ตอนที่ 145: ของขวัญวันเกิด
ฉินฮ่าวจื่อเป็นเจ้าหน้าที่รัฐมือสะอาด เขาไม่ได้เตรียมของขวัญราคาแพง มีแต่ภาพอักษรจีนที่เขาเขียนคำอวยพรให้พี่ชาย ฉินฮ่าวจื่อเป็นนักเขียนพู่กันที่มีชื่อเสียงในเมือง F อีกด้วย ดังนั้นของขวัญของเขาจึงถือว่าเป็นของขวัญชั้นยอด
คนต่อมาคือลูกสาวของโตของฉินฮ่าวเจิ้ง ‘ฉินอี้ฉิง’
ฉินอี้ฉิงเป็นนักออกแบบเสื้อผ้า ดังนั้นชุดที่เธอออกแบบจึงเข้ากันดีกับพ่อของเธอ เธอใช้ผ้าคุณภาพดีที่สุดเท่าที่เธอจะหาได้
สามีฉินอี้ฉิงมอบหัวสิงโตที่แกะสลักจากหยกระดับกลาง มูลค่าค่อนข้างสูง เพราะทำจากหยกราคาแพง ฉินฮ่าวเจิ้งชอบของขวัญชิ้นนี้เป็นอย่างมาก
ฉินอี้ฟานเป็นคนถัดไป เขามอบแหวนหยกที่ทำจากหยกจักรพรรดิให้พ่อของเขา ถึงแม้หยกจะมีขนาดเท่าไข่นกกระทาแต่ก็พอสำหรับทำแหวนผู้ชายหนึ่งวง
เมื่อรู้ว่าแหวนทำจากหยกจักรพรรดิ ทุกคนก็เริ่มส่งเสียงดังกระหึ่มถกเถียงกัน ฉินฮ่าวเจิ้งนิ่งเงียบด้วยความตกตะลึง เขาไม่อยากเชื่อว่าเป็นของจริง เขารับแหวนมาตรวจสอบดู และพบว่ามันเป็นหยกจักรพรรดิจริงๆ ใบหน้าฉินฮ่าวเจิ้งพลันสว่างและเต็มตื้นด้วยความสุข
“อี้ฟาน ลูกไปได้หยกจักรพรรดิมาจากที่ไหน?” ฉินฮ่าวเจิ้งถาม
“เพื่อนของผมบังเอิญได้มันมาเลยมาขายให้ผม ผมเลยรับซื้อไว้ครับ” ฉินอี้ฟานอธิบาย กู้หนิงบอกเขาว่าห้ามบอกใครว่ามาจากเธอเพราะเธอไม่ต้องการดึงดูดความสนใจโดยไม่จำเป็น ดังนั้นฉินอี้ฟานจึงไม่เอ่ยถึงเธอ
นอกจากแหวนแล้ว ฉินอี้ฟานยังใช้หยกที่เหลือทำสร้อยคออีกด้วย และเก็บไว้กับตัวเอง
“โอ้” ฉินอี้ฟานพูดถึงของขวัญอีกกล่องหนึ่ง “ผมเตรียมของขวัญมาให้แม่ด้วยครับ”
“จริงหรือจ๊ะ? แม่ได้ของขวัญด้วยหรือ? มันคืออะไรเอ่ย?” คุณนายฉินประหลาดใจที่ตัวเองก็ได้ของขวัญจากลูกชายด้วย
“แม่ดูเองดีกว่าครับ” ฉินอี้ฟานไม่บอกแม่ตรงๆแต่ปล่อยให้เธอดูเอง
แม่ของฉินอี้ฟานแต่งงานกับพ่อของเขามาหลายปีแล้วซึ่งเธอคุ้นเคยกับหยกชนิดต่างๆเป็นอย่างดี
“เป็นความลับหรอจ๊ะ?” แม่ของเขายิ้มหวานและเปิดกล่องของขวัญ
จี้ห้อยคอสามสีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือและตุ้มหูหนึ่งคู่
เมื่อเห็นว่าเป็นหยก ฉินฮ่าวเจิ้งก็หยิบมาดูใกล้ๆทันที หลังจากพิจารณาอยู่ชั่วครู่ ประกายตาฉินฮ่าวเจิ่งก็สว่างวาบด้วยความตื่นเต้น
“นี่คือหยกฮกลกซิ่ว!”
เกิดเสียงกระหึ่มเซ็งแซ่ขึ้นอีกครั้ง ฉินอี้ฟานวันนี้ใจป้ำจริงๆ!
“ลูกซื้อมาจากเพื่อนด้วยเหรอ?” ฉินฮ่าวเจิ้งถาม
“ใช่ครับ” ฉินอี้ฟานตอบ
จากนั้นก็ถึงเวลาแขกคนอื่นๆทยอยมอบของขวัญ ของขวัญที่พวกเขาเตรียมมาล้วนมีราคาตั้งแต่หลักแสนจนถึงหลายล้าน
มีเพียงแขกส่วนน้อยเท่านั้นที่มอบของขวัญราคาหลายล้านหยวน ทั้งนี้ทั้งนั้นหากจะมอบของขวัญราคาแพงมากเกินไปก็อาจเกิดข้อครหาว่าอยากจะประจบประแจงตระกูลฉิน
ทุกคนรู้ว่าฉินฮ่าวเจิ้งชื่นชอบหยก แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะหาหยกระดับสูง อีกอย่างราคาของมันก็สูงมากๆ
เช่นเดียวกับของขวัญจากสามีของฉินอี้ฉิงและฉินอี้ฟาน แม้แต่หยกที่ถูกที่สุดก็มีมูลค่าถึงเจ็ดล้านหยวน
ไม่เพียงแต่ลี่เจินหยูและน้องสาวของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ‘ลี่เจิงหมิง’ พ่อของพวกเขาอีกด้วย ลี่เจิงหมิงและฉินฮ่าวเจิ้งเป็นเพื่อนสนิทกัน ลี่เจิงหมิงจะพลาดงานวันเกิดของเพื่อนผู้แสนดีของเขาไม่ได้
ของขวัญจากตระกูลลี่แน่นอนย่อมไม่ธรรมดา ทหารกล้าแกะสลักจากหยกระดับกลางค่อนสูง เพราะหยกไม่ใหญ่มากขนาดของทหารจึงค่อนข้างกะทัดรัด แต่มูลค่าของมันไม่ต่ำกว่าสิบล้านหยวน
เมื่อถึงตาอ้ายกวงเหยา เขาหยิบเอาภาพวาดที่กู้หนิงให้เขาออกมา
เมื่อภาพวาดทิวทัศน์ปรากฏต่อสายตาคนทั้งงานเลี้ยง ก็เกิดเสียงกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง อู๋ก่วนจงเป็นเป็นศิลปินสมัยใหม่ ดังนั้นคนส่วนมากได้ยินชื่อเสียงของเขา
พวกเขาไม่ตกใจกับราคาของภาพวาด แต่มูลค่าของมันประเมินค่าไม่ได้
“อะไรนะ? ภาพวาดของอู๋ก่วงจงจริงๆเหรอ? ขอผมดูหน่อย!” ชายชราวัยเจ็บสิบปีกล่าวอย่างตื่นเต้น เขาลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามา
ชายคนนี้เป็นภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์และเป็นหัวหน้าสมาคมโบราณวัตถุ ‘กู้ชางเจี่ยง’
กู้ชางเจี่ยงไม่ได้ตั้งคำถามว่าภาพวาดในมืออ้ายกวงเหยานั้นของจริงหรือไม่ เขาแทบจะทนรอดูไม่ไหว
ฉินฮ่าวเจิ้งเองก็ตื่นเต้น เพราะเขาสนใจในของเก่าและภาพวาดเช่นกัน
อ้ายกวงเหยารู้ว่ากู้ชางเจี่ยงเป็นบุคคลสำคัญ ดังนั้นเขาจึงยื่นภาพวาดให้โดยไม่ลังเล ฉินฮ่าวเจิ้งก็เดินเข้ามาดูใกล้ๆ ตามมาด้วยคนที่รักศิลปะ
ในตอนแรกมีคนไม่เชื่อว่าเป็นของจริงเพราะของจริงค่อนข้างหายาก แต่หลังจากพินิจพิเคราะห์อยู่สักพัก กู้ชางเจี่ยงจึงยืนยันว่าเป็นของจริง
เขาพูดว่า “ไม่กี่ปีก่อนภาพวาดหิมะของปักกิ่งถูกขายไปราคาห้าล้านหยวน ภาพทิวทัศน์นี้ต้องราคาสูงกว่าภาพนั้นแน่นอน!”
ทุกคนตกตะลึง ราคาของภาพวาดภาพเดียวสูงกว่าห้าล้านหยวน
ในขณะนั้นทุกคนต่างเชื่อไปแล้วว่าอ้ายกวงเหยามอบของขวัญราคาแพงเพราะมีจุดประสงค์ เขาต้องการประจบประแจงตระกูลกู้ ดังนั้นพวกเขาจึงมองอ้ายกวงเหยาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
อ้ายกวงเหยาไม่เก็บเอามาใส่ใจ เขาอธิบายอย่างใจเย็นว่า “คุณฉิน ผมคิดว่าคุณน่าจะทราบแล้วว่าผมได้ขายบริษัทไปแล้ว ความจริงแล้วภาพวาดนี้เป็นของเจ้าของตัวจริงของเจิ้งหัวเรียลเอสเตท เจ้านายของผมบังเอิญซื้อมันมาได้ในราคาหนึ่งพันหยวนที่ตลาดขายของเก่า ถ้าคุณฉินชอบได้โปรดรับไว้ด้วยครับ”
อะไรนะ? หนึ่งพันหยวน?
ได้ยินแบบนั้นทุกคนต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
หนึ่งพันหยวนก็ซื้อภาพวาดราคาสูงกว่าห้าล้านหยวนได้? ไม่น่าเชื่อ!
ถ้าเป็นจริงแสดงว่าคนที่ซื้อเจิ้งหัวเรียลเอสเตทต้องไม่ใช่คนธรรมดา!
“ฮ่า ฮ่า แน่นอน ผมชอบมาก!” ฉินฮ่าวเจิ้งหัวเราะ ของขวัญชิ้นนี้ถูกใจเขาอย่างมาก! เขาหัวเราะด้วยความพึงพอใจอย่างไม่ปิดบัง
ถึงแม้เขาจะสงสัยว่าใครกันที่ซื้อเจิ้งหัวเรียลเอสเตท เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป ในเมื่อเจ้าของตัวจริงเจิ้งหัวไม่อยากเปิดเผยตัว เขาก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ
แขกเหรื่อยังคงทยอยมอบของขวัญ ของขวัญมีตั้งแต่ราคาหลายแสนหยวนจนถึงหลายล้านหยวน
แม้ว่าของขวัญแต่ละชิ้นจะมีราคาสูง แต่ก็ไม่มีชิ้นไหนล้ำค่าไปกว่าภาพวาดของอู๋ก่วงจง
ตอนที่ 146: รอยยิ้มน่าเกลียด
เมื่อการมอบของขวัญใกล้จบลง กู้หนิงก็รับกระเป๋าเป้จากมู่เค่อ เธอถอยออกไปยังที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเธอ กู้หนิงเปิดประเป๋าเป้เปลี่ยนของขวัญที่อยู่ข้างในเป้กับของขวัญที่เธอเตรียมมา จากนั้นเธอก็กลับมาพร้อมกับของขวัญในมือทิ้งกระเป๋าเป้ไว้กับมู่เค่ออีกครั้ง
ฉินอี้ฟานเหลือบมองกู้หนิงเป็นครั้งคราว เขาเห็นกู้หนิงกลับมาพร้อมกล่องไม้ในมือ ขนาดกล่องกว้าง 20 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นของขวัญสำหรับพ่อของเขา
เขาไม่ได้หวังให้กู้หนิงมาที่นี่ต้องเตรียมของขวัญมาด้วย นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของเขา
เมื่อกู้หนิงเดินไปข้างหน้าทุกคนก็จับจ้องไปที่เธอ บางคนประหลาดใจ บางคนชื่นชมความงามของเธอ ในขณะที่บางคนก็อิจฉาเธอ กู้หนิงไม่สนใจพวกเขา
ฉินฮ่าวเจิ้งไม่รู้จักกู้หนิง เขาคิดว่าเธอของเป็นลูกหลานตระกูลเศรษฐีสักตระกูลหนึ่งในงานนี้
“คุณฉิน ยินดีที่ได้พบค่ะ หนูชื่อกู้หนิงเป็นเพื่อนพี่อี้ฟานและซีหุนค่ะ นับว่าเป็นเกียรติของหนูที่ได้มางานเลี้ยงในคืนนี้ค่ะ นี่เป็นของขวัญจากหนูและเพื่อนๆ ขอให้มีความสุขเท่าทะเลตะวันออกและขอให้มีชีวิตยืนยาวตราบเท่าเทือกเขาจงหนาน!” กู้หนิงกล่าว
“ดีๆ ขอบใจหนูมากนะ” ฉินฮ่าวเจิ้งยิ้มแย้ม
ฉินอี้ฟานก้าวออกมารับกล่องไป ตามกฎแล้วเขาต้องประกาศว่าของขวัญเป็นสิ่งใด
นาทีที่ฉินอี้ฟานเปิดกล่องและเห็นชื่อบนนามบัตร เขาก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา เขาหันไปมองกู้หนิงและเพื่อนๆของเธอ จากนั้นก็ค่อยเพิ่มเสียงพูดว่า “แก้วน้ำหัวกวางจากยุคเฉียนหลงราชวงค์ชิง”
“อะไรนะ? แน่ใจเหรอ?” กู้ชางเจี่ยงผุดลุกขึ้นอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปหา
ฉินฮ่าวเจิ้งทำแบบเดียวกัน
คนที่รู้เรื่องประวัติของแก้วต่างพากันประหลาดใจ ส่วนคนที่ไม่เคยได้ยินคิดว่ามันต้องเป็นของล้ำค่าเพราะกู้ชางเจี่ยงตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
กู้ชางเจี่ยงถือแก้วไว้ในมืออย่างระมัดระวัง เขาตรวจสอบอยู่นานด้วยสีหน้าตื่นเต้นเป็นระยะๆ
ถึงแม้แก้วใบนี้จะราคาต่ำกว่าภาพวาดของอู๋ก่วงจง แต่มันเป็นของเก่าจากยุคเฉียนหลงและยังมีสีชมพูใสพาสเทล
ฉินเจิ้งไม่อยากเชื่อว่ากู้หนิงมีแก้วใบนี้ไว้ในครอบครอง เพราะเธอจนและไม่มีปัญญาที่จะซื้อมันมาได้ ต้องเป็นคนอื่นที่เป็นคนซื้อมา
การมอบของขวัญเสร็จสิ้นลงแล้ว งานเลี้ยงดำเนินต่อไปและทุกคนสนุกสนานไปกับงานเลี้ยง
ลี่เจินเจินเดินเข้าไปคุยกับฉินอี้ฟานเพื่อไม่ให้เขาเข้าใกล้กู้หนิง แต่เธอมาช้าไปหนึ่งก้าว ฉินอี้ฟานยืนอยู่ข้างกู้หนิงเรียบร้อยแล้ว ลี่เจินเจินโกรธจัดแต่ไม่กล้าที่จะเข้าไปขัดจังหวะพวกเขา
เธอกลัวว่ากู้หนิงจะปากโป้งบอกสิ่งที่ทำกับฉินอี้ฟาน
ลี่เจินเจินไม่ใช่สาวสวยที่สุดในงาน แต่เธอก็ถือว่าเป็นคนสวย ชายหนุ่มหลายคนพยายามแวะเวียนเข้ามาสนทนากับเธอแต่ลี่เจินเจินเอาแต่จ้องฉินอี้ฟาน เธอทำให้พวกเขาผิดหวังด้วยข้ออ้างว่าเธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย
ชายหนุ่มเหล่านั้นไม่ได้แสดงความไม่พอใจเพราะเห็นแก่ครอบครัวของเธอ แต่พวกเขาดูหมิ่นพฤติกรรมของเธอในใจ
ฉินอี้ฟานออกปากขอโทษกู้หนิง “ฉันเชิญพวกเธอมาร่วมสนุกด้วยกันในงานเลี้ยงเฉยๆ ไม่ได้หวังว่าต้องเตรียมของขวัญมาด้วย ขอโทษนะที่ทำให้พวกเธอต้องเสียเงินซื้อของขวัญไปเยอะ”
ฉู่เพ่ยหานและคนอื่นเกิดรู้สึกละอาย เพราะพวกเขาไม่ได้เสียเงินสักแดงเดียว กู้หนิงเป็นคนเตรียมของขวัญเองทั้งหมด
“ไม่เป็นไรค่ะ” กู้หนิงตอบกลับเสียงเรียบ
ฉินอี้ฟานยิ้มและไม่พูดเรื่องนี้อีก “รู้สึกอึดอัดรึเปล่า?”
“ไม่นี่คะ” กู้หนิงตอบ ชีวิตที่แล้วของเธอ เธอเข้าร่วมงานเลี้ยงเป็นว่าเล่น เธอคุ้นชินกับมันเสียแล้ว
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น” ฉินอี้ฟานกล่าว
ในขณะนั้นเองก็มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามา ผู้ชายคนนั้นก็คือจิ่นจื่อเว่ยแต่ผู้หญิงที่มาด้วยกันกู้หนิงไม่คุ้นหน้า
“คุณกู้ ไม่ได้พบกันนานนะครับ” เว่ยจื่อรุ่ยทักทายกู้หนิง
“คุณเว่ยยินที่ได้พบคุณอีกครั้งค่ะ” กู้หนิงทักทายเขากลับ จากนั้นพยักหน้าน้อยๆให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขาด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ผู้หญิงคนนั้นยิ้มตอบ
กู้หนิงไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกเขา ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าเดาสุ่ม
“คุณคุ้นเคยกับเฟิ่งหัวแมนชั่นยังครับ?” เว่ยจื่อลุ่ยถาม
“ค่ะ ขอบคุณมากที่ถาม คุณเว่ย” กู้หนิงตอบ
“ด้วยความยินดีครับ คุณเป็นลูกค้าที่เพื่อนผมแนะนำนี่ครับ ผมย่อมใส่ใจคุณอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเพื่อนผมคนนี้คงไม่พอใจ” จิ่นจื่อเว่ยเหย้าแหย่
กู้หนิงยิ้มน้อยๆ
พูดคุยกันสักพักพวกเขาก็ขอตัว
ฉินอี้ฟานอยากจะอยู่ข้างกู้หนิงให้นานที่สุด แต่ในฐานะเจ้าภาพเขาไม่อาจใช้เวลากับแขกคนเดียวนานเกินไป ดังนั้นเขาจึงขอตัวไปในที่สุด
ทันทีที่ฉินอี้ฟานจากไป กู้หนิงก็พบว่าสายตาอิจฉาที่มองมาที่เธอตลอดเวลาก็หายไปด้วย
ต้องเป็นลี่เจินเจินแน่
กู้หนิงมองหาลี่เจินเจินและเห็นเธอกำลังนั่งอยู่ที่มุมห้องคนเดียว กู้หนิงถือแก้วไวน์ในมือและพูดบางอย่างกับฉู่เพ่ยหานและเพื่อนคนอื่น จากนั้นเดินไปหาลี่เจินเจิน
สายตาลี่เจินเจินมัวแต่จับจ้องอยู่ที่ฉินอี้ฟาน ดังนั้นเธอจึงไม่สังเกตเห็นกู้หนิงเดินตรงเข้ามาหาตัวเอง เมื่อเธอรู้สึกตัวกู้หนิงก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
ลี่เจินเจินรู้สึกประหม่าแต่สายไปแล้วที่จะหลบเลี่ยง ถ้าเธอหลบหน้ากู้หนิงแสดงว่าเธอกลัวกู้หนิง เธอไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
ถึงแม้ลี่เจินเจินจะถูกกู้หนิงทำให้ตกใจกลัว กู้หนิงคงไม่ปล่อยให้เธอหนีไปดื้อๆต่อหน้าแน่ๆ
“คุณลี่ ดีใจจังเลยค่ะที่ได้พบคุณอีกครั้ง” กู้หนิงยิ้มทักทาย รอยยิ้มเสแสร้งบนหน้าเธอดูน่ากลัวยิ่งกว่าภูติผี
“ยินดีที่เจอเธออีกครั้งเช่นกัน” ต่อหน้าแขกเหรื่อในงานเลี้ยง ลี่เจินเจินจำต้องทักทายกู้หนิงกลับแต่รอยยิ้มของเธอคล้ายกับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
“น่าเสียดายนะคะที่คืนนี้คุณลี่มากับพี่ชายและพ่อของคุณ ไม่อย่างนั้นฉันคงดูแลคุณอย่างดี” กู้หนิงพูดเป็นนัย
ดูแลเธออย่างดี? กู้หนิงต้องการทำร้ายเธอใช่ไหม?
“แก…” ลี่เจินเจินไม่สบอารมณ์ แต้ต้องควบคุมตัวเองเอาไว้ “กู้หนิง ให้มันน้อยๆหน่อย!”
“น้อยๆหน่อย? คุณลี่ ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดค่ะ” กู้หนิงแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“แก…” ลี่เจินเจินโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมา
เมื่อเห็นว่าลี่เจินเจินทำอะไรไม่ได้นอกจากกล้ำกลืนความโกรธเอาไว้ กู้หนิงจึงรู้สึกพอใจ เธอหยุดเสแสร้งแล้วพูดเสียงเรียบเฉยว่า “ลี่เจินเจิน ฉันบอกเธอแล้วว่าเธอต้องรับผลของสิ่งที่เธอทำกับฉัน ฉันจะให้เธอชดใช้คืนฉันเมื่อไหร่ที่ไหน ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับฉัน ฉันคิดว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าไอ้พวกนั้นยังอยู่ในโรงพยาบาลตอนนี้”