ตอนที่ 125: โอนหุ้น
ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้ว่าอาจารย์จะบอกว่ากู้หนิงไม่ได้โกง เพราะเธอส่งกระดาษคำตอบเป็นคนแรกทุกวิชา
มู่เค่อ ฉู่เพ่ยหานและคนอื่นๆก็พากันประหลาดใจ แต่พวกเขาเลือกที่จะเชื่อกู้หนิง ในสายตาของพวกเขา กู้หนิงไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาๆ
เมื่อคาบเรียบจบลง พวกเขาก็ถกกันในกลุ่มวีแชท
ฮ่าวหรัน: บอส เธอเก่งสุดๆไปเลย! เป็นที่หนึ่งของชั้นในการสอบประจำเดือนได้”
ฉินซีหุน: ใช่ๆ! เธอทำได้ยังไงอ่ะ? เธอเป็นคนแรกที่ส่งกระดาษคำตอบ”
ฉู่เพ่ยหาน: คิดดูแล้วก็เซอร์ไพรส์เหมือนกัน แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง
มู่เค่อ: ฉันด้วย
จางเทียนปิง: ฉันด้วย
หยูหมิงซี: หนิงหนิงช่วยฉันติวข้อสอบ ฉันเลยทำคะแนนได้ดีในครั้งนี้
ฮ่าวหรัน: ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องเรียนเท่าไหร่หรือฉันจะให้บอสช่วยติวให้บ้าง”
ฉินซีหุนและจางเทียนปิง: ฉันด้วย!
ฉู่เพ่ยหาน: แค่ต้องมาโรงเรียนฉันก็เอือมพอแล้ว ถ้าต้องติวอีกฉันต้องบ้าแน่
มู่เค่อ: บอส เธอช่วยฉันติวได้ไหม?
ถึงแม้มู่เค่อจะติดนักเรียนอันดับท็อปยี่สิบคน คะแนนของเขาก็ตามหลังกู้หนิงมาก ขนาดอันดับสองยังห่างจากเธอห้าสิบคะแนน เพราะกู้หนิงทำคะแนนได้เกือบเต็มทุกวิชา
กู้หนิง: ไม่มีปัญหา ถ้าฉันว่างนะ
กู้หนิงคิดว่าเธอไม่เก่งพอจะช่วยนักเรียนเรียนดีอย่างมู่เค่อได้ นั่นเป็นเพราะเธอใช้พลังของเธอเข้าช่วย จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอนั้นเก่งกว่ามู่เคอในตอนนี้ เธอควรวางตัวให้สงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก แต่เธอจะซื่อตรงต่อหน้าเพื่อนสนิทของเธอ
ระหว่างพักเบรก กู้เซียวเซียวหลบเลี่ยงฉินเจิ้ง โทรหาลูกพี่ลูกน้องของเธอ เธอบอกว่าเธอต้องการสั่งสอนกู้หนิง และขอให้ลูกพี่ลูกน้องของเธอช่วยสอนบทเรียนกู้หนิง
ลูกพี่ลูกน้องกู้เซียวเซียวมีชื่อว่าหลินฉู่ฮ่าว ลูกชายของลุงกู้เซียวเซียว เขาเกลียดการเรียนและเอาแต่เที่ยวเล่นไปเรื่อยทั้งวัน ดังนั้นเขาจึงหยุดเรียนตั้งแต่จบม.ปลาย
ตอนนี้เขาอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว เขาสนใจแต่เรื่องเที่ยวหาความบันเทิงใส่ตัวเอง อย่างไรก็ตามเพราะเขาเอาแต่เที่ยวเล่น เขาจึงรู้จักกลุ่มนักเลง ดังนั้นกู้เซียวเซียวต้องการให้เขาช่วยเธอทำลายกู้หนิง
กู้เซียวเซียวเกลียดกู้หนิงจนอยากให้เธอตายไปให้พ้น เธอช่างเป็นเด็กสาวที่ร้ายกาจ กู้เซียวเซียวเป็นคนล้อเลียนและกลั่นแกล้งกู้หนิงตั้งแต่แรก พอกู้หนิงยืนหยัดเพื่อตัวเธอและครอบครัวของเธอ กู้เซียวเซียวก็รู้สึกเจ็บแค้น ความเห็นแก่ตัวของกู้เซียวเซียวบดบังความดีชั่วไปจดหมดสิ้น
กู้เซียวเซียวไม่เชื่อว่ากู้หนิงจะรับมือกับพวกนักเลงได้ หลินฉู่ฮ่าวเต็มใจช่วยลูกพี่ลูกน้องของเขา หลินฉู่ฮ่าวเป็นคนที่มั่นใจและหยิ่งยโสในตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด เขารับปากว่าเขาจะจัดการภายในสองวัน
คาบสุดท้ายเป็นของอาจารย์ประจำชั้น กู้หนิงจึงขอตัวออกไปก่อนทันทีที่คาบเรียนจบลง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน จางฉิวฮวาคงเรียกกู้หนิงมาอบรมฐานที่เธอขอลาบ่อยๆ แต่เมื่อกู้หนิงทำคะแนนได้ดีในการสอบประจำเดือนครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นจางฉิวฮวาจึงยอมให้เธอไป
ถึงจางฉิวฮวาจะทำใจเชื่อได้ยากยิ่ง กู้หนิงก็ยืนยันกับเธอว่าเธอไม่ได้โกงข้อสอบและอาจารย์ที่สอนก็ได้ทดสอบความรู้กู้หนิงแล้ว เธอจึงเลือกเชื่อกู้หนิง แต่จางฉิวฮวาก็ยังเตือนกู้หนิงว่าอย่าลำพองตน ให้ตั้งใจเรียนต่อไป
หลังจากออกมาจากโรงเรียน กู้หนิงไม่ได้ตรงไปที่บริษัทเจิ้งหัวโดยทันที เธอไปที่ศูนย์การค้าเพื่อกินข้าวและเปลี่ยนเสื้อผ้า กู้หนิงเปลี่ยนตัวเองให้ดูเป็นสาวเต็มวัยเหมือนตอนอยู่เมือง G เธอไม่ต้องการให้ใครจำเธอได้
ครั้งนี้กู้หนิงสวมสูททะมัดทะแมง เธอม้วนผมขึ้นมัด แต่งหน้าบางเบาและสวมแว่นตา เธอดูเหมือนสาวหัวกะทิ แน่นอนว่าเธอดูเหมือนหญิงสาวอายุยี่สิบห้า
กู้หนิงนั่งแท็กซี่มาที่บริษัทเจิ้งหัวก่อนบ่ายสองเล็กน้อย
บริษัทเจิ้งหัวตั้งอยู่บนชั้นเจ็ดของตึกสูงใหญ่ พื้นที่ของบริษัททั้งหมดเจ็ดร้อยตารางเมตร พนักงานกว่าหนึ่งร้อยคน
เจิ้งหัวไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่โตมากขนาดมีตึกเป็นของตัวเอง และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตึกทั้งตึก แต่ทั้งชั้นเจ็ดเป็นของบริษัทเจิ้งหัว
กู้หนิงขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นเจ็ด เธอบอกพนักงานที่นั่งอยู่ประชาสัมพันธ์ว่ามาพบอ้ายกวงเหยา เธอตามพนักงานไปที่ห้องประธานบริษัท
นาทีที่กู้หนิงเดินเข้าไปในออฟฟิศ อ้ายกวงเหยาก็นิ่งตะลึง
กู้หนิงต้องอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ? ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน?
อ้ายกวงเหยาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขาถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ?”
“ลุงอ้าย หนูกู้หนิงค่ะ” กู้หนิงยิ้มให้เขา
“อะไรนะ?” อ้ายกวงเหยาเบิกตากว้าง เขายังไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“หนูไม่อยากให้มีคนจำหนูได้ ก็เลยเปลี่ยนตัวเองนิดหน่อย”
มันเป็นเสียงกู้หนิง อ้ายกวงเหยาเลยเชื่อเธอ “เปลี่ยนไปเยอะมาก! ถ้าหนูไม่พูดออกมา ลุงก็ไม่มีทางรู้ว่าเป็นหนู”
กู้หนิงบอกอ้ายกวงเหยาไม่ให้บอกกับทุกคนว่าผู้ซื้อบริษัทเป็นใคร ดังนั้นทุกคนจึงไม่รู้ว่าคนที่ซื้อบริษัทเป็นใคร อย่างไรก็ตามมันไม่สำคัญว่าใครจะเป็นคนซื้อ บริษัทเจิ้งหัวตอนนี้ต้องการเงินอย่างมาก
จากนั้นไม่นาน ทนายความบริษัทก็มาถึง
ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายโมงห้าสิบห้านาที ผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดคนก็ทยอยเดินเข้ามาในห้องประชุม เมื่อเหลือเวลานัดหมายแค่หนึ่งนาที อ้ายกวงเหยาพร้อมด้วยกู้หนิงและทนายก็เดินเข้าไปข้างใน
อ้ายกวงเหยาได้บอกพวกเขาไปแล้ว กู้หนิงจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เธอเพียงแต่ลงนามในสัญญาและโอนเงิน ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็เสร็จสิ้นกระบวนการ
กู้หนิงมาที่นี่วันนี้ในนามของผู้ซื้อ คนอื่นนอกจากอ้ายกวงเหยาและทนายก็ไม่มีใครรู้ตัวตนของเธอ
กู้หนิงให้อ้ายกวงเหยารวบรวมหุ้นทั้งหมดภายใต้ชื่อของเขาจากนั้นโอนให้เธอ ไม่มีใครรู้ว่าคนที่ซื้อเจิ้งหัวคือใคร
กู้หนิงจ่ายเงินไปทั้งหมดสี่ร้อยล้านหยวน สามร้อยล้านหยวนสำหรับเป็นเงินทุนบริษัท ในขณะที่หนึ่งร้อยล้านหยวนใช้ซื้อหุ้น
ในตอนท้าย อ้ายกวงเหยาที่มีหุ้นอยู่ห้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ลดเหลืออยู่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ และกู้หนิงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็กระจายไปในตลาด
ราคาหุ้นของเจิ้งหัวลดลงอย่างมากในวันนี้ แต่ตราบใดที่เงินลอยเข้ามา ราคาก็จะดีดขึ้นทันที
หลังจากลงนามทำสัญญา อ้ายกวงเหยาและทนายก็ไปยังสำนักพาณิชย์เพื่อทำการโอนหุ้น จากนั้นอ้ายกวงเหยาก็กลับมาที่บริษัท กู้หนิงกลับไปแล้ว
ตอนที่ 126: ฉันได้ยินมาว่าคุณไม่ชอบผู้หญิง
กู้หนิงปล่อยให้อ้ายกวงเหยารับผิดชอบบริษัทอย่างเต็มที่ ดังนั้นเขาจึงมีเรื่องต้องจัดการหลายอย่าง
คนที่ต้องการซื้อเจิ้งหัวจับตาดูอยู่ พวกเขาได้รับข่าวว่าเจิ้งหัวถูกซื้อไปแล้ว
เมื่อข่าวแพร่ออกไปทั่ว ทุกคนที่ต้องการซื้อเจิ้งหัวในราคาถูกก็ไม่พอใจขึ้นมาทันใด
สี่ร้อยล้านหยวนไม่ใช่ราคาที่สูงเกินไป แต่พวกเขาต้องการซื้อในราคาต่ำเท่าที่จะต่ำได้ สุดท้ายพวกเขาก็สูญเสียโอกาสอันดีนี้ไป
ในขณะเดียวกัน ก็มีบางคนที่สงสัยในการซื้อขายบริษัทเจิ้งหัว และคิดว่าอ้ายกวงเหยาไปยืมเงินมา เพราะไม่มีใครรู้ว่าคนที่ซื้อบริษัทไปเป็นใคร และอ้ายกวงเหยาก็ยังนั่งเป็นประธานบริษัท
ส่วนผู้ถือหุ้นที่หายไป ทุกคนก็เชื่อว่าเป็นเพราะอ้ายหวงเหยาต้องการมีอำนาจเต็มที่ในบริษัท ไม่มีใครรู้ว่าอ้ายกวงเหยาได้โอนหุ้นให้กู้หนิง
อย่างไรก็ตาม บริษัทเจิ้งหงก็ยังอยู่สง่างามเหมือนเดิม รอดพ้นวิกฤตครั้งใหญ่
ยังไม่สี่โมงเย็นตอนที่กู้หนิงกลับออกมา และยังเร็วเกินไปที่จะกลับบ้าน
ทันใดนั้นกู้หนิงก็คืดว่าจะคืนปืนให้เลิ่งเชาถิง ตอนนี้เธอมีเวลาว่าง และตั้งใจชวนเลิ่งเชาถิงให้ออกมาพบกัน แต่พวกเธอควรจะกินอะไรดี?
กู้หนิงอยากกินอาหารราคาแพง
ในระหว่างที่เธอกำลังคิด เธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและลบเครื่องสำอางออก
หลังจากนั้นกู้หนิงก็คิดได้พอดี เธออยากจะกินกุ้งล็อบสเตอร์และปูยักษ์
จากนั้นก็โทรหาเลิ่งเชาถิง
เมื่อเลิ่งเชาถิงรับสายกู้หนิง เขาก็กำลังจะกลับไปที่เฟิ่งหัวแมนชั่นกับซู่จินเฉิน
เขาวางสายและบอกให้ซู่จินเฉินจอดรถ เขาบอกให้ซู่จินเฉินลงจากรถไป
“ห้ะ อะไรนะ?” ซู่จินเฉินนิ่งงัน เขาไม่รู้ว่าเลิ่งเชาถิงคิดจะทำอะไร
“ฉันมีเรื่องต้องจัดการและต้องการใช้รถ”
“ทำไมนายต้องรีบร้อนด้วยล่ะ? ไม่ขับไปส่งฉันที่บ้านก่อนเหรอ?” ซู่จินเฉินบ่น เลิ่งเชาถิงมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่เหมือนจะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น
“ไม่” คำตอบปฏิเสธจากเลิ่งเชาถิงทำให้ซู่จินเฉินต้องลงจากรถ
เลิ่งเชาถิงเปิดประตูรถฝั่งผู้โดยสารออกและเดินออกไป เขาเดินอ้อมมายังด้านหน้ารถและก้าวเข้าไปนั่งที่คนขับ ทิ้งให้ซู่จินเฉินอยู่ตรงนั้น
มันเป็นรถของซู่จินเฉิน เลิ่งเชาถิงชิงเอารถเขาไปดื้อๆ
กู้หนิงโทรบอกเลิ่งเชาถิงมาพบกันที่ร้านอาหารทะเลใกล้ตัวเมือง กู้หนิงไม่ได้อยู่ในตัวเมือง แต่ก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เธอใช้เวลาเดินสี่สิบนาทีก็ถึง
เวลานัดคือห้าโมงเย็น ดังนั้นเธอจึงเดินไปที่นั่น
ไม่คาดคิด เลิ่งเชาถิงมาถึงร้านอาหารสี่โมงครึ่ง เขามาถึงก่อนครึ่งชั่วโมง
เลิ่งเชาถิงไม่ได้นึกว่าเขามาเร็วกว่าเวลานัดไปครึ่งชั่วโมงตอนที่เขามาถึง
ทำไมเขาต้องกระตือรือร้นขนาดนี้? ถึงจะอยากได้ปืนคืน เขาก็ต้องรอจนกว่าจะถึงห้าโมงเย็นค่อยมา
ช่างเถอะ ในเมื่อมาแล้ว เขาก็ได้ได้แต่รอ
เลิ่งเชาถิงจอดรถที่ลานจอดรถข้างนอกร้านอาหาร และนั่งรออยู่ในรถ เขาเหลือบมองไปยังนาฬิกาข้อมือเกือบตลอดเวลา นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเวลาเดินช้าเหลือเกิน
ราวๆสี่โมงสี่สิบ ในที่สุดกู้หนิงก็ปรากฏตัวในสายตาเลิ่งเชาถิง เธออยู่ห่างออกไปห้าสิบเมตร เขาจำเธอได้ทันทีที่เห็น
เมื่อเลิ่งเชาถิงเห็นกู้หนิง ความวิตกกังวลของเขาก็หายไปทันที
เขาไม่ได้ลงจากรถจนกระทั่งกู้หนิงเดินเข้ามาใกล้ เลิ่งเชาถิงประจันหน้ากับกู้หนิงเหมือนว่าบังเอิญ
กู้หนิงนิ่งไปชั่วครู่ เธอรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย “ไม่คิดว่านายจะมาเร็วแบบนี้ ฉันพูดไปแล้วว่าจะคืนปืนให้นายก็ต้องคืนให้อยู่แล้ว นายไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนี้ก็ได้”
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนไม่พอใจเพราะมีคนมาก่อนเวลานัด ‘เดท’ ยิ่งไปกว่านั้นกู้หนิงดูเป็นคนไม่มีเหตุผลเล็กน้อยขึ้นมาทันที
เลิ่งเชาถิงมาถึงก่อนเวลานัดก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้บังคับเธอให้รีบเอาปืนคืนเขาตอนนี้เสียหน่อย
อาจเป็นเพราะกู้หนิงยังมีอคติต่อเลิ่งเชาถิง เธอจึงไม่พอใจอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อเธอเจอเขา
เลิ่งเชาถิงไม่ได้ไม่พอใจกับคำพูดกู้หนิง เขาไม่ได้พูดอะไรเพราะเหตุผลที่เขามาก็เพราะปืน
กู้หนิงชวนเลิ่งเชาถิงเข้าไปในร้านอาหาร พวกเธอได้รับสายตาสนใจจากคนในร้าน แค่ครั้งนี้สายตาเหล่านั้นไม่ได้เพื่อเธอ แต่เป็นเขา
“ไม่มีอะไรจะมองแล้วรึไง” กู้หนิงพูดอย่างหงุดหงิด เลิ่งเชาถิงมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ชอบกิริยากู้หนิง แต่เขาก็ห้ามไม่ให้คนอื่นมองได้
กู้หนิงขอห้องส่วนตัว เธอสั่งกุ้งล็อบสเตอร์ ปูยักษ์ ปลาและอื่นๆอีกสี่อย่าง
ทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกัน และนั่งเงียบ
กู้หนิงมองเลิ่งเชาถิง เธอชอบหน้าตาของเขา แต่เธอไม่ชอบใจที่เขากำลังจะเอาปืนคืนจากเธอ
ทันใดนั้นความคิดชั่วร้ายก็แล่นเข้าสู่สมองกู้หนิง เธอจึงเอ่ยปากถามไปว่า “ฉันได้ยินมาว่าคุณไม่ชอบผู้หญิง?”
ได้ยินแบบนั้น เลิ่งเชาถิงก็ไม่สบอารมณ์ “ใครเป็นคนบอก?”
เขาคิดว่าความคิดนี้คงมาจากเฉินเมิ่ง เพราะเฉินเมิ่งเพิ่งเจอกับกู้หนิงเมื่อเร็วๆนี้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เลิ่งเชาถิงถูกตั้งคำถามแบบนี้ เขาอารมณ์เสียแต่ไม่เคยตื่นหตระหนก แต่ตอนนี้เขารู้สึกตื่นตระหนก
เมื่อกำลังเผชิญหน้ากับกู้หนิง เขาก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล บางทีเขาไม่ต้องการให้เธอเชื่อเรื่องนี้
“ฉันไม่บอกคุณหรอก” กู้หนิงตอบ
“ไม่ใช่เรื่องจริง” เลิ่งเชาถิงอธิบาย
ไม่ ไม่ใช่เรื่องจริง แม้ว่าเขาจะไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงคนไหนมาก่อน และไม่ได้คิดมากกับคำถามนี้ เขามั่นใจว่าเขาชอบผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย
จากนั้นทั้งคู่ก็ตกสู่ในความเงียบอีกครั้ง
ไม่นานอาหารก็ถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ โดยไม่ลังเล กู้หนิงเริ่มลงมือกินในขณะที่เลิ่งเชาถิงยังคงนั่งนิ่ง
“ทำไมคุณไม่กินล่ะ?” กู้หนิงถาม
อันที่จริงเธอไม่สนว่าเขาจะกินหรือไม่กิน แต่เขาเอาแต่มองเธออยู่อย่างนั้น มันรู้สึกแปลกๆ
“ผมไม่หิว” เลิ่งเชาถองตอบ
“หืม หรือฉันสวยเกินไป คุณเลยอยากมองฉันแทนที่จะกินข้าว?” กู้หนิงพูดติดตลก
สิ้นเสียงกู้หนิง เลิ่งเชาถิงก็แข็งทื่อไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็รู้ตัวว่าเอาแต่มองกู้หนิง เขาตื่นตระหนกเล็กน้อย
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
กู้หนิงอดกรอกตาไม่ได้ เธอไม่ได้ตาบอดสักหน่อย