ตอนที่ 3
เจ้าโอสถสายรุ้ง
นครหลวงลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน ตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่งด้านทิศใต้ของแม่น้ำฮวงโหติดกับแม่น้ำลั่วสุ่ย ทิศเหนือพิงภูเขาหมางซาน ทิศตะวันออกใกล้กับเมืองหู่เหลา ทิศตะวันตกเป็นด่านหันหู่กวน รอบด้านเป็นภูเขาโอบล้อม
มณฑลเหอหนาน ทิศเหนือติดกับมณฑลซานซีและเหอเป่ย ทิศใต้ติดกับมณฑลหูเป่ย ทิศตะวันออกติดกับมณฑลซานตงและอันฮุย ทิศตะวันตกติดกับมณฑลส่านซี
ตรอกแคบทางทิศตะวันออกของนครหลวงลั่วหยาง เวลานี้เป็นยามซิง(ประมาณสิบหกนาฬิกา) ผู้คนพลุกพล่าน เนื่องด้วยมีร้านรวงเปิดกิจการร้านค้า ซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของเครื่องใช้ บ้างเปิดร้านขายภาพเขียนตัวหนังสือต่าง ๆ บ้างขายผ้าแพรพรรณหลากหลายสีสัน รวมถึงโคมไฟรูปร่างแตกต่างกันให้เลือกซื้อหา อีกทั้งร้านขายยาสมุนไพรยังเปิดอยู่เรียงรายหลายร้าน มองดูคึกคักอักโข
ก่อนหน้านี้ เมื่อหลายปีก่อน พื้นที่แถบนี้แทบกลายเป็นเมืองร้าง เนื่องจากชาวบ้านที่เป็นชายฉกรรจ์ ต่างถูกทางการเกณฑ์ไปเป็นทหาร บ้างถูกบังคับไปใช้แรงงาน ส่วนชาวบ้านที่เป็นหญิงที่มีร่างกายแข็งแรงล้วนถูกนำไปใช้แรงงานไม่แตกต่างกัน หากเป็นชาวบ้านที่เป็นหญิงอ่อนแอและคนชรา รวมถึงเด็กและทารก ต่างถูกทอดทิ้งให้อยู่กับบ้านเรือน
คนชรากับเด็กและชาวบ้านที่เป็นหญิงอ่อนแอ ต้องอยู่กันอย่างขวัญผวา ด้วยมีโจรผู้ร้ายชุกชุม ออกปล้นชิงวิ่งราวฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่เพียงน้อยนิดล้วนถูกปล้นชิงไป ทางการไม่มีเวลามาดูแลปราบปราม เพราะต้องทำสงครามสู้รบ ชาวบ้านที่ทนไม่ไหวต่างอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่เมืองอื่น
ภายหลังการรวมแผ่นดินของราชวงศ์สุย สภาพบ้านเมืองโดยรวมได้รับการฟื้นฟูจากภาวะสงคราม มีการเติบโตด้านการผลิตและการค้าขาย เกิดความสงบสุขอยู่ระยะหนึ่ง สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ขณะนั้น ได้ดำเนินการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ โดยยุบรวมเขตปกครองในท้องถิ่น ลดขนาดองค์กรบริหารรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ฮ่องเต้กุมอำนาจเด็ดขาด ทั้งทางทหารและการปกครอง โดยมีขุนนางเป็นเพียงผู้ช่วยในการบริหาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันการแก่งแย่งอำนาจและเป็นการลิดรอนอำนาจนั้นเอง
สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ ทรงนับถือพระพุทธศาสนา โปรดการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายประหยัด ตลอดรัชสมัยมีฮองเฮาเพียงพระองค์เดียว ขณะที่รัชทายาทหยางหย่ง กลับเลี้ยงดูสนมนางระบำไว้มากมาย สุยเหวินตี้จึงทรงปลดรัชทายาทหยางย่ง แต่งตั้งราชโอรสองค์รองหยางกว่างขึ้นแทน
ต่อมาหยางกว่าง ร่วมมือกับอวี้เหวินซู่และหยางซู่ วางแผนแย่งชิงบัลลังก์ เมื่อสุยเหวินตี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์กะทันหัน หยางกว่างสืบราชบัลลังก์ต่อมา มีพระนามว่าสุยหยางตี้ฮ่องเต้
สุยหยางตี้ฮ่องเต้ เมื่อขึ้นครองราชย์กลับลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจ ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เกณฑ์แรงงานชาวบ้านนับล้านสร้างนครหลวงตะวันออกแห่งใหม่ที่ลั่วหยาง และอุทยานตะวันตกที่มีอาณาบริเวณกว่าสามร้อยลี้ ซ่อมและสร้างกำแพงหมื่นลี้
นอกจากนี้ยังขุดคลองต้าอวิ้นเหอ เพื่อการท่องเที่ยวแดนเจียงหนัน(กังหนำ) และเชื่อมต่อดินแดนตอนเหนือและใต้ เชื่อมบรรจบแม่น้ำห้าสายเข้าด้วยกัน ทำให้ลั่วหยางกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคม สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ชาวบ้านอดอยากได้ยาก มีชาวบ้านที่หลบหนีการเกณฑ์ทหารและแรงงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บ้างกลายเป็นคนจรหมอนหมิ่นไร้ที่อยู่อาศัย
แต่เมื่อวันเวลาล่วงผ่านเลยไป ปรากฏว่าคลองต้าอวิ้นเหอที่ขุดเชื่อมต่อดินแดนตอนเหนือและใต้ เชื่อมบรรจบแม่น้ำห้าสายเข้าด้วยกันนั้น กลับทำให้เมืองลั่วหยางกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคม มีสินค้าจากทั่วสารทิศบรรทุกมากับเรือสินค้า เดินทางมายังลั่วหยาง ทำให้ทั้งเมืองคึกคักไปด้วยพ่อค้าวาณิชย์ และชาวบ้านนำสินค้ามาวางขายและเปิดร้านรวงกันอยู่เนืองแน่น
ดังนั้นแม้แต่ตรอกแคบเล็ก ๆ แห่งนี้ ยังคึกคักไปด้วยพ่อค้าวาณิชย์ ต่างกอบโกยกำไรจากการค้าขาย บ้างเปิดโรงเตี๊ยม ในตรอกแคบแห่งนี้มีโรงเตี๊ยมอยู่หลายแห่งด้วยกัน ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดน่าจะเป็นโรงเตี๊ยมชื่อ “ต้าเหอชุน” เจ้าของเดิมขายกิจการให้กับอดีตหัวหน้าคุ้มกันภัยที่นอกด่าน ก่อนอพยพหนีสงครามไปอยู่เมืองอื่น
โรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงได้ปรับปรุงมีอยู่ด้วยกันสองชั้น ด้านล่างตั้งเป็นโต๊ะไม้และม้านั่ง สำหรับนั่งรับประทานอาหาร มีอยู่ด้วยกันราวยี่สิบโต๊ะ ชั้นสองยังมีโต๊ะรับประทานอาหาร สำหรับแขกคนพิเศษอีกห้าโต๊ะ โต๊ะหนึ่งนั่งได้หกคน นอกนั้นจัดเป็นห้องพักสิบกว่าห้อง ในแต่ละวันมีแขกเหรื่อเข้าใช้บริการคับคั่ง
ยามนี้ ความมืดของราตรีกาลเริ่มปกคลุม แขกเหรื่อที่มารับประทานอาหารต่างทยอยออกจากร้าน จะเหลือเพียงแขกที่เข้าจองห้องพักเท่านั้น หน้าโรงเตี๊ยมจุดโคมไฟสว่างไสวเรืองรอง มองไปมุมหนึ่งของสถานที่ ซึ่งสร้างเป็นระเบียงยื่นออกไปยังสระน้ำ ยังคงนั่งอยู่ด้วยคนผู้หนึ่ง รูปร่างสูงประมาณหกถึงเจ็ดเชี๊ยะ
คนผู้นั้น สวมใส่อาภรณ์ด้วยผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีเทาเข้ม บนศีรษะสวมทับด้วยหมวกเล่ยปีกกว้าง โดยรอบขอบหมวกปล่อยผ้าแพรเบาบางสีดำ ปิดห้อยลงมาจนถึงเหนือริมฝีปาก เผยให้เห็นเพียงหนวดเครายาว และริมฝีปากค่อนข้างหนาเท่านั้น
แม้ว่าอาหารบนโต๊ะ จะหมดทุกจานแล้ว แต่ทว่าชายคนดังกล่าวยังคงนั่งสงบนิ่ง เสมือนกำลังรอคอยผู้คนอยู่กระนั้น สายลมยามค่ำคืนพัดโชยผนวกกับละอองสายน้ำในสระ ทำให้บรรยากาศยามนี้ คล้ายเยือกเย็นอย่างอธิบายไม่ถูก
ทันใดนั้น เสียงวัตถุชนิดหนึ่งแหวกพุ่งฝ่าอากาศเร่งร้อน มายังทิศทางที่คนผู้นั้นนั่งอยู่ด้วยความเร็วสุดเปรียบปาน เสียงวัตถุนั้นแม้กระทบโสต แต่ทว่าคนผู้นั้นหาสนใจไม่ ยังคงนั่งสงบนิ่ง พอวัตถุนั้นพุ่งเข้ามาใกล้ห่างไม่ถึงหนึ่งคืบ ค่อยสะบัดฝ่ามือขวับ ใช้สองนิ้วคีบจับวัตถุนั้นไว้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วยิ่ง
ชายผู้ที่ใช้สองนิ้วคีบจับวัตถุที่พุ่งมา หันขวับไปตามทิศทางที่มาของวัตถุ ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“พลังวัตรและฝีมือการซัดขว้างนับว่าไม่เลว คล้ายน่าสนใจอยู่ไม่น้อย”
ในขณะเดียวกันนั้น ไกลออกไปเพียงไม่กี่วา แลเห็นเงาหลังสองร่าง พุ่งกายหายเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง คนผู้ที่นั่งอยู่รีบล้วงเงินในอกเสื้อวางลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วเร่งฝีเท้าติดตามไปอย่างรวดเร็ว ดูจากฝีเท้าแผ่วเบาไร้น้ำหนัก นับว่าเป็นยอดคนผู้หนึ่งในบู๊ลิ้ม
เมื่อออกจากตรอกขวางทะลุสู่ถนนสายหนึ่ง ซึ่งมุ่งไปยังนอกเมือง เงาร่างสองสายปรากฏแล้วหายไปในความมืดสลัว ที่แท้วัตถุนั้นคือแผ่นกระดาษเล็ก ๆ เขียนด้วยหมึกสีดำคำว่า “เนินเสือดาว” ห่อหุ้มใส่ก้อนหินซัดขว้างอย่างแม่นยำ
ความแรงและความเร็ว ในการซัดขว้างแฝงกำลังภายในถึงสี่ส่วน หากเป็นคนทั่วไปมิได้ฝึกยุทธ์ หรือพลังฝีมือไม่สูงส่งพอ อาจถูกพลังลมปราณที่บรรจุแฝงมา กระแทกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสแล้ว เนินเสือดาวอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกราวห้าสิบลี้
ชายคนดังกล่าว ทุ่มเทท่าร่างวิ่งตะบึง พริบตาเดียวไล่เงาร่างสองสายทัน ก่อนถึงเนินเสือดาวไม่มากนัก เมื่อติดตามถึงถาโถมเข้าหาทั้งสองคน พร้อมแยกย้ายฝ่ามือซ้ายขวา แผ่พุ่งพลังจู่โจมเข้าหาคนทั้งคู่ ด้วยระดับความเร็วปานสายฟ้า
ชายผู้นั้น ส่งเสียงเกรี้ยวกราดตวาดว่า
“เตรียมรับกระบวนท่าวิชาฝ่ามือของเราดู”
ที่แท้คนทั้งสองคือเฮียม่วยแซ่เฟิ่นนั้นเอง ค่ำคืนนี้ทั้งสองอยู่ในชุดอำพรางสีดำรัดกุม คลุมหน้ามิดชิดเช่นกัน
ยามนั้น เสียงเพี้ยะผะฝ่ามือซ้ายของชายผู้นั้น ปะทะกับฝ่ามือขวาของเฟิ่นไป่ชิ่ง ส่วนมือขวาปะทะกับมือขวาของเฟิ่นมู่เหอ สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ถอยร่นไปสองก้าวก่อนตั้งหลัก แล้วทะยานเข้าหาชายคนดังกล่าวอีกครั้ง
ชายผู้นั้น ย่อตัวลงเล็กน้อยพลางหมุนร่างคว้างเป็นรูปครึ่งวงกลม เท้าซ้ายเกี่ยววูบเข้าหาข้อพับของเฟิ่นมู่เหอ อีกทั้งสะบัดฝ่ามือต้านรับท่าจู่โจม จากด้านข้างของเฟิ่นไป่ชิง เฟิ่นมู่เหอสะกิดปลายเท้าคราหนึ่ง พลิกร่างหงายไปด้านหลัง รอดพ้นจากท่าเตะของชายคนดังกล่าว แต่กระนั้นยังรับรู้ถึงสภาวะที่เกรี้ยวกราด ของพลังปราณไร้สภาพที่ม้วนทะลักแผ่พุ่งมา
เมื่อชายคลุมหน้ารับท่าจู่โจมจากเฟิ่นไป่ชิงแล้ว รีบพุ่งตัวตามติดต่อยหมัดขวาใส่ด้านข้างของเฟิ่นมู่เหอ ช่วงจังหวะนั้นเฟิ่นไป่ชิง หมุนตัวหนึ่งรอบพร้อมกับเตะใส่หัวไหล่ด้านซ้าย ของชายผู้นั้นอย่างเร่งร้อน
ชายผู้นั้น ส่งเสียงกล่าววาจาชื่นชมดังว่า
“กระบวนท่าเตะนี้นับว่าใช้ได้ เตะออกได้ไม่เลว”
ชายคลุมหน้ามิลนลาน ย่อตัวลงรอดพ้นท่าเท้าของไป่ชิง พร้อมกับหมัดขวาพุ่งต่อยออก โดนสีข้างของเฟิ่นมู่เหอไม่รุนแรงนัก หมัดของชายคนดังกล่าว เมื่อสัมผัสต้องร่างเฟิ่นมู่เหอ คล้ายรับรู้ถึงพลังที่กล้าแข็งแฝงพลังยืดหยุ่น ที่ต้านรับหมัดของตน
ทางด้านเฟิ่นไป่ชิง เมื่อเตะพลาดรีบสะกิดเท้าตีลังกากลางอากาศ ร่างลอยอยู่เหนือศีรษะของชายคลุมหน้า แล้วพุ่งสองฝ่ามือลงมายังกลางกระหม่อมของชายผู้นั้น ด้วยท่วงท่าสภาวะสวยงามหมดจดไร้ที่ติ
ชายผู้นั้นส่งเสียงร้องดังว่า
“กระบวนท่ามรสุมทะยานคลื่น ในวิชาวายุกรีดนภา ใช้ออกมาได้ไม่เลว”
ชายคนดังกล่าว เพียงยกฝ่ามือข้างเดียวขึ้นต้านรับสองฝ่ามือของเฟิ่นไป่ชิง เขาใช้พลังเพียงสามส่วนในการต้านรับกับสองฝ่ามือ พอฝ่ามือของทั้งสองปะทะ กระแสพลังม้วนทะลักแตกกระจายออกด้านข้าง เฟิ่นไป่ชิงเมื่อปะทะฝ่ามือกับชายคลุมหน้าแล้ว ตีลังกากลางอากาศรอบหนึ่ง ทิ้งตัวลงสู่พื้นอย่างหมดจดสดใส
นางเมื่อลงมือไม่ประสบผลสำเร็จเป็นครั้งที่สาม จึงย่อตัวลงพร้อมกับประสานมือทั้งสองอย่างนอบน้อม ส่งเสียงกล่าววาจาต่อชายคนดังกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเฟิ่นไป่ชิง คารวะอาวุโส”
ทางด้านเฟิ่นมู่เหอ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เพราะใช้พลังวัตรคุ้มครองกาย สลายพลังที่ชายคลุมหน้าต่อยหมัดโดนสีข้างด้านซ้าย ผนวกกับหมัดของชายผู้นั้น ที่ต่อยมาไม่รุนแรงนัก เฟิ่นมู่เหอก้าวเท้าเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างเฟิ่นไป่ชิง พร้อมกับโน้มตัวประสานสองมือต่อหน้าชายคลุมหน้าอย่างนอบน้อมเช่นกัน แล้วส่งเสียงกล่าววาจาขึ้นว่า
“ข้าพเจ้าเฟิ่นมู่เหอ คารวะอาวุโส ส่วนนางเป็นม่วยม่วยของข้าพเจ้า”
ชายสวมหมวกเล่ยปีกกว้างปิดหน้า ส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ กล่าววาจาว่า
"วิเศษ วิเศษ เจ้าเฒ่าแม้แก่ชรา ทว่ากลับอบรมสั่งสอนศิษย์ได้ดี ไม่นึกเลยว่าเจ้าทั้งสองคน จะสามารถรับมือเราได้หลายกระบวนท่า ไม่เลว ไม่เลว ฮา ๆ"
ยามนั้น ชายคลุมหน้ากล่าววาจา พลางถอดหมวกเล่ยออก เผยให้เห็นใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา ดูจากใบหน้าประดับไปด้วยร่องรอยเหี่ยวย่น ของคนวัยประมาณเจ็ดสิบปี คิ้วขาวประปรายดวงตาเจิดจ้าดุจอินทรี ไว้หนวดยาวเลยมุมปากทั้งสอง ทิ้งลงมารวมกับเคราสามเหลี่ยม ไม่บางไม่หนาบริเวณปลายคาง เส้นผมบนศีรษะสีขาวแซมสลับดำ ผูกมัดเป็นเกล้าด้วยเศษผ้าหยาบสีเข้มรวบไว้กลางศีรษะปล่อยปลายผมยาวเลยไหล่อันกว้างผึ่งผาย ไหล่ทั้งสองยกเชิดตั้งขึ้นเล็กน้อย
สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น แสดงสีหน้าขอบคุณ เฟิ่นมู่เหอส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เราเฮียม่วย ได้รับคำสั่งท่านเจ้าผาให้เสาะหาอาวุโส แต่ทว่าวันก่อนเกิดเรื่องราวขึ้นมาเสียก่อน จึงทำให้ล่าช้าเสียเวลาไปบ้าง”
จากนั้น เฟิ่นไป่ชิงรีบส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“เรื่องราวที่พี่ชายข้าพเจ้ากล่าวเมื่อครู่ เราสองคนรู้ตัวว่ามีคนชุดดำสองคน ลอบติดตามเราเฮียม่วยไปยังชายป่า ท้ายหมู่บ้านเย้ยอรุณกลางหุบเขา พี่ชายข้าพเจ้าจึงทิ้งเครื่องหมายนัดแนะเอาไว้ ให้กับท่านที่โรงเตี๊ยมต้าเหอชุน ต้องขออภัยอาวุโสที่ทำให้ท่านต้องล่าช้าเสียเวลา”
เฟิ่นมู่เหอ ส่งเสียงกล่าวถามต่อว่า
“อาวุโสสบายดี? ต้องลำบากท่านมากแล้ว”
ชายผู้นั้นแย้มยิ้ม ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เราสบายดี ความจริงพวกเจ้ากล่าวหนักไปแล้ว เรามิได้ยุ่งยากลำบากสักเท่าใด”
จากนั้น เฟิ่นไปชิง นางส่งเสียงกล่าววาจาบอกกล่าวว่า
“นอกจากคนชุดดำสองคนแล้ว เราสองเฮียม่วยยังประสบกับแม่ชีนิรนามนางหนึ่งเข้า ท่าทางดุร้ายวิชาฝ่ามือกล้าแข็งลึกล้ำ พวกเราทั้งสองได้ประมือกับนางด้วย ส่วนรายละเอียดข้าพเจ้าจะเล่าให้อาวุโสฟัง”
หลังจากนั้น สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ต่างช่วยกันบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่าพวกตนได้พบเห็นเรื่องราวเหตุการณ์ใดมาบ้าง เมื่อบอกเล่ารายเอียดทั้งหมดจบลง ชายคนดังกล่าวพยักหน้า ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“พวกเจ้าทั้งสองคน อย่าได้เรียกหาเราว่าอาวุโสเช่นนั้น อาวุโสเช่นนี้อยู่เลย เราฟังแล้วระคายหูนัก ต่อไปให้พวกเจ้าเรียกเราว่า ‘เจ้าโอสถสายรุ้ง’ เรียกเช่นนี้จะไพเราะน่าฟังกว่า ได้ยินแล้วยังระรื่นหูเราอยู่บ้าง เรายังไม่อยากแก่ชราถึงปานนั้น เจ้าทั้งสองอย่ากล่าววาจาเกรงอกเกรงใจจนเกินไป ว่าแต่เจ้าเฒ่าชราสุขสบายดีหรือไม่?”
ชายผู้ที่เรียกตนเองว่า เจ้าโอสถสายรุ้ง กล่าววาจาว่าต่อจากนี้ มิให้เรียกหาท่านว่าอาวุโสอีก แล้วกล่าวถามถึงท่านเจ้าผา ซึ่งหมายถึงอาจารย์ของทั้งสองเฮียม่วยนั้นเอง
ดังนั้น เฟิ่นมู่เหอผู้เป็นพี่ชาย ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“ท่านเจ้าผาสบายดี ที่ผ่านมาท่านมัวแต่เก็บตัวฝึกวิชาฝ่ามือ ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องราวของยุทธภพ ยิ่งสถานที่ที่ท่านพำนักอยู่อากาศดียิ่ง อีกทั้งยังสงบและเพลิดเพลินด้วยธรรมชาติห้อมล้อม ทั้งยังให้ความสดชื่นปลอดโปร่งโล่งสบาย ทำให้ท่านมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงยิ่ง ทางด้านพลังฝีมือยิ่งรุดหน้าอีกหลายขั้น”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“เราได้ยินพวกเจ้าบอกกล่าวเช่นนี้ เราเองก็สบายใจ ความจริงเรากับท่านเจ้าผาของพวกเจ้า มิได้พบหน้ากันมาหลายปี เผลอไม่เท่าไหร่ถึงกับผ่านไปถึงสิบห้าปีแล้ว ท่านเจ้าผาของพวกเจ้า ท่านหันหลังให้กับยุทธภพ ไม่คิดจะก้าวย่างลงมาจากผาแม้แต่ก้าวเดียว”
เฟิ่นไป่ชิง นางส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ดังนั้น ท่านเจ้าผาจึงไม่เคยพบหน้าสหายคนใดเลย ตลอดสิบกว่าปีที่เก็บตัวอยู่บนผา หากมีธุระอะไรต้องกระทำ ท่านจะมอบหมายให้พี่ชายของข้าพเจ้า เป็นผู้ลงจากผามาทำธุระให้กับท่าน ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ท่านได้อนุญาตให้ข้าพเจ้าติดตามพี่ชายมาด้วย”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พยักหน้าแล้วส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เช่นนั้นเราจึงหมดห่วง เจ้าเฒ่านับว่าโชคดีอยู่บ้าง ที่มีศิษย์ที่ดีเช่นพวกเจ้าทั้งสองคน”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กล่าวพลางสำรวจใบหน้าของเฟิ่นไป่ชิง ซึ่งตอนนี้นางและพี่ชายของนาง ได้ดึงผ้าคลุมหน้าออก จึงเผยให้เห็นใบหน้าของทั้งสองได้ในระยะใกล้ ๆ ค่ำคืนนี้เฟิ่นไป่ชิงนางแต่งกายคล้ายบุรุษ แต่กระนั้นยังดูออกอยู่บ้าง ว่านางเป็นอิสตรีที่มีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร
เมื่อดึงผ้าคลุมหน้าออก จึงเผยให้เห็นใบหน้างดงามสะคราญโฉมนางหนึ่ง ด้วยรูปร่างบอบบางทรวดทรงได้สัดส่วน รูปโฉมโนมพรรณที่งดงามปานเทพธิดามาจุติ วงพักตร์รีดั่งไข่หงส์ที่ประดับไปด้วยคิ้วเรียวโก่งประหนึ่งคันศร ดวงตาดับขลับประดุจนิล ปากนิดจมูกหน่อยแต่แฝงความดื้อรั้นอยู่ในที
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน แสดงสีหน้าพึงพอใจคล้ายชื่นชมอยู่ในใจ ส่งเสียงเอ่ยกล่าวกับทั้งสองว่า
“เราเส้าเยี๊ยะเทียน ฉายาเจ้าโอสถสายรุ้ง หลายปีมานี้ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพเช่นกัน ที่ผ่านมาได้แต่หาสมุนไพรปรุงยา มีเวลาว่างมักเขียนตำรับตำรายาสมุนไพรต่าง ๆ บ้างก็บัญญัติวิชาฝ่ามือขึ้นมาใหม่หลายชุด หลายปีมานี้อยู่ตัวคนเดียวเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก หากมีเด็กน่ารักน่าเอ็นดูเยี่ยงเจ้า มาเป็นบุตรีที่ประเสริฐน่าจะดีไม่น้อย”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กล่าววาจาด้วยความเอ็นดู เฟิ่นไป่ชิงรีบปฏิเสธด้วยความเอียงอายขวยเขิน ยิ่งขับเสริมความงดงามของดรุณีแรกรุ่นออกมา เฟิ่นไป่ชิงนางส่งเสียวกล่าววาจาว่า
“ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง ท่านกล่าวชมข้าพเจ้ามากไปแล้ว พี่ชายชอบกล่าวหาว่าข้าพเจ้าซุกซน ไม่มีความเป็นอิสตรีแม้แต่น้อย ขืนท่านมีบุตรีที่ไม่เอาไหนเยี่ยงข้าพเจ้า ท่านคงอกแตกตายก่อนวัยชราเป็นแน่”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน แย้มยิ้มพลางล้วงเข้าในอกเสื้อ หยิบฉวยขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กสีขาวออกมาใบหนึ่ง ปากขวดเคลือบปิดด้วยจุกผ้าสีแดงสด แล้วยื่นส่งให้เฟิ่นไป่ชิง พร้อมกับเอ่ยกล่าววาจาว่า
“ภายในขวดเคลือบใบนี้ บรรจุตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ซึ่งเราเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้เมื่อไม่นานมานี้ ในใต้หล้าตัวยานี้มีเพียงสิบเม็ด ภายในขวดเคลือบใบนี้ บรรจุตัวยาอยู่หกเม็ดด้วยกัน ประกอบด้วยเม็ดยาสีแดงจำนวนสามเม็ด และเม็ดยาสีดำอีกจำนวนสามเม็ด เราขอมอบให้กับเจ้าเป็นของขวัญวันแรกพบเจอกัน อันเนื่องจากเราเองรู้สึกถูกชะตากับเจ้ายิ่งนัก”
ยามนั้น เฟิ่นไป่ชิงยื่นมือรับขวดยามาพิศดู พลางส่งเสียงกล่าววาจา ไถ่ถามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนว่า
“ยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ไฉนชื่อยาจึงน่ากลัวขนาดนั้น มันเป็นยาพิษชนิดใดกัน? ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง กรุณาช่วยอธิบายให้ข้าพเจ้าได้กระจ่างด้วยเถิด”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านเอามือข้างหนึ่งซึ่งถือหมวกเล่ยไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นลูบเครายาว พลางส่งเสียงกล่าววาจาอธิบายว่า
“ตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณนี้ มีความพิเศษพิสดารอยู่มาก มันเป็นตัวยาที่เราปรุงจากพิษสิบแปดชนิดที่แตกต่างกัน ซึ่งพิษแต่ละชนิดล้วนต้านพิษด้วยกันเอง ตัวยาเม็ดสีแดงเรียกว่าเก้าพิษโหยหวน เม็ดยาสีดำเรียกว่าเก้าพิษดับโลกันตร์”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน แสดงสีหน้าภูมิอกภูมิใจ ส่งเสียงกล่าววาจาบอกเล่าต่อว่า
“ตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ แม้จะมีความพิเศษพิสดาร แต่ทว่าหากใช้ผิดวิธีขึ้นมา ตัวยานี้ก็เป็นยาพิษที่เขย่าขวัญสั่นวิญญาณเลยทีเดียว หากรับประทานเม็ดยาสีหนึ่งสีใดลงไปลำพังเพียงเม็ดเดียว มันจะกลายเป็นยาพิษ ที่จะคร่าวิญญาณของคนผู้นั้น ให้โหยหวนชวนสยดสยอง ต้องทรมานวิญญาณลงสู่โลกันตร์เพียงไม่กี่ชั่วยาม แต่หากรับประทานพร้อมกันสองเม็ดต่างสี จะเป็นยารักษาพิษได้ชะงัดสารพัดชนิด”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กล่าววาจามาถึงตรงนี้ เฟิ่นมู่เหอ จึงส่งเสียงกล่าววาจา ไถ่ถามขึ้นบ้างว่า
“ในเมื่อตัวยาที่ว่านี้ ปรุงออกมาจากพิษสิบแปดชนิด ไฉนจึงเรียกว่ายาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ? ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง กรุณาบอกกล่าวให้ข้าพเจ้ากับไป่ชิงได้กระจ่างด้วยเถิด”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ยกมือข้างขวาขึ้นลูบหนวดเครายาวขึ้นลง แล้วส่งเสียงกล่าววาจาตอบต่อสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ด้วยความภาคภูมิใจว่า
“ถูกต้อง ตัวยาปรุงจากพิษสิบแปดชนิดก็จริง แต่พิษแต่ละชนิดข่มพิษด้วยกันเอง ดังนั้นหากรับประทานตัวยาเม็ดสีหนึ่งสีใดลำพัง มันจึงเป็นพิษเพียงเก้าชนิดที่รุนแรง วิธีแก้จะต้องรับประทานตัวยาเม็ดสีต่างกันเท่านั้น จึงจะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ในใต้หล้านี้ไม่มีตัวยาใด? ที่จะมาแก้พิษ ตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณของเราได้อีกแล้ว”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564