ตอนที่ 359 กลับเมือง F
ในขณะทีอัลลันเดินจากไป ไป๋เสวี่ยเหยียนก็มองตามหลังเขาด้วยตาละห้อย เธอยังคงมองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเขาหายไปจากสายตา เธอหันมาถามกู้หนิงว่า “เขาหล่อไหม? สุภาพบุรุษมากเลย เธอว่าไหม?”
“อืม หล่อแล้วก็สุภาพมาก” กู้หนิงปฏิเสธไม่ได้เลย แต่ยังคิดว่าเลิ่งเชาถิงดีกว่าอัลลันอยู่ดี เมื่อนึกถึงเขา เธอก็คิดถึงเขามาก
“โดยเฉพาะตอนที่เขายิ้ม! ดูดีสุดๆ!” ไป๋เสวี่ยเหยียนทำตาเคลิบเคลิ้ม กู้หนิงหัวเราะเบาๆ หลังจากนั้นทั้งคู่ออกจากคาเฟ่ อัลลันไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย ไป่เสวี่ยเหยียนผิดหวังนิดหน่อย กู้หนิงรู้สึกเสียใจกับเธอแต่ไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร
ทั้งสองแยกกันตอนที่ออกจากคาเฟ่ ไป๋เสวี่ยเหยียนชวนกู้หนิงไปทานข้าวที่บ้าน แต่กู้หนิงปฏิเสธ
กู้หนิงโทรหาเฉียวหยา ถามถึงบริษัทในเมืองเถิง เฉียวหยาบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี กู้หนิงจึงบอกว่าเธอจะกลับเมือง F พรุ่งนี้
กู้หนิงไปที่โรงงาน เกือบหกโมงเย็น พนักงานก็ค่อยๆทยอยกลับบ้าน กู้หนิงก็ออกไปด้วย เธอไปร้านอาหารเพื่อทานอาหารเย็นคนเดียว ระหว่างมื้ออาหาร เธอสังเกตเห็นว่าฉินซีหุนเชิญพวกเขาให้มารวมตัวกันที่กลุ่มวีแชทของพวกเขา
มู่เค่อ: พ่อแม่นายอนุญาตให้ออกไปเที่ยวได้เหรอ?
ฉินซีหุน: พ่อกับแม่ห้ามฉันไม่ได้หรอก เพราะว่าพวกท่านไม่อยู่บ้านน่ะสิ ไปเมือง G ร่วมงานศพ
ฮ่าวหรัน: ใครตาย?
ฉินซีหุน: ลูกสาวเพื่อนพ่อน่ะ เธอเคยมางานเลี้ยงคุณลุงด้วย ได้ยินมาว่าเธอถูกขวดเบียร์ตีหัวในไนท์คลับ
ฉินซีหุน: ฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดมาก
กู้หนิงนึกถึงลี่เจินเจินทันที ลี่เจินเจินตายแล้วเหรอ? ไม่น่าเชื่อ หลังจากนิ่งคิดอยู่สักพัก กู้หนิงก็สรุปได้ว่าเธอต้องตายเพราะเสพยาแทนที่จะเป็นแผลที่ศีรษะ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เกลียดลี่เจินเจินจนอยากให้อีกฝ่ายตาย แต่ก็ไม่ได้เห็นใจ เพราะลี่เจินเจินทำตัวเอง เธอสมควรได้รับแล้ว หลังจากทานข้าวเสร็จ กู้หนิงก็กลับไปที่วอเตอร์บลูสกาย
ตอนเย็น กู้หนิงได้รับข้อความจาก K เขาส่งข้อมูลที่เธอขอให้ทางอีเมล กู้หนิงรีบเปิดอีเมลดูทันที
กู้หนิงขอให้ K ช่วยตรวจสอบบริษัทยาที่กำลังล้มละลายในเมืองหลวง K พบข้อมูลอยู่สามบริษัท ทั้งประวัติ ภูมิหลัง ชื่อเสียง และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ กู้หนิงเลือกบริษัทแรก เธอไม่มีเวลาไปเมืองหลวงอีกครั้ง รอจนกว่าเทศกาลปีใหม่จะผ่านไป เธอคิดว่าเธอต้องเข้าควบกิจการภายในเร็ววันนี้
เช้าวันต่อมา กู้หนิงกลับเมือง F โดยไม่รอช้า เครื่องบินออกตอน 9.30 o. เธอถึงเมือง F ตอน 10.40 น. ทันทีที่ลงจากเครื่องบินเธอก็โทรหาแม่ทันทีและถามแม่ว่าอยู่ไหน
กู้ม่านอยู่ที่ซาลอน กู้หนิงจึงขึ้นรถแท็กซี่ไปที่ซาลอนทันที กู้ม่านดีใจมากที่กู้หนิงกลับมาได้ซะที
“ม่าน พี่รู้ว่าเธอดีใจที่หนิงหนิงกลับมา แต่เธอไม่จำเป็นต้องออกไปตรวจดูข้างนอกทุกครั้ง! หนิงหนิงจากไปแค่ครึ่งเดือน พอเข้ามหาลัย หนิงหนิงจะกลับมาแค่เทอมละครั้งเท่านั้น” กู้ชิงเอ่ย
เธอเองก็ห่วงกู้หนิงไม่ต่างจากกู้ม่านในช่วงครึ่งเดือนที่กู้หนิงหายไป ไม่ว่ากู้หนิงจะประสบความสำเร็จแค่ไหน เธอก็ยังเป็นเด็กในสายตาของครอบครัว ครอบครัวของเธอคงจะห่วงใยเธออย่างแน่นอน ดังนั้นกู้ชิงก็ดีใจไม่ต่างกันที่กู้หนิงกลับมาบ้าน
“แต่เธอยังไม่ได้เข้ามหาลัยเลยนะ!” กู้ม่านเอ่ย
ใช้เวลายี่สิบนาทีจากสนามบินมายังย่านใจกลางเมือง กู้ม่านและกู้ชิงเดินมาต้อนรับเธอ “หนิงหนิง ยินดีต้อนรับกลับมาจ้ะ!”
กู้ชิงรับกระเป๋าเดินทางจากหลานสาวมาถือ ในขณะที่กู้ม่านกุมมือลูกสาวพลางเดินเข้าไปยังห้องทำงานภายในร้าน
เมื่อเข้ามาในห้องทำงานแล้ว กู้หนิงก็เปิดกระเป๋าเดินทาง “ของขวัญปีใหม่ค่ะ”
“พวกเรามีเสื้อผ้าเยอะแล้ว ลูกไม่จำเป็นต้องซื้อมาฝากเลย” กู้ม่านเอ่ย แต่ภายในใจรู้สึกมีความสุข
กู้หนิงยิ้มเบาๆ ไม่ได้บอกว่าแม่กับป้าของขวัญเหล่านี้มาจากลูกเขยในอนาคต ถ้าพวกท่านรู้ว่าเธอมีแฟน คงซักถามละเอียดยิบแน่
หลังจากนั้น กู้หนิงก็หยิบกล่องเครื่องประดับสามกล่องและมอบให้กู้ม่าน “นี่คือจี้หยกสำหรับของรางวัลค่ะ”
กู้ชิงมองกล่องเครื่องประดับ เธออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เธอยังคิดว่ามันราคาแพงมากเกินไป กู้หนิงหันไปเห็นจึงพูดเป็นเชิงปลอบว่า “ป้าคะ หนูรู้ว่ามันแพงค่ะ แต่ถ้าไม่ยอมเจ็บตัวบ้างก็ไม่ได้อะไรเลยนะคะ”
กู้ชิงนึกถึงลูกค้า VIP ที่โทรมาสอบถามรายละเอียดเมื่อวานนี้กันอย่างล้นหลามซึ่งพิสูจน์ได้แล้วว่ามันได้ผล ดังนั้นเธอจึงสบายใจขึ้น
“เอาล่ะ นี่ก็สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ หนิงหนิงลูกอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?” กู้ม่านมองดูเวลาและหันไปถามลูกสาว
มีห้องครัวในร้าน และพนักงานสามารถทำอาหารและทานอาหารที่นี่ได้ แต่กู้ม่านต้องการพากู้หนิงไปทานข้าวข้างนอกดังนั้นจึงตัดสินใจรับประทานอาหารข้างนอก
“ไปกินหม้อไฟกันเถอะค่ะ” กู้หนิงเสนอ
“ได้สิ ไปกินหม้อไฟกัน!” กู้ม่านเห็นด้วย จากนั้นทั้งสามคนก็พากันไปทานข้าว
“ป้าคะ ช่วงนี้ธุรกิจของลุงเป็นยังไงบ้างคะ?” กู้หนิงถามกู้ชิง
“ป้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดเท่าไหร่ แต่ก็ค่อนข้างไปได้ดีนะ มีสัญญาซื้อขายเข้ามาเรื่อยๆ” กู้ชิงยิ้ม พวกเขาจนมานานและตอนนี้มีเงินมีทองเข้ามาไม่ขาดสาย กู้ชิงอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตคนเราช่างเต็มไปด้วยความเปี่ยนแปลง และกู้หนิงมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
“โอ้ เช้านี้ลุงสามของหลานโทรมา พวกเขาจะกลับมาเมือง F วันมะรืน และอยากมาเจอพวกเราด้วย แต่ป้ายังไม่รับปากเขา อยากรอฟังความเห็นของหลานก่อน” กู้ชิงพูดพลางมองหน้ากู้หนิงไปด้วย
กู้หนิงเงียบไปสองสามวินาที เธอรู้ว่ากู้ม่านและกู้ชิงอยากไปไม่อยากนั้นคงไม่ถามเธอ อีกอย่างครอบครัวลุงสามกับพวกเธอไม่ได้มีความขัดแย้งที่ถึงกับเกลียดชังกัน เพราะฉะนั้นการไปทานข้าวกับพวกเขาไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
“ได้สิคะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ครอบครัวเรากับครอบครัวลุงสามไม่ได้มีปัญหาอะไรกันมาก ไม่จำเป็นต้องตัดขาดการติดต่อกับพวกเขา แต่ถ้ายายแม่มดกับครอบครัวของลุงสามหาเรื่องหนูอีก หนูไม่อยู่เฉยแน่ค่ะ และพวกเขาต้องเป็นฝ่ายไปแทนไม่ใช่หนู” กู้หนิงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แน่นอนจ้ะ ป้าเข้าใจ” กู้ชิงตอบ ตอนนี้พวกเธอไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว และได้อดทนมามากพอแล้ว ดังนั้นไม่มีอะไรต้องกลัว
ตอนที่ 360 ครอบครัวของหยูหมิงซีมีปัญหา
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยง กู้ม่านและกู้ชิงก็กลับไปที่ร้าน ส่วนกู้หนิงกลับไปที่บ่ายตอนบ่ายสอง
ขณะที่เธอพักผ่อนอยู่ที่บ้าน อยู่ๆเธอก็นึกได้ว่าไม่ได้เจอเพื่อนๆมานานแล้ว ดังนั้นเธอจึงส่งข้อความในวีแชทและนัดเพื่อนมาทานข้าวตอนบ่ายด้วยกันซึ่งค่อนข้างสร้างความประหลาดใจแก่เพื่อนๆที่อยู่ๆเธอก็โผล่มา
ฮ่าวหรัน: อ๊ากกกกก! บอส ในที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว! ไม่ได้เจอเธอเป็นชาติแล้ว คิดถึงมาก!”
ฉู่เพ่ยหาน: ไปสิ ไปสิ ไปเจอกันตอนนี้แหละ ที่ไหน?
ฉู่เพ่ยหานแทบอดใจรอเจอกู้หนิงไม่ไหวแล้ว
มู่เค่อ: เธอจะรีบไปไหน? เหลือเวลาอีกตั้งเยอะ
ฉู่เพ่ยหาน: แล้วยังไง?
กู้หนิง: ฉันมีธุระที่ยังต้องทำอีก ไว้เจอกันตอนสี่โมงเป็นไง? อย่าลืมโทรหาคนที่ไม่ได้อ่านข้อความด้วยล่ะ พวกนายตัดสินใจกันเองแล้วกันจะเจอกันที่ไหน วันนี้ฉันเลี้ยงเอง เต็มที่เลย!
ฮ่าวหรัน: เย้! ฉันรักเธอที่สุด!
ฉู่เพ่ยหาน: ฉันก็รักเธอเหมือนกัน!
มู่เค่อ: ฉันด้วย!
กู้หนิง: งั้นฉันไปทำธุระก่อนนะ ไว้ตัดสินใจจะไปร้านไหนค่อยบอกฉันแล้วกัน
กู้หนิงไปที่แผนกขายของเฟิ่งหัวแมนชั่นเพื่อไปซื้ออพาร์ทเม้นต์สำหรับเกาอี้และเฉียวหยา แม้ว่าเจิ้งหัวเรียลเอสเตทจะมีอพาร์ทเม้นต์ขาย แต่เธออยากให้พวกเขาอาศัยอยู่ๆใกล้ที่พักเธอ พวกเขาจะได้สะดวกในการคุ้มกันเธอ ทั้งขับรถและเป็นเลขาให้ด้วย
“สวัสดีค่ะคุณกู้ ยินดีที่ได้พบอีกครั้งครับ” เว่ยจื่อลุ่ยเดินเข้ามาทักทายกู้หนิงเมื่อเธอปรากฏตัว
“สวัสดีค่ะ ยินที่ได้พบเหมือนกันค่ะ ฉันกำลังมองหาห้องชุดขนาดเล็กที่ตกแต่งเสร็จแล้ว” กู้หนิงเอ่ย
เกาอี้และเฉียวหยามีกันแค่สองคน ดังนั้นห้องเดียวก็เพียงพอสำหรับพวกเขา นอกจากนี้พวกเขาจะอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องซื้อขนาดใหญ่ อีกครึ่งปีพวกเขาก็จะย้ายไปเมืองหลวง
เมื่อได้ยินว่ากู้หนิงกำลังมองหาห้องชุด เว่ยจื่อลุ่ยก็ประหลาดใจแต่ไม่ได้ถามรายละเอียด “ห้องที่เล็กที่สุดคือ 73 ตารางเมตร และเป็นอพาร์ตเมนต์เดี่ยวที่มีห้องนอนเพียงห้องเดียว แต่เรายังมีอพาร์ทเมนต์สองห้องนอนซึ่งมีขนาด 85 ตารางเมตร”
“ห้องนอนเดี๋ยวอยู่ตรงไหนคะ? ฉันอยากไปดูหน่อย” กู้หนิงถาม
“อยู่ที่ตึก 2 โซน F ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโซน G” เว่ยจื่อรุ่ยกล่าว จากนั้นเขาก็พากู้หนิงดูแผนผัง เรามีห้องเดี่ยวเหลือเพียงสองห้องเท่านั้น ชั้นหนึ่งอยู่บนชั้นที่ 12 และอีกชั้นหนึ่งอยู่ที่ชั้นที่ 13”
กู้หนิงดูอยู่สักครู่ก่อนเอ่ยว่า “งั้นฉันซื้อห้องที่อยู่ชั้น 12 ค่ะ”
เว่ยจื่อรุ่ยรีบดำเนินการตามขั้นตอนให้เธอทันที
ตอนนี้บ่ายสามแล้ว กู้หนิงเตรียมตัวจะออกไปพบเพื่อน เธอเปิดวีแชทดูเพื่อดูว่าพวกเขาตัดสินใจกันรึยัง ขณะที่กำลังจะเปิดวีแชท ฉู่เพ่ยหานก็โทรเข้ามาก่อน
กู้หนิงกดรับสายทันที “บอส ตอนนี้ครอบครัวของหมิงซีเกิดเรื่องแล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้น?
“บ้านของครอบครัวเธอกำลังจะถูกรื้อถอน ลุงและป้าคนโตของเธอก็เถียงกันว่าพวกเขาควรจะได้เงินมาแบ่งกัน!” ฉู่เพ่ยหานตอบ
กู้หนิงไม่พอใจ มีญาติที่ไร้ยางอายมากมายที่ต่อสู้เพื่อเงินพี่น้องของตน
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” กู้หนิงขึ้นแท็กซี่ไปยังบ้านของหยูหมิงซีทันที
กู้หนิงรีบโทรหาหยูหมิงซี เธอรอสายอยู่นานมากกว่าหยูหมิงซีจะกดรับ “หนิงหนิง...” เสียงของเธอสั่นเครือ กำลังร้องไห้ หยูหมิงซีร้องไห้อย่างสิ้นหวัง
“หมิงซีไม่ต้องร้องไห้ ตอนนี้สถานการณ์เป็นไงบ้าง?” กู้หนิงถาม
หยูหมิงซีพยายามสงบอารมณ์และตอบกลับไปว่า “บ้านของครอบครัวฉันกำลังจะรื้อถอน แต่ลุงกับป้าคนโตของฉันกำลังโต้เถียงว่าพวกเขาควรจะได้เงินมาแบ่งกัน ปู่มอบบ้านให้พ่อ และคุณปู่ก็ให้เงินลุงกับป้าไปแล้วสามหมื่นหยวนตอนที่พวกเขาซื้อบ้านเมื่อสิบปีก่อน พ่อกำลังทะเลาะกับพวกเขาตอนนี้ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำยังไงแล้ว”
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันกำลังไป”
“อื้ม”
หลังจากวางสาย กู้หนิงก็บอกคนขับแท็กซี่ให้ขับรถเร็วกว่านี้
ยี่สิบนาทีต่อมา ฉู่เพ่ยหานและฮ่าวหรันก็มาถึงสถานที่ที่หยูหมิงซีอาศัยอยู่ ทั้งคู่ต่างขับรถมา ฮ่าวหรันมากับฉินซีหุนและจางเทียนปิง ส่วนมู่เค่อและอ้ายยี่ไม่มีรถจึงมาแท็กซี่
ครอบครัวของหยูหมิงซีอาศัยอยู่ในย่านเก่า มีบันไดมากมายในอาคาร เมื่อฉู่เพ่ยหานและคนอื่นๆ เดินเข้าไปข้างใน พวกเขาได้ยินเสียงทะเลาะกันดังลั่นจากชั้นบน “อะไรวะเนี่ย! พวกเขากล้าดียังไงมารังแกหมิงซี! ฉันจะสอนบทเรียนให้พวกเขาเอง!” ฮ่าวหรันโกรธมาก วิ่งไปที่ชั้นสาม ตามด้วยคนอื่นๆ
ภายในห้องนั่งเล่น ครอบครัวของหยูหมิงซีและผู้ชายผู้หญิงคู่หนึ่งกำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด “ฉันบอกแกแล้วว่าบ้านหลังนี้เป็นของพ่อพวกเรา แกจะเอาไปคนเดียวไม่ได้ แกบอกว่าพ่อให้เงินพวกฉันสามหมื่นหยวนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ถ้าอย่างนั้นค่าชดเชยรื้อถอนนี้แกก็เอาไปสามหมื่นหยวนแล้วกัน ที่เหลือพวกฉันจะแบ่งกันเอง” ผู้ชายในวัย 50 เป็นคนพูด เขาคือลุงคนโตของหนูหมิงซี และเขาพูดเรื่องนี้วนเป็นสิบรอบแล้ว
“ใช่!” ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขาคือป้าของหยูหมิงซี
“บ้าไปแล้ว! สามหมื่นหยวนเมื่อสิบกว่าปีก่อนจะเทียบกับตอนนี้ได้ยังไง!” พ่อของหยูหมิงซีโกรธจนเนื้อเต้น
อันที่จริง สามหมื่นหยวนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเท่ากับสามแสนหยวนในปัจจุบัน! จะอย่างไรก็ตามพ่อของหยูหมิงซีไม่ยินยอมที่จะรับเงินเพียงสามแสนหยวนและปล่อยให้พวกเขาแบ่งปันส่วนที่เหลือเช่นกัน
“พวกฉันไม่สน ต้องแบ่งกันแบบนี้เท่านั้น!” ป้าของหยูหมิงซียืนยันกระต่ายขาเดียว พวกเขาไม่สนใจว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกันเมื่อมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง
“นี่...” พ่อหยูหมิงซีโมโหจนพูดไม่ออก ส่วนแม่ของหยูหมิงซีไม่ใช่คนที่เถียงกับคนอื่นได้ เธอจึงไม่ได้เข้าร่วมการโต้เถียงครั้งนี้ หยูหมิงซีพยายามพูดช่วยพ่อแต่ถูกลุงกับป้าตำหนิว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก เธอจึงทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
ประตูไม่ได้ปิด ดังนั้นฮ่าวหรันและคนอื่นๆ จึงบุกรุกเข้ามาข้างในบ้าน ซึ่งทำให้ผู้คนในห้องนั่งเล่นตกใจ