Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (เชื้อเชิญไม่มามิสู้พบหน้าโดยบังเอิญ)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

เชื้อเชิญไม่มามิสู้พบหน้าโดยบังเอิญ

  • 26/09/2565

ตอนที่ 201

เชื้อเชิญไม่มา มิสู้พบหน้าโดยบังเอิญ

อาชาพ่วงพีสีหมอกเหยาะย่างอยู่บนเส้นทางวังเวง คนทั้งสามนั่นคือ หยางปู้ชุยชิว เซียวเยี่ยนผิง และเอียวอั้งเย๊าะ หลังจากควบขับอาชาห้อตะบึงถึงเจ็ดสิบแปดสิบลี้โดยมิได้หยุดพัก

เส้นทางวังเวงวิเวกจนพิสดาร บรรยากาศยามบ่ายคล้ายดั่งวิกาลดึกดื่น บนเส้นทางสายหลักสายรองมองดูเงียบเหงา อย่าว่าแต่เงาร่างของผู้คน กระทั่งเงามุสิกสักตัวยังมองมิเห็น ผู้คนหลบหน้าหนีหายไปที่ใดหมดสิ้น หยางปูชุยชิวสิ่งเสียงกล่าวถามว่า

“สหายแซ่เอียว เราคล้ายรู้สึกถึงความประหลาดประการหนึ่ง? ตั้งแต่พวกเราทั้งสามเหยียบย่างเข้ามา ยังไม่พบหน้าผู้คนแม้แต่ผู้เดียว ไม่เพียงแต่ผู้คนเท่านั้น กระทั่งสุนัข สุกร มุสิกสักตัวก็ยังไม่เห็นเพ่นพ่าน มิทราบว่าชาวบ้านเหล่านั้น ตอนนี้พวกเขาหลบหนีไปที่ใดหมดสิ้น”  

เอียวอั้งเย๊าะรู้สึกแปลกประหลาดใจมิได้เช่นกัน เมื่อสองวันที่แล้วมันคลุกคลีอยู่แถบบริเวณนี้ อย่างน้อยสมควรจะต้องพบหน้าผู้คนอยู่บ้าง แต่ทว่าตลอดระยะรายทางมุ่งสู่หมู่บ้านยังไม่พบเงาคน ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เราเองรู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก คล้ายกับแปลกประหลาดจริงดั่งท่านว่า ความจริงจะต้องมีชาวบ้านเดินทางผ่านไปมาบ้าง แต่นี่ตลอดระยะรายทางดูเงียบเหงาวังเวง คล้ายกับกลายสภาพเป็นหมู่บ้านร้างก็ปาน อีกราวห้าลี้จะบรรลุถึงหมู่บ้านชนบท เป็นไปได้หรือไม่? พวกเขาทนความหิวโหยมิได้ล้มตายลง อีกส่วนหนึ่งจึงอพยพหนีความอดอยากไปตายเอาดาบหน้า”

เยี่ยนผิงแสดงสีหน้าใช้ความคิด แล้วส่งเสียงกล่าวแสดงความคิดเห็นว่า

“หากพวกเขาหิวโหยล้มตายลงจริง ๆ อย่างน้อยพวกเราจะต้องพบร่างซากศพบ้าง สำหรับข้อสันนิษฐานของสหายน้อยแซ่อวย ซึ่งท่านคิดว่าพวกเขาอาจพากันอพยพหนีความอดอยาก ประการนี้ก็มิน่าจะเป็นไปได้เช่นกัน”

เอียวอั้งเย๊าะกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า

“พี่สาวแซ่เซียว ท่านคล้ายมีความคิดเห็นใดอยู่ในใจ?”

เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เราเองคล้ายมีความคิดเห็นเช่นนั้นจริง แต่ทว่ายังไม่มั่นใจเท่าใดนัก พวกเราลองเข้าไปตรวจสอบภายในหมู่บ้านดูก่อน หากไม่พบผู้ใดจริง ๆ เราค่อยบอกกล่าวออกไปให้ได้ทราบ”

หยางปู้ชุยชิวส่งเสียงกล่าวสนับสนุนว่า

“พวกเราไปตรวจสอบในหมู่บ้านแล้วค่อยว่ากล่าว”

อีกเพียงครู่เดียว คนทั้งสามบรรลุถึงหมู่บ้านชนบท เมื่อลงจากหลังม้าแล้ว พากันแยกย้ายตรวจค้นภายในหมู่บ้าน หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่งกลับไม่พบผู้คน ดังนั้นจึงกลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่หน้าหมู่บ้าน หยางปู้ชุยชิวส่งเสียงกล่าวว่า

“ตรวจค้นจนทั่วทั้งหมู่บ้านแล้วไม่พบผู้คน เจ้เจ๊ท่านว่าพวกเขาไปที่ใดได้บ้าง?”

เยี่ยนผิงยังมิทันกล่าววาจาตอบ เอียวอั้งเย๊าะส่งเสียงกล่าวถามบ้างว่า

“ถูกต้อง ก่อนที่พวกเราทั้งสามจะเดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน พี่สาวแซ่เซียวท่านคล้ายสังเกตสิ่งใดได้ใช่หรือไม่?”

เยี่ยนผิงพยักหน้ายอมรับ ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า

“เราคล้ายพบร่องรอยที่น่าสงสัย ตลอดเส้นทางเข้ามาในหมู่บ้านมีรอยเท้าอันสับสน ชาวบ้านชนบทหรือชนชั้นชาวยุทธจักร รอยเท้าที่เหยียบย่ำลงบนพื้นย่อมมีหนักเบา รอยเท้าชาวบ้านธรรมดาสามัญ คล้ายจะทิ้งน้ำหนักไม่อาจหยั่งเท้า จึงทำให้รอยเท้าจมลึกไปสักหน่อย ส่วนรอยเท้าบางเบาจนแทบเลือนราง ย่อมเป็นรอยเท้าของผู้ที่มีวิชาตัวเบา เราสังเกตดูอยู่ระยะหนึ่ง รอยเท้าที่มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านดูปกติดีมิน่าสงสัย แต่พอเทียบกับรอยเท้าที่ก้าวออกจากหมู่บ้านพลันเห็นว่าน่าสงสัย”

ได้ยินเช่นนั้น หยางปู้ชุยชิวจ้องมองใบหน้าเยี่ยนผิง เขาคล้ายทราบความคิดของเยี่ยนผิงแล้ว เขาเองกลับขาดความรอบคอบในเรื่องราวเหล่านี้ มีแต่เยี่ยนผิงที่ละเอียดรอบคอบถ้วนถี่ มิมีเรื่องราวใดที่หลุดรอดการสังเกตของนางไปได้ ส่งเสียงกล่าวถามว่า

“ใช่พวกมันทั้งสามล่วงรู้อยู่ก่อน ว่าพวกเราจะเดินทางมาที่นี่”

เยี่ยนผิงนางพยักหน้า ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ถูกต้อง พวกท่านมาดูรอยเท้าตรงนี้”

เยี่ยนผิงกล่าววาจาจบ ก้าวเท้าออกนำหน้าหยุดยืนอยู่บนพื้นดินที่หนึ่ง ซึ่งมีสภาพคล้ายจะอ่อนนิ่มกว่าพื้นดินบริเวณอื่นอยู่บ้าง บนพื้นดินมีรอยเท้าอยู่มากมายสับสน เยี่ยนผิงนางหักกิ่งไม้ใกล้มือกิ่งหนึ่งชี้ไปที่รอยเท้าเหล่านั้น ส่งเสียงกล่าวอธิบายว่า

“พวกท่านทั้งสองลองดู รอยเท้าบนพื้นมาตรว่ามีอยู่มากมายหลายรอยก็จริง แต่มีอยู่หกรอยที่เหยียบย่ำสม่ำเสมอ รอยเท้ากลับแผ่วเบาเมื่อเปรียบเทียบกับรอยเท้าอื่น ๆ หากมิใช่ผู้มีวรยุทธ์มีกำลังภายในวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยม จะเป็นผู้ใดไปได้อีก แต่ทว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ในบู๊ลิ้มมีอยู่มากยิ่ง กระทั่งไม่อาจนับได้ครบถ้วน เพียงแต่มีรอยเท้าอยู่สองรอยที่ดูแปลกไปจากรอยเท้าอื่น ๆ”

เอียวอั้งเย๊าะ มันพอได้ยินเยี่ยนผิงแจกแจงออกมาเช่นนั้น คล้ายกับได้เปิดหูเปิดตา แม้แต่รอยเท้าผู้คนบนพื้นสตรีนางนี้กลับยังสามารถอธิบายออกมาได้เป็นฉาก ๆ รีบส่งเสียงกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า

“พี่สาวแซ่เซียว รอยเท้าสองรอยที่ท่านว่า มีความแปลกประหลาดเช่นไร? รีบอธิบายให้ผู้เยาว์ได้เปิดหูเปิดตาด้วย”

หยางปู้ชุยชิวได้ยินเยี่ยนผิงกล่าวเช่นนั้น ด้วยสมองอันปราดเปรื่องของเขา มองไปที่รอยเท้าเหล่านั้นจึงมองออกได้ทันที หากเขาเป็นเช่นจ่านจือคนก่อน คิดว่าป่านนี้คงมิสามารถมองออกได้ง่ายดาย แต่หลังจากพบพานกับปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ เขาคล้ายกลายเป็นยอดคน จนแทบไม่อยากเชื่อถือตนเองเช่นกัน ได้ยินเยี่ยนผิงนางอธิบายให้เอียวอั้งเย๊าะฟังว่า

“รอยเท้าทั้งหกรอยนี้ จริงอยู่สมควรเป็นรอยเท้าของผู้เยี่ยมยุทธ์ แต่มีอยู่สองรอยที่ไม่คล้ายรอยเท้าอื่น ๆ สหายน้อยแซ่เอียวเจ้าลองสังเกตดู ข้าง ๆ ของสองรอยเท้านี้มีสิ่งใดที่ไม่เหมือนกับรอยเท้าอื่น ๆ”

เอียวอั้งเย๊าะ มันความจริงเป็นชนชั้นอันธพาลมาก่อน ดังนั้นก้มลงมองสอดส่ายสายตาไปมาอยู่เที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า

“ใช่แล้ว ๆ ถูกต้องของพี่สาวแซ่เซียว ข้าง ๆ ของสองรอยเท้านี้มีรอยกลม ๆ จมอยู่ในผิวดิน แม้บางช่วงอาจจะขาดหายไปบ้างแต่ยังสังเกตได้ออก ผู้ที่เดินอยู่ทางด้านนี้ในมือขวาจะต้องถืออาวุธยาวชนิดหนึ่ง อาจเป็นหอกทวน กระบองยาว หรืออาวุธที่มีลักษณะค่อนข้างยาวถูกต้องหรือไม่?”

หยางปู้ชุยชิวกับเยี่ยนผิงแสดงสีหน้ายิ้มแย้มอย่างชื่นชม เอียวอั้งเย๊าะนับว่าเป็นคนที่มีมันสมองไม่ธรรมดา หยางปู้ชุยชิวส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“สหายแซ่เอียว ท่านกล่าวได้ถูกต้อง เป็นอาวุธลักษณะเช่นนั้นจริง เพียงแต่มิใช่หอกทวนหรือกระบองยาว แต่เป็นไม้เท้าสีดำสนิทด้ามหนึ่ง บนหัวของไม้เท้าแกะสลักเป็นรูปอสรพิษ ในปากของอสรพิษยังซุกซ่อนอาวุธลับอาบยาพิษเอาไว้ ซึ่งมีกลไกอันพิสดารซ่อนไว้ที่ตัวไม้เท้า สามารถใช้ออกได้ตามใจปรารถนา อานุภาพร้ายกาจน่ากลัวยิ่ง”

ยามนั้น เอียวอั้งเย๊าะพอได้ยินคำตอบเช่นนั้น แสดงสีหน้าตระหนกตกใจ คล้ายกับคาดคิดมิถึงว่าจะมีอาวุธอันน่ากลัวเช่นนี้ รีบส่งเสียงกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า

“ที่แท้เป็นไม้เท้ารูปอสรพิษ ฟังจากวาจาที่ท่านว่า ไม้เท้ายังน่ากลัวเพียงนี้ เช่นนั้นผู้ที่เป็นเจ้าของไม้เท้านี้ จะน่าสะพรึงกลัวเพียงใดแล้ว?”

เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“คนผู้นี้น่ากลัวยิ่ง ในบู๊ลิ้มยกย่องให้มันเป็นเจ้าแห่งพิษ เรียกว่าสองเฒ่าพิษแห่งสำนักอสรพิษดำ ฝ่ายสามีมีฉายาตาเฒ่าเข็มวิเศษนามฝ่านอี้เฉิน ส่วนฝ่ายภรรยามีฉายายายเฒ่าหมื่นพิษนามเนี๊ยะซิ้ว มันทั้งสองแม้นเป็นฆราวาสแต่กลับมีบุตรชายออกบวชเป็นบรรพชิต เป็นถึงศิษย์เอกของอดีตท่านเจ้าอาวาสคนก่อน มันมีชื่อว่าหลวงจีนถู่ฝูแห่งวัดเส้าหลิน”

หยางปู้ชุยชิวส่งเสียงกล่าวต่อทันทีว่า

“ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วมีอาวุธเป็นไม้เท้าอสรพิษดำ หากท่านพบพานกับยายเฒ่าร้ายกาจนี้จงระมัดระวังตัวไว้ให้ดี ในยุทธภพนี้มีอยู่ไม่กี่คนที่สามารถประมือกับนางได้โดยที่ไม่เพลี่ยงพล้ำ”

ยามนั้น มีเสียงหัวร่อแหบแห้งดังขึ้น จากนั้นร่างของสองคนโลดแล่นละลิ่วมา เมื่อทิ้งเท้าสัมผัสพื้นยืนอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา เป็นสองสามีภรรยาแห่งสำนักอสรพิษดำ สองเฒ่าพิษที่กล่าวถึง ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน กับยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว เพียงแต่มิเห็นหลวงจีนชั่วถู่ฝูเท่านั้นเอง”

ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ แค่นน้ำเสียงกล่าววาจาว่า

“เชื้อเชิญไม่มา มิสู้พบหน้าโดยบังเอิญ พวกเจ้าทั้งสองนับว่าหนังเหนียวไม่เบา ขนาดกระโดดลงไปในแม่น้ำสองสีกลับยังไม่ตาย ความจริงพวกเราส่งมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงลงไปเป็นเพื่อนพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับยังมีชีวิตรอดกลับออกมาได้อีก แต่ทว่าสำหรับเยิ่นหว่อถิง เราคิดว่ายมบาลคงมิอาจปล่อยตัวมันมาได้แล้วจริง ๆ”

ยามนั้น เยี่ยนผิงเชิดหน้าส่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ส่งเสียงร้องเฮอะคำหนึ่ง แล้วกล่าวว่า

“พวกท่านคงคาดคิดมิถึงใช่หรือไม่? ไฉนเป็ดที่ต้มสุก จึงโบยบินขึ้นมาได้ ข้าพเจ้าบอกพวกท่านเอาบุญก็ได้ พวกเราไม่คล้ายไก่ชนที่พ่ายแพ้เด็ดขาด(หมายถึงพ่ายแพ้ท้อแท้สิ้นหวัง) โอกาสแม้มีอยู่น้อยในน้อย แต่ทว่าพวกเราไม่ยอมปล่อยให้หลุดลอยโดยไม่รีบคว้าไว้ พวกท่านทั้งสองเล่า? มาทำกระไรที่นี่ รอยเท้าของพวกท่านมีอยู่สามคน มันอีกผู้หนึ่งหายหัวไปสถานที่ใด?”

สองเฒ่าพิษส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“พวกเรามีเท้าย่อมเดินมาเองได้ คิดว่าเรื่องราวที่เรามา คล้ายเป็นเรื่องราวเดียวกันกับที่พวกเจ้าเดินทางมากระมัง? เจ้ากำลังถามหาถู่ฝูว่ามันไปอยู่ที่ใด? เราบอกพวกเจ้าให้เอาบุญเช่นกัน ลูกไก่ในกำมือเหล่านั้น ล้วนถูกพวกเราจับตัวเอาไว้แล้ว ถู่ฝูย่อมต้องอยู่คอยเฝ้าดูพวกมัน หากภายในครึ่งชั่วยามเราสองคนไม่กลับไป ลูกไก่ในเล้าเหล่านั้นคงต้องถูกเชือดคอหอย กระทั่งลูกกระเดือกขาดกระจุยกระจาย”

หยางปู้ชุยชิวได้ยินเช่นนั้น แทนที่มันจะแสดงสีหน้าตระหนกตกใจ กลับส่งเสียงหัวร่อราวกับขบขัน ลอยหน้าลอยตาส่งเสียงกล่าวว่า

“ตาเฒ่าผมขาวท่านนี้ ท่านกล่าววาจาเหลวไหลอันใด? ลูกไก่ไฉนจึงมีลูกกระเดือกได้ ขนาดเป็ดที่ถูกต้มสุกอยู่ในหม้อ ยังกางปีกโบยบินขึ้นมาได้ ไฉนลูกไก่ที่อยู่ในอุ้งมือ จะมิกลายเป็นเหยี่ยวใหญ่อินทรียักษ์ได้ดอกรึ?”

ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว นางระเบิดเสียงหัวร่ออีกครากล่าววาจาว่า

“ทารกอันกลอกกลิ้ง วาจาหัวเสือหางงูของเจ้า เก็บเอาไว้หลอกผู้เฒ่าปัญญาอ่อนไม่มีสมองเถิด วาจาของเจ้าที่กล่าวมิอาจเป็นไปได้เด็ดขาด อย่าได้เล่นลิ้นปลิ้นปล้อน พวกเจ้ารีบกล่าววาจาที่น่าพึงพอใจแก่เรา พวกเจ้าสองคน...”

ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ขณะจะกล่าววาจาพลันสายตาเหลือบมาเห็นเอียวอั้งเย๊าะ จึงรีบหยุดคำพูดเอาไว้ ใช้สายตาสำรวจไป ๆ มา ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“โกวเนี้ยน้อยท่านนี้ ถือว่าเราเคยมีสัมพันธ์ที่ดีกันมาก่อน เจ้าจงรีบกล่าวกับเราตามความสัตย์ ทารกกลอกกลิ้งผู้นี้ที่แท้เป็นอะไรกับเจ้า? แล้วนี่ยังยังมีทารกสกปรกมอมแมมเพิ่มมาอีกผู้หนึ่ง พวกมันสองคนที่แท้เป็นศิษย์ของสำนักใด?”

เยี่ยนผิงแสดงสีหน้ายียวนกวนประสาท ส่งเสียงกล่าววาจาสวนกลับมาทันควันว่า

“พวกมันสองคนมีความสัมพันธ์ใดกับข้าพเจ้า มีอันใดเกี่ยวข้องกับพวกท่านทั้งสอง? พวกมันจะเป็นพี่น้อง หรือว่าเป็นสหายล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกท่าน หากต้องการทราบท่านทั้งสองก็มิได้เป็นใบ้ พวกมันสองคนก็มิได้หูหนวก หากมีปัญญาสามารถก็กล่าวถามกับพวกมันเอาเองเถิด”

ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว รวมทั้งตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน ทั้งสองโกรธเกรี้ยวกระทั่งลมแทบออกหู แต่ทว่าสงบสติอารมณ์เยือกเย็นลง เรื่องราวอื่นควรเก็บระงับโทสะเอาไว้ก่อน ตอนนี้เรื่องที่ต้องการทราบ คือความลับเกี่ยวกับกระบี่คู่วิเศษนั้นเอง ยายเฒ่าพิษมีสีหน้าเย็นยะเยือก เปลือกนอกเย็นชาราวน้ำแข็ง แต่ทว่าภายในนั้นร้อนรุ่มดุจไฟสุมท่วมอก ความลับเกี่ยวกับกระบี่สุริยันและกระบี่จันทรา วันนี้พวกมันคิดว่าจะต้องเค้นถามให้ได้ความจริง

ย้อนไปก่อนหน้านี้ หลังจากพวกมันทั้งสามคนออกมาจากถ้ำผาหลงเหมิน หลังจากหาสถานที่ลับตาผู้คนค้นหาความลับบนผืนภาพวาด ผ่านไปสองวันพวกมันทั้งสามยังไม่อาจค้นหาความลับใดได้ ดังนั้นจึงออกเสาะหาช่างวาดภาพที่มีชื่อเสียง เพื่อให้ช่วยตีความนัยไขความลับบนภาพวาดผืนนั้น แต่ทว่ามิว่าจะเหยียบย่างไปที่ใด? ไม่มีช่างวาดภาพที่มีความสามารถคลี่คลายไขความลับบนภาพวาดนี้ได้

การที่ช่างวาดภาพเหล่านั้น ไม่อาจไขความลับได้ถือว่าเป็นโชคดีของพวกมันอยู่มาก หากทว่ามีช่างวาดภาพผู้ใดสามารถไขความลับนี้ได้ พวกมันทั้งสามคิดจะปลิดชีวิตปิดปากเสียทันที เพื่อรักษาความลับสำคัญอันนี้ไว้มิให้แพร่งพราย หลังจากเดินทางไปหลายที่ บังเอิญพบพานกับหยางปู้ชุยชิวและเยี่ยนผิงเข้าโดยบังเอิญ

ดังนั้นแอบสะกดรอยติดตามมาห่าง ๆ จวบจนพบเหตุการณ์คนของคอกปศุสัตว์ป้อมอาชามังกรเขียว ไล่ล่าทารกสกปรกมอมแมมผู้หนึ่ง สืบเนื่องติดต่อกระทั่งได้ยินการสนทนาของคนทั้งหมด เมื่อทราบว่าคนทั้งสามจะเดินทางมาช่วยเหลือชาวบ้านที่หมู่บ้านชนบท จึงพากันล่วงหน้ามาก่อนแล้วจับกุมตัวชาวบ้านเหล่านั้นเอาไว้เป็นตัวประกัน เค้นถามเอาความจริงเกี่ยวกับกระบี่คู่วิเศษที่ต้องการ

ยามนั้น เยี่ยนผิงแสดงสีหน้าเย้ยหยัน ส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“ยายเฒ่าหนอยายเฒ่า ตาเฒ่าหนอตาเฒ่า พวกท่านทั้งสองแก่ชราปูนนี้แล้ว จึงฟั่นเฟือนสมองเลอะเลือนราวกับทารก ข้าพเจ้าจะบอกกล่าวให้ก็ได้ ความจริงพวกเราทราบอยู่ก่อนแล้วว่าเป็นพวกท่าน ดั่งคำกล่าวที่ว่า คนมิผิด ผิดที่พกพาหยกติดตัวความจริงบนภาพวาดผืนนั้น ข้าพเจ้าได้โรยผงฝุ่นหอมหมื่นลี้เอาไว้ ต่อให้พวกท่านเดินทางไปที่ใด? ข้าพเจ้าก็ยังสูดได้กลิ่นหอมนั้นอยู่ดี”

เยี่ยนผิงหยุดกล่าววาจาเล็กน้อย จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“ความจริงก่อนที่พวกเราจะลงเรือน้อยข้ามฟากลำนั้น พวกเราได้ส่งพิราบสื่อสารไปยังวังบุปผาก่อนแล้ว ส่งข่าวต่อบิดามารดาของข้าพเจ้าให้เดินทางมาสมทบ พวกท่านทั้งสองเป็นถึงเฒ่าเซียนพิษแห่งยุค กลับถูกพวกเราหลอกตลบหลังเอาได้ ฉะนั้นป่านนี้ลูกไก่ในกำมือคงมิใช่ชาวบ้านเหล่านั้นแล้ว ท่านลองคาดเดาเอาเองได้กระมัง? ผู้ใดกันแน่ที่จะกลายเป็นลูกไก่ที่ถูกเชือดลูกกระเดือกกระจุยกระจาย”

สองเฒ่าพิษแห่งสำนักอสรพิษดำสีหน้าแดงก่ำกระทั่งเขียวคล้ำ ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินแค่นเสียงคำหนึ่งในลำคอ กระชากเสียงกล่าวอย่างไม่ยอมเชื่อถือว่า

“โกวเนี้ยน้อยนางนี้ เจ้ามากเล่ห์กลอกกลิ้งปานใด? ไฉนเราจะไม่ทราบ ดังนั้นอย่าได้คิดกล่าววาจาหลอกเรา ผงฝุ่นหอมหมื่นลี้ใช่มีอยู่จริง หากเจ้าโรยผงฝุ่นที่ว่านี้บนภาพวาดจริง ทำไมพวกเราทั้งสามจึงมิได้กลิ่นหอมที่ว่านี้ได้”

เยี่ยนผิงปรบมือหัวร่อชอบอกชอบใจ ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“พวกท่านทั้งสองแก่ชราแล้วจริง ๆ มิน่าเล่าถึงโง่เง่าถึงเพียงนี้ อันว่าสมบัติมีเจ้าของ ผู้อื่นไหนเลยจึงทราบได้ หากกลิ่นของผงฝุ่นหอมหมื่นลี้ ผู้อื่นสูดดมกลิ่นได้ง่ายดายจะใช้ได้อย่างไร? มีแต่ข้าพเจ้าจึงรู้จักวิธีสูดดมกลิ่นผงฝุ่นหอมหมื่นลี้นี้ได้ หากพวกท่านไม่เชื่อเมื่อพบหน้านางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ลองสอบถามกับนางดูก็ได้ เป็นนางที่มอบผงฝุ่นนี้ให้แก่ข้าพเจ้า ตอนที่เรายังเป็นบุตรมารดากันก่อนหน้านี้”

ยามนั้น หยางปู้ชุยชิวแสดงสีหน้าทะเล้น ทำจมูกฟุดฟิดก้าวเท้าเข้ามาใกล้กับสองเฒ่าพิษ จากนั้นทำจมูกย่นยู่คล้ายสูดกลิ่นหอมเหม็นอันใด ก้าวเท้าเป็นวงรอบกายสองเฒ่าพิษเที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“เจ้เจ๊ ข้าพเจ้าลองสูดดมดูแล้วเช่นกัน จมูกข้าพเจ้าคงมิได้พิการไปกระมัง? กลับสูดมิได้กลิ่นหอมอันใดดั่งอาวุโสทั้งสองกล่าว เพียงแต่สูดได้กลิ่นเน่าเหม็นตุ ๆ คล้ายดั่งกลิ่นผายลม หรือไม่ก็เป็นกลิ่นอาจมสกปรกโสมมก็ปาน”

ในชั่วพริบตานั้น หยางปู้ชุยชิวยัดวัตถุหนึ่งใส่มือเยี่ยนผิง เป็นเศษผมหงอกขาวสองปอยของสองเฒ่าพิษ ขณะที่เขาเดินวนรอบกายสองเฒ่าพิษ ใช้ออกด้วยวิชาวานรอาศัยความว่องไว ขโมยเศษผมบนศีรษะของสองเฒ่าพิษมาโดยที่มันทั้งสองไม่รู้สึกตัว จากนั้นหยางปู้ชุยชิวส่งเสียงกล่าวกับสองเฒ่าพิษว่า

“ตอนนี้มิใช่อีกครึ่งชั่วยาม หากพวกท่านทั้งสองไม่กลับไป แต่กลายเป็นภายในครึ่งชั่วยาม หากเจ้เจ๊กับสหายของข้าพเจ้าไม่ไปปรากฏตัว เห็นทีหัวของหลวงจีนชั่วถู่ฝูคงมิได้ประดับเอาไว้บนบ่าแล้ว”

สองเฒ่าพิษแห่งสำนักอสรพิษดำ พากันกระทืบเท้าคราหนึ่งส่งเสียงเคียดแค้นกล่าวพร้อมเพรียงกันว่า

“พวกเจ้า!

ยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป