผมทำงานเก่งแต่ไม่ได้บ้าอำนาจหรือเย่อหยิ่ง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือผมชอบคุณจริงๆนะกู้หนิง ให้โอกาสผมได้ไหม?”
กู้หนิงทายถูก ฉินอี้ฟานบอกชอบเธอจริงด้วยแต่กู้หนิงไม่ได้รู้สึกอะไร เธอรู้สึกอึดอัดไม่มีความสุขอาจเป็นเพราะฉินอี้ฟานไม่ใช่ผู้ชายแบบที่เธอชอบ
“ขอโทษนะคะ ฉันคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันดีแล้วค่ะ” กู้หนิงตอบ
ไม่ใช่คำตอบที่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่ก็ยังยากสำหรับฉินอี้ฟานที่จะยอมรับ เขารู้สึกราวกับว่ามีคนแทงมีดเข้าที่หน้าอกของเขา ตอนนี้เขาเจ็บปวดมากอาจเป็นเพราะนั่นคือความรู้สึกของคนอกหัก
กู้หนิงเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาประทับใจ เขาจึงไม่อยากยอมแพ้ในทันที เขาถามต่อไปว่า “งั้นเหรอ? ให้โอกาสผมไม่ได้เหรอ? ถ้าผมทำอะไรที่คุณไม่ชอบบอกผมได้นะ ผมเปลี่ยนได้”
“ไม่มีค่ะ” กู้หนิงตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่เกี่ยวกับหน้าตาของคุณหรือครอบครัวฐานะทางสังคมของคุณ ฉันแค่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณ ขอโทษนะคะ”
ฉินอี้ฟานขยับเท้าถอยหลังไปหลายก้าว กู้หนิงไม่แม้แต่จะให้โอกาสเขา
อีกอย่างเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา
แม้ว่าฉินอี้ฟานจะเสียใจอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ต้องการรบกวนกู้หนิง เธอได้พูดอย่างชัดเจนไปแล้ว เขาจึงไม่ต้องการรบกวนเธออีกต่อไป
“เอ่อ ได้ อืม ลาก่อน” ฉินอี้ฟานวางสาย เขารู้สึกว่างเปล่าและสูญเสีย
กู้หนิงนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ อารมณ์ของเธอผสมปนเปยากจะอธิบาย เธอรู้ว่าฉินอี้ฟานต้องเสียใจที่เธอปฏิเสธเขา แต่เธอปลอบโยนเขาไม่ได้ ถ้าเธอทำอย่างนั้นก็เหมือนให้ความหวังเขา เธอจึงเลือกใจร้ายเพื่อไม่ให้เขาต้องเจ็บนาน
เธอไม่เคยเข็ดเรื่องความรักหรือผู้ชาย แม้ว่าจะมีผู้ชายคนหนึ่งทรยศเธอในชาติที่แล้วก็ตาม สำหรับเธอฉินอี้ฟานเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้นจริงๆ
ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายแบบไหน เมื่อขบคิดจู่ๆภาพของเลิ่งเชาถิงก็ปรากฏในความคิดของเธอ เธอตกใจรีบดึงสติตัวเองกลับมาทันทีแต่ก็ไม่สามารถห้ามใจไม่ให้เต้นเร็วได้
ทำไมกัน? เลิ่งเชาถิงเป็นผู้ชายแบบที่เธอชอบเหรอ? ถึงเธอจะไม่แน่ใจแต่เธอก็มีความประทับใจในตัวเขาอยู่บ้าง
กู้หนิงไม่ใช่ลูกไก่ในความสัมพันธ์ ในเมื่อเธอไม่แน่ใจเธอจึงตัดสินใจที่จะหาคำตอบ เธอเกลียดความสงสัย แน่นอนว่าถ้าเธอตกหลุมรักคนที่ไม่ชอบเธอ เธอจะไม่บังคับให้เขารักเธอตอบอย่างแน่นอน
กู้หนิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเลิ่งเชาถิง แต่เขาปิดเครื่อง เธอคิดว่าเขาอาจจะทำงานอยู่ ใช่แล้วเธอทายถูก เลิ่งเชาถิงกำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่
เวลาพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้ายังคงครึ้ม ในพื้นที่ภูเขาห่างไกลจากตัวเมือง รถแฮมเมอร์สีดำคันหนึ่งกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วบนถนนลูกรัง เครื่องยนต์ของมันคำรามไปตามทาง
ภายในรถซู่จินเฉินเป็นคนขับในขณะที่เลิ่งเชาถิงนั่งเบาะผู้โดยสารข้างเขา มีผู้ชายอีกสองคนนั่งที่เบาะผู้โดยสารด้านหลังอีกด้วย
“บอส ถนนขรุขระเกินไปที่จะขับรถต่อไป! เดี๋ยวรถจะพังเอาได้นะ” ซู่จินเฉินบ่น เขาเป็นคนรักรถมาก
เลิ่งเชาถิงไม่สนใจเขา สายตายังคงจับจ้องที่ GPS ในมือของเขา
“บอส งานสำคัญกว่ารถหรือเปล่า?” ผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังล้อเลียน เขาชื่อซินเป่ยและอยู่ในอันดับที่ห้าในเรดเฟลม
ซู่จินเฉินอยู่ในอันดับสิบของทีม ยกเว้นเลิ่งเชาถิงที่กลายมาเป็นหัวหน้าเพราะความสามารถที่เก่งกาจกว่าใคร คนที่เหลือถูกจัดอันดับตามอายุ พวกเขาเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดของกองทัพ เป็นคนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่หนุ่มและมีตำแหน่งระดับสูงกันทั้งนั้น
“ฮ่า ฮ่า นายก็รู้ว่าจินเฉินรักรถจะตาย เขาย่อมเจ็บแทนรถอยู่แล้ว!” ชายอีกคนพูดตลก เขาคือซีหมิงอยู่อันดับเจ็ด
“เขาตั้งใจทำแบบนี้แน่ๆ เขารู้ว่าฉันจะเจ็บปวดใจเลยบังคับให้ฉันมา ฉันไม่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานครั้งนี้ด้วยซ้ำ!” ซู่จินเฉินยังคงบ่น
“ทำไมบอสของเราต้องทำแบบนั้นด้วย?” ซินเป่ยถาม
ซู่จินเฉินยังไม่ทันได้อ้าปากพูด เลิ่งเชาถิงพูดตัดบทเขาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “หยุดรถในป่านั่น จากนั้นขึ้นไปบนภูเขา”
เมื่อเลิ่งเชาถิงออกคำสั่งไม่มีใครกล้าบ่นอีก พวกเขาทำสีหน้าเคร่งขรึม
ซู่จินเฉินหมุนพวงมาลัยขับรถเข้าไปในป่าทันทีและจอดรถไว้ในที่ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น จากนั้นพวกเขาลงจากรถอย่างรวดเร็ว