ตอนที่ 148
ดาบเสี้ยวพระจันทร์ในค่ำคืนเดือนเสี้ยว
วิกาลยิ่งคล้อยดึก บรรยากาศยิ่งวังเวง สายลมมิกระโชกแล้ว แมลงสัตว์ปีกปิดปากเงียบสนิท มิส่งเสียงร้องอีกแล้ว ราวกับนัดหมายกันเอาไว้ปานฉะนั้น
เมฆน้อยคล้อยเคลื่อนบดบังจันทร์เสี้ยว เอี้ยวเซียวก็เช่นเดียวกัน ช่วงชิงจังหวะนี้อาศัยความมืด ใช้ต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้ใต้เงาเดือนเสี้ยว นางอำพรางตัวแล้ว อำพรางอย่างเงียบงันและแนบเนียนยิ่ง เงียบงันดั่งเช่นแมลงสัตว์ปีกในบริเวณนั้น
ทุกสรรพสิ่งคล้ายหยุดชะงักลง แม้แต่กิ่งก้านใบไม้ยังมิกล้าสั่นไหวโอนเอน กระแสลมเย็นเยียบแผ่วผ่านแล้วจางหาย คล้ายกับสายลมยังมิกล้าเคลื่อนไหวในช่วงเวลานี้
ขอทานแปดหว่านฉี เหลียวกลับไปไม่พบเห็นเอี้ยวเซียว สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ส่งเสียงกล่าวถามผู้เฒ่าคุ้มกฎทั้งสองว่า
“พวกท่านทั้งสอง แม่นางเอี้ยวเซียวนางหายตัวไปตั้งแต่เมื่อใด? ไฉนข้าพเจ้าจึงมิทันสังเกต พวกท่านทราบหรือไม่?”
สองผู้เฒ่ารักษากฎ ผู้เฒ่าลู่ กับผู้เฒ่าโอ่ว ผู้เฒ่าขอทานทั้งสองหันมองหน้ากันแล้วส่ายหน้าไปมา ผู้เฒ่าโอ่วกล่าวตอบขอทานแปดหว่านฉีว่า
“ข้าพเจ้ากับผู้เฒ่าลู่ มิได้สังเกตเช่นเดียวกันท่าน นางหายไปตั้งแต่เมื่อใด? ป่าแถบนี้ต้นไม้ยิ่งปกคลุมหนาแน่น บดบังแสงคบไฟไปเกือบหมดสิ้น แม้แต่เสียงฝีเท้านางยังจางหายไป”
ผู้เฒ่าลู่ส่งเสียงกล่าวขึ้นบ้างว่า
“หรือว่านางก้าวย่างพลัดหลงกับพวกเราเข้าแล้ว ยิ่งก้าวเท้าลึกเข้าไปยิ่งมองมิเห็นสิ่งใด? เป็นไปได้หรือไม่? นางอาจหลงทางเข้าไปในเขตป่าลึก”
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉีส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“ข้อสันนิษฐานนี้อาจเป็นไปได้ แต่ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า แม่นางเอี้ยวเซียวเติบโตมาในป่าเก้าหยก นางหากเหยียบย่างเข้าไปไม่แน่ว่า อาจกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีกก็เป็นไปได้”
เอี้ยวเซียวนางกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีกแล้วจริง ๆ ป่าเปรียบเสมือนเป็นบ้านของนาง ดังนั้นคำว่าหลงทางจึงไม่อาจนำมาเอ่ยอ้างหรือใช้กับนางแล้ว
นางแหงนหน้าขึ้นมองจันทร์เสี้ยววูบหนึ่ง มือขวากระชับด้ามดาบเสี้ยวพระจันทร์ นางชักดาบเสี้ยวพระจันทร์ออกจากฝักแล้ว ดาบเสี้ยวพระจันทร์สะท้อนคมดาบวูบวาบใต้แสงจันทร์เสี้ยวสลัวเลือน มือขวากระชับดาบมั่น มือซ้ายกวัดแกว่งด้ามดาบ ดาบเสี้ยวพระจันทร์กระทบกับด้ามดาบเสียงดังเคร้งคร้างติงตัง ฟังคล้ายเกิดการต่อสู้อยู่ในป่า
ขอทานทั้งสามฟังคล้ายได้ยินการต่อสู้อยู่ในป่าเช่นกัน ผู้เฒ่าลู่ กับผู้เฒ่าโอ่ว ขยับเท้าหมายพุ่งกายเข้าไปโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ยังช้ากว่าขอทานแปดหว่านฉี ท่านส่งเสียงร้องทัดทานขึ้นก่อนว่า
“ช้าก่อน ท่านทั้งสองใจร้อนวู่วามไปแล้ว ในชัยภูมิเช่นนี้ขืนท่านทั้งสองบุ่มบ่ามมุดเข้าไปพร้อมเพรียงกัน มิใช่ว่าอันตรายรอคอยพวกท่านอยู่ข้างหน้าแล้วเช่นนั้นรึ? แม่นางเอี้ยวเซียวอาจบพบพานคนร้ายแล้ว เราท่านไม่อาจทราบได้ว่า คนร้ายมีจำนวนมากน้อยเท่าใด? พวกท่านทั้งสองลืมเลือนขบคิดเหตุผลข้อนี้?”
ผู้เฒ่าลู่ ผู้เฒ่าโอ่ว ได้ยินเช่นนั้นพลันสติกลับคืนมา รีบรั้งเท้ากลับคืน แล้วพยักหน้าเห็นด้วย ส่งเสียงพร้อมเพรียงกันว่า
“เช่นนั้น พวกเราแยกย้ายเป็นสามทาง”
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ส่งเสียงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าจะมุดเข้าไปตามเส้นทางสายนี้เอง”
ผู้เฒ่าลู่ส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“ข้าพเจ้าจะอ้อมไปยังทิศทางตะวันออก”
ผู้เฒ่าโอ่วส่งเสียงกล่าวต่อทันทีเช่นเดียวกันว่า
“ข้าพเจ้าจะอ้อมไปทิศทางตะวันตก”
สิ้นเสียงกล่าว ผู้เฒ่าทั้งสามแยกย้ายออกเป็นสามทาง คนละหนึ่งเส้นทาง แต่สำหรับเอี้ยวเซียวแล้ว นางเลือกเพียงเส้นทางสายเดียว หลังจากกระทบด้ามดาบกับคมดาบติง ๆ ชุดสุดท้าย นางเลือกเส้นทางสายตะวันออก นางไปดักรอผู้เฒ่าลู่
นางชำนาญเส้นทางในป่า นางคล้ายพยัคฆ์ติดปีกจริง ๆ พริบตาเดียว นางโลดแล่นมาร้อยกว่าวา จากนั้นโผพุ่งขึ้นสู่คบไม้อันมีใบหนาแน่นปกคลุม
ในขณะเดียวกัน ผู้เฒ่าลู่พุ่งร่างมาถึง มือข้างหนึ่งถือลำไม้ไผ่ มือข้างหนึ่งถือคบไฟ เหนือศีรษะผู้เฒ่าลู่ บนคบไม้ล้วนปกคลุมด้วยใบไม้แน่นขนัด
ถึงแม้นใบไม้จะหนาแน่นปานใด? คนบนคบไม้ได้เคลื่อนไหวแล้ว ใบไม้กระจายแตกออก ใบไม้ที่กระจายแตกออก ผู้เฒ่าลู่กลับดูออก มิใช่ใบไม้ในธรรมชาติ แต่เป็นอาวุธลับรูปใบไม้
อาวุธลับครอบคลุมดั่งร่างแหอยู่เหนือศีรษะ ผู้เฒ่าลู่แค่นเสียงประหลาดคำหนึ่ง ลำไม้ไผ่ในมือตวัดวาดออกคล้ายบุปผาเบ่งบานวงหนึ่งอยู่เหนือศีรษะ
พลังฝีมือของผู้เฒ่าลู่มิใช่ชั่วช้าเลวทราม บุปผาไม้ไผ่วงนั้น จึงปัดป่ายอาวุธลับเบนเบือนไปคนละทิศละทาง
พลังฝีมือของเอี้ยวเซียวกลับไม่เลวทรามต่ำช้า ช่วงเวลาที่ผ่านมา เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนสั่งสอนให้ ได้รับการถ่ายทอดมาไม่น้อย นับว่ารุดหน้ามิธรรมดาดั่งเช่นกาลก่อน
นอกจากฝีมือที่ไม่ธรรมดาแล้ว นางยังเฉลียวฉลาด อาศัยชัยภูมิที่นางคุ้นเคย เลือกใช้ต้นไม้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นอาวุธลับของนางจึงออกแบบมาเป็นรูปใบไม้ ใบไม้ที่มีประกายสีเขียวแหลมคม บุปผาไม้ไผ่ของผู้เฒ่าลู่แม้รวดเร็ว แต่ไม่อาจใช้ออกได้ถึงขีดสุด เนื่องด้วยลำไม้ไผ่มีขนาดความยาวมากเกินไป ดังนั้นอาวุธของผู้เฒ่าลู่จึงไม่เหมาะกับชัยภูมิเช่นนี้
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เอี้ยวเซียวนางย่อมทราบดีที่สุด ดังนั้นนางจึงเลือกใช้ชัยภูมิเช่นนี้ ชัยภูมิป่าหนาแน่นไม่เหมาะกับอาวุธของผู้เฒ่าลู่อย่างยิ่ง เช่นนั้นจึงเป็นอาวุธของเอี้ยวเซียวสามารถใช้ออกได้ถึงขีดสุดในชัยภูมิเช่นนี้
ผู้เฒ่าลู่แค่นเสียงร้องหนัก ๆ คำหนึ่ง บริเวณหัวไหล่ ข้อศอก รวมไปถึงข้อมือซึ่งถือลำไม้ไผ่ อาวุธลับรูปใบไม้ปักเข้าใส่สามจุดนี้ สิ้นเสียงร้องหนัก ๆ จำต้องปล่อยลำไม้ไผ่หลุดร่วงจากมือ
เหนือศีรษะผู้เฒ่าลู่ บังเกิดเสียงเกรียวกราว ใบไม้ที่หนาแน่นพลันแยกออก ร่างหนึ่งพุ่งศีรษะลงมาจากช่องแยกนั้น เป็นเอี้ยวเซียวนางพุ่งลงมาราวดาวตกจากฟากฟ้า แต่ทว่านางมิใช่ดาวตก นางเป็นเอี้ยวเซียวซึ่งในมือกระชับดาบเสี้ยวพระจันทร์
ผู้เฒ่าลู่มองเห็นเลือนรางเป็นร่างคน วกคบไฟในมือหมายปกป้องศีรษะ แสงไฟจากคบไม้แม้นไม่สว่างไสว แต่ด้วยสายตาอันปราดเปรียวของผู้ฝึกยุทธ์ มีหรือที่จะดูมิออก?
ผู้เฒ่าลู่ส่งเสียงร้องดังว่า
“เป็นเจ้า!...?”
ผู้เฒ่าลู่ส่งเสียงกล่าวได้เพียงนี้ เนื่องด้วยเอี้ยวเซียวชิงกล่าวสวนก่อนว่า
“เป็นข้าพเจ้า”
ในเสียงกู่ก้องกังวานของเอี้ยวเซียว พร้อมกับคมดาบเสี้ยวพระจันทร์ ฟันฉับกับเปลวไฟเหนือคบไม้ดับวูบ จากนั้นประกายเย็นเยียบของเสี้ยวพระจันทร์พลันตวัดวูบอีกครั้งครา กระทั่งไม่อาจจำแนกแยกแยะได้ว่าเป็นประกายจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า หรือว่าเป็นประกายดาบเสี้ยวพระจันทร์ของเอี้ยวเซียวกันแน่?
ผู้เฒ่าลู่ แม้ไม่มั่นใจในประกายจันทร์เสี้ยว แต่สำหรับเอี้ยวเซียวนางมั่นใจ มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าบาดแผลที่หลอดลมของผู้เฒ่าลู่ เกิดจากประกายคมดาบเสี้ยวพระจันทร์ของนางอย่างแน่นอน
ผู้เฒ่าลู่ สายตาเบิกกว้าง จับจ้องร่างเอี้ยวเซียวซึ่งเพิ่งทิ้งเท้าเหยียบย่างสัมผัสพื้นตรงหน้า ผู้เฒ่าลู่ร่างสั่นสะท้าน มือข้างที่ถือคบไฟคล้ายไม่อาจบังคับ ปลายเล็บจิกเกาเข้าใส่ด้ามคบไฟไม่อาจควบคุม จากนั้นหยุดนิ่งสงบลง ปลดปล่อยคบไม้ร่วงหล่นสู่พื้น พร้อมกับร่างล้มครืนลงสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้น
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี เมื่อมุดดงไม้เข้ามา รีบสาวเท้าวิ่งตะบึงมายังตำแหน่งที่เกิดเสียงต่อสู้เมื่อครู่ก่อนหน้าที่จะเร่งรุดมา บริเวณนั้นไม่มีผู้ใด? ไม่มีการต่อสู้ มีเพียงร่องรอยการต่อสู้ พื้นดินใบไม้ล้วนเสียหายไปแถบหนึ่ง พลันเสียงต่อสู้ดังมาอีกแล้ว ดังมาจากทิศทางตะวันออก ผู้เฒ่าแปดหว่านฉีเปลี่ยนเส้นทางรีบมุ่งหน้าไปทิศทางด้านนั้นในทันใด
เป็นเอี้ยวเซียว นางเป็นผู้ทำเสียงต่อสู้ให้เกิดขึ้นเมื่อครู่ ด้วยคมดาบเสี้ยวพระจันทร์กับฝักดาบ ฟังคล้ายมีการต่อสู้เกิดขึ้นจริง ๆ เอี้ยวเซียวเก็บดาบเสี้ยวพระจันทร์คืนฝัก แล้วเหน็บไว้ที่สายคาดเอว จากนั้นก้มลงเก็บอาวุธลับรูปใบไม้ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณนั้น รวมทั้งบนหัวไหล่ ข้อศอก ข้อมือของผู้เฒ่าลู่
เอี้ยวเซียวเมื่อเก็บหลักฐานชิ้นสุดท้ายแล้ว ก้มลงเก็บลำไม้ไผ่ของผู้เฒ่าลู่พร้อมกับลูบคลำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนำไปวางไว้ในอุ้งมือของผู้เฒ่าลู่
จากนั้นเอี้ยวเซียวนางใช้ความชำนาญป่าของนาง พุ่งร่างจากไปทันที นางกำลังไปทิศทางที่เพิ่งจากมาเมื่อครู่ บริเวณนั้นนางทำหลักฐานตบตาเอาไว้ เพื่อให้ผู้คนเข้าใจว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นจริง ๆ สีหน้าท่าทางนางคล้ายมีแผนการอยู่ในใจ
เพียงลัดนิ้วบนฝ่ามือ เอี้ยวเซียวนางจึงบรรลุถึง ผู้เฒ่าโอ่วบรรลุถึงก่อนหน้านางไม่นานนัก พื้นดินพื้นหญ้าบริเวณนั้นทิ้งร่องรอยการต่อสู้อยู่ก่อนหน้านี้ ผู้เฒ่าโอ่วกำลังสำรวจตรวจสอบพอได้ยินเสียงฝีเท้าเงยหน้าขึ้น พบว่าเอี้ยวเซียวนางยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ดาบเสี้ยวพระจันทร์ตวัดวูบวาบผ่านเบื้องหน้าไป รวดเร็วยิ่ง
เพียงเงาดาบตวัดวูบ ผู้เฒ่าโอ่วขยับริมฝีปากคล้ายคิดกล่าวคำพูดใด? แต่ท่านมิอาจพูดออกมา ไม่มีน้ำเสียงส่งผ่านออกมาจากลำคอ หลอดลมของท่านขาดสะบั้นแล้ว เอี้ยวเซียวเก็บดาบเสี้ยวพระจันทร์คืนฝัก คมดาบยังคงสะอาดวาววับเป็นประกาย มิได้แปดเปื้อนคราบโลหิตแม้แต่น้อย ระดับฝีมือของเอี้ยวเซียวย่อมน่ากลัวขึ้นแล้ว
ผู้เฒ่าโอ่วร่างทรุดลง กระแทกสองเข่าลงกับพื้น สองมือกำลำไม้ไผ่อาวุธคู่กายยันพื้นไว้เบื้องหน้า ท่านเกาลำไม้ไผ่ดังเกรียวกราวราวควบคุมนิ้วมือเอาไว้มิได้ ชั่วพริบตาค่อย ๆ คลายมือออกจากลำไม้ไผ่ ดวงตาทั้งสองจับจ้องมองใบหน้าเอี้ยวเซียว จากนั้นร่างเอียงวูบลงกับพื้นดินสิ้นใจตายไปในลักษณะนี้
บนใบหน้าเอี้ยวเซียวไม่ปรากฏความรู้สึกใด? มีเพียงความเย็นชาราวเดือนเสี้ยว ที่สลัวเลือนเสมือนอำพรางบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ จันทร์เสี้ยวมาตรยังไม่ถึงกับมืดมิด แต่กลับมิได้สว่างเช่นกัน คล้ายดั่งเงาสีเทาเลือนราง อำพรางอยู่ภายในแสงนวลใย นี้อาจใช่ตัวตนอันแท้จริงของเอี้ยวเซียวผู้นี้
บัดนี้ผู้เฒ่าแปดหว่านฉีบรรลุถึงแล้วเช่นกัน เมื่อบรรลุถึงทราบได้ด้วยสัญชาตญาณ มีเรื่องราวเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พลันสายตาสะดุดกับร่างของผู้เฒ่าลู่บนพื้นดิน ผู้เฒ่าลู่ซึ่งปราศจากลมหายใจแล้ว
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ส่งเสียงร้องอุทานพิกลพิการฟังไม่เป็นสำเนียง น้ำเสียงท่านอุทานด้วยความตระหนกตกใจสุดขีด วิ่งเข้าไปพลิกร่างผู้เฒ่าลู่ พร้อมกับสองมือเขย่าร่างพลางส่งเสียงร้องเรียก ไม่มีเสียงขานตอบออกมาจากปากผู้เฒ่าลู่ มีเพียงโลหิตสด ๆ ที่ไหลซึมออกมาจากมุมปาก และไหลทะลักออกมาลำคอของท่าน
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี รู้สึกเย็นสันหลังวูบขึ้นมา เอี้ยวเซียวนางยังมาหายตัวไป นางจะพบพานชะตากรรมเช่นเดียวกันกับผู้เฒ่าลู่ด้วยหรือไม่? ผู้เฒ่าโอ่วอีกผู้หนึ่ง ป่านฉะนี้จะเจอะเจอกับคนร้ายแล้วหรือไม่?
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี สำรวจบาดแผลที่ลำคอของผู้เฒ่าลู่ ตรวจสอบร่องรอยหลักฐาน เผื่อว่าคนร้ายจะทิ้งเบาะแสใด? เอาไว้บ้าง
ไม่มีหลักฐานใด? ในที่เกิดเหตุ มีเพียงคบไม้ที่ส่วนปลายซึ่งมอดไหม้ ถูกฟันขาดดับลงแล้วท่อนหนึ่ง พร้อมกันนั้นยังมีลำไม้ไผ่อาวุธคู่กายของผู้เฒ่าลู่นั้นเอง
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี พลันฉุกคิด อาวุธประจำกายอยู่ในมือผู้เฒ่าลู่เช่นนี้ เป็นไปมิได้ที่จะมีผู้ใด? ทำอันตรายท่านได้ง่ายดาย หากในมือไม่อาวุธคู่กายนั้นย่อมเป็นอีกเรื่องราวหนึ่ง
ผู้เฒ่าแปดก้มลงหยิบอาวุธของผู้เฒ่าลู่ขึ้นมาถือไว้ในมือ พลางพลิกลำไม้ไผ่ในมือไปมา ลูบคลำอยู่เที่ยวหนึ่งในหัวสมองนึกขบคิด แต่แล้วผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ต้องร้องอุทานด้วยความตระหนกตกใจ ปลดปล่อยลำไม้ไผ่โยนทิ้งไปจากมือ
ในขณะเดียวกัน เอี้ยวเซียวโผล่ร่างออกมาจากหลังเงาไม้ ใบหน้านางยังคงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เมื่อหยุดเท้าแล้วส่งเสียงร้องถามผู้เฒ่าแปดหว่านฉีว่า
“อาวุโสท่านเป็นกระไรไปแล้ว? ไฉนสีหน้าท่านจึงดูตกอกตกใจถึงเพียงนั้น หรือว่าท่านถูกเข็มพิษบนอาวุธของอาวุโสลู่เข้าให้แล้วจริง ๆ”
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ส่งเสียงร้องถามขึ้นว่า
“แม่นางเอี้ยวเซียว เจ้าทราบได้เช่นไร? บนอาวุธของผู้เฒ่าลู่มีเข็มอาบยาพิษ”
เอี้ยวเซียวส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ไฉนข้าพเจ้าจะมิทราบ? เป็นข้าพเจ้าเองที่ทิ้งเข็มอาบยาพิษเอาไว้บนอาวุธของอาวุโสลู่”
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ส่งเสียงละล่ำละลักกล่าวถามว่า
“เป็นเจ้า!...ไฉนจึงเป็นเจ้า?”
เอี้ยวเซียวสีหน้าราบเรียบเย็นชา นางเลิกคิ้วสูงแล้วส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ไฉนจึงเป็นข้าพเจ้า? เรื่องราวช่างยืดยาวยิ่ง หากจะให้ข้าพเจ้าบอกเล่าต่ออาวุโสในเวลานี้ เกรงว่าคงมิมีเวลามากพอถึงปานนั้น เอาไว้อาวุโสไว้รอถามพร้อมกับอาวุโสลู่ อาวุโสโอ่ว เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจะส่งผู้ที่ทราบเรื่องราวกระจ่าง ไปตอบคำถามพวกท่านยังปรโลก”
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ยกมือชี้นิ้วไปยังใบหน้าเอี้ยวเซียว ส่งเสียงเกรี้ยวกราดตวาดด่าว่า
“เจ้า...เจ้าช่างอำมหิตนัก เรื่องราวที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่เจ้ากระทำในค่ำคืนนี้และที่ผ่านมา รวมทั้งผู้ร่วมมืออยู่กับเจ้า ในไม่ช้าจะต้องแดงออกมา เราขอสาปแช่งพวกเจ้าทั้งหมด ขอให้พวกเจ้าต้องตายทรมานยิ่งกว่าเราหลายเท่านัก”
กล่าวจบ ผู้เฒ่าแปดหว่านฉีล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ฉวยพลุไฟสัญญาณชูขึ้นกวัดแกว่งจุดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พลุไฟเมื่อพุ่งขึ้นสูงสุดแตกกระจายออก แสงสว่างจากพลุไฟสว่างไสว แสงสว่างจากพลุไฟบดบังแสงสลัวของจันทราเสี้ยวไปเพียงครู่เดียวจึงมอดลง
แม้นเพียงครู่เดียว นับว่าพอเพียงสำหรับสัญญาณนี้ ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ขอทานเก้าทิกว่อ รวมทั้งคนอื่น ๆ ต่างมองเห็นสัญญาณนี้แล้ว ทุกคนเร่งรุดไปยังตำแหน่งที่ส่งพลุไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที
เยี่ยนผิงเองนางเห็นสัญญาณพลุไฟนี้แล้วเช่นกัน รวมทั้งเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งหลาย นางรีบวิ่งเข้าไปบอกกล่าวต่อจ่านจือ จ่านจือเมื่อสอบถามลักษณะของพลุไฟ เขาส่งเสียงกล่าวกับทั้งหมดว่า
“นั้นเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือของเหล่าขอทาน ต้องมีเรื่องราวเกิดขึ้นแล้ว หากมิเช่นนั้นเหล่าขอทานจะมิส่งสัญญาณนี้เด็ดขาด พวกท่านรีบรุดไปตรวจสอบดู อาจมีเรื่องราวเลวร้ายเกิดขึ้นบนเขาหมื่นเซียนก็อาจเป็นได้”
เยี่ยนผิงรีบส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“หากเป็นเช่นนั้น ในเวลานี้ไม่อาจไว้วางใจ ข้าพเจ้ากับแม่นางไป่ชิง รวมทั้งเฉาลู่ฟาง จะไปตรวจสอบดู คาดว่าอาวุโสท่านอื่นคงรีบรุดไปกันแล้ว เรื่องเส้นทางในป่าแม่นางไป่ชิงย่อมชำนาญกว่าข้าพเจ้า ส่วนพวกท่านทั้งหลาย รอคอยฟังเรื่องราวอยู่ที่นี้ อยู่คุ้มครองจ่านจือให้ปลอดภัย”
กล่าวจบ เยี่ยนผิง และไป่ชิง รวมทั้งเฉาลู่ฟาง คว้ากระบี่แล้วพุ่งร่างปราด ๆ ไปยังตำแหน่งพลุไฟสัญญาณในทันที
เมื่อพลุไฟมอดลง บรรยากาศจึงกลับคืนสู่ความมิดสลัวเลือน จันทร์เสี้ยวยังคงส่องแสง ส่องต้องร่างของขอทานแปดหว่านฉี บัดนี้ท่านร่างกายและใบหน้าม่วงคล้ำ เอี้ยวเซียวแม้ยืนอยู่ในมุมสลัวยังส่งเสียงกล่าวว่า
“ขอบคุณอาวุโสแปด ที่ท่านจุดพลุไฟขึ้นสู่ท้องฟ้า ท่านส่งสัญญาณให้กับข้าพเจ้าเอง เมื่อพวกเขาเหล่านั้นมาถึง วิญญาณของท่านคงหลุดลอยออกจากร่างท่านแล้ว ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียวจะได้บอกกล่าวกับพวกเขาเหล่านั้น กล่าวว่าเป็นท่านสั่งเสียสุดท้ายให้ข้าพเจ้าช่วยจุดพลุส่งสัญญาณ พวกเขาคงจะซาบซึ้งในน้ำใจของข้าพเจ้าเอี้ยวเซียว”
ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ส่งเสียงแผ่วเบาเอ่ยกล่าวว่า
“เอี้ยวเซียว เจ้าช่างร้ายกาจชั่วช้ากว่าที่เราคาดคิดเอาไว้มากนัก บนเขาหมื่นเซียนคงมิได้มีเพียงแต่เจ้าผู้เดียว หรือว่าผู้ที่บงการเจ้าอยู่ในเงามืด ชุดดำลึกลับผู้นั้น ที่แท้เป็น...?”
กล่าวได้เพียงเท่านี้ ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ถูกพิษแทรกซึมกระจายไปทั่วร่างแล้ว พิษได้ทำลายอวัยวะภายในหมดสิ้นแล้ว ท่านขาดใจตายไปกับคำถามสุดท้าย คำถามสุดท้ายที่คล้ายกับท่านทราบคำตอบแล้ว ถึงแม้ว่าท่านจะทราบคำตอบ แต่นับว่าสายเกินไปแล้วจริง ๆ ผู้เฒ่าแปดหว่านฉีท่านตายแล้ว
เอี้ยวเซียวรีบก้าวเข้ามา พร้อมกับคว้าพลุไฟที่จุดแล้วในมือของขอทานแปดหว่านฉี พลุไฟอยู่ในมือเอี้ยวเซียวแล้ว ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนแนบเนียนไร้ช่องโหว่ เอี้ยวเซียวกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี ผู้เฒ่าคุ้มกฎทั้งสอง ผู้เฒ่าลู่ ผู้เฒ่าโอ่ว ขอทานทั้งสามมิมีผู้ใดเหลือชีวิตรอด เมื่อคนตายไม่อาจเปิดปากพูดได้ เอี้ยวเซียวนางมิยอมเปิดปากพูดเป็นเด็ดขาด ว่าทุกเรื่องราวเป็นการกระทำของนางเอง ดังนั้นหลังจากค่ำคืนนี้ จะมิมีผู้ใด? สามารถสืบทราบได้ว่า เป็นฝีมือของนางอย่างแน่นอน
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ สองสามีภรรยาแซ่เซียว พุ่งร่างปราด ๆ มาถึงก่อน ติดตามมาด้วยกลุ่มของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนตกอยู่ในอาการตระหนกตกใจ
เอี้ยวเซียวเอง นางยังไม่หายจากอาการตกอกตกใจเช่นกัน นางยังคงตัวสั่น ในมือยังกำกระบอกพลุไฟแนบแน่น สีหน้าขาวซีดดุจกระดาษ บนเนื้อตัวและอาภรณ์ของนาง ล้วนแปดเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน และเศษกิ่งใบไม้
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เห็นศิษย์ยืนตัวสั่นเช่นนั้น รีบตรงเข้าไปโอบไหล่ พร้อมกับสอบถามเรื่องราวต่อเอี้ยวเซียวว่า
“เอี้ยวเซียว เกิดเรื่องราวใดขึ้น? สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ แล้วบอกเล่ารายละเอียดออกมาให้ทุกคนในที่นี้ได้รับทราบ”
เยี่ยนผิง พร้อมทั้งไป่ชิง รวมทั้งเฉาลู่ฟาง เร่งรุดมาถึงที่เกิดเหตุเช่นกัน เมื่อเห็นภาพซึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งสองสีหน้าแปรเปลี่ยน เยี่ยนผิง เหลียวมองหน้าขอทานพเนจรหวงเกาฉือ แล้วหันมาทางด้านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เมื่อประสานสายตากับสองสามีภรรยาแซ่เซียววูบหนึ่ง สุดท้ายสายตาของนางมาหยุดยั้งอยู่ที่ร่างสั่นสะท้านของเอี้ยวเซียว
เอี้ยวเซียวยังคงเสียงสั่นหวาดกลัว เอ่ยปากเล่าเหตุการณ์ต่อทุกคนว่า
“หลังจากแยกย้ายกันเป็นสามสาย ข้าพเจ้าพร้อมทั้งผู้อาวุโสทั้งสาม ผู้เฒ่าแปดหว่านฉี สองผู้เฒ่าคุ้มกฎ ผู้เฒ่าลู่ ผู้เฒ่าโอ่ว ด้วยชัยภูมิซับซ้อนต้นไม้หนาแน่น ข้าพเจ้าจึงพลัดหลงกับผู้เฒ่าทั้งสาม ต่อมาข้าพเจ้าได้ยินเสียงต่อสู้เกิดขึ้น จึงได้รีบรุดไปยังต้นเสียง เมื่อไปถึงเสียงต่อสู้สงบเงียบลงแล้ว มีเพียงร่างของอาวุโสโอ่วนอนเสียชีวิตแล้ว ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงการต่อสู้เกิดขึ้นอีกครั้ง ข้าพเจ้าจึงได้รีบรุดมา การต่อสู้เกิดไม่นานในบริเวณนี้ที่ทุกท่านยืนอยู่”
เอี้ยวเซียวหยุดกล่าววาจาเล็กน้อย สีหน้าเริ่มคลายจากความหวาดกลัว ส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“เมื่อข้าพเจ้ารีบรุดมาถึง นับว่ายังมาสายไปก้าวหนึ่งแล้วจริง ๆ ได้แต่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าวสุดท้ายของอาวุโสแปดหว่านฉี ให้ข้าพเจ้าล้วงจุดพลุไฟในอกเสื้อของท่านให้ เมื่อจุดพลุส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไป ไม่นานเท่าใด? พวกท่านจึงเร่งรุดมาถึง”
ทุกคนรับฟังคำบอกเล่าของเอี้ยวเซียว ยังนับว่าโชคดีที่เอี้ยวเซียวยังเหลือรอดชีวิตกลับมาได้ เยี่ยนผิงหันมาสบตากับสองสามีภรรยาแซ่เซียวอีกครา แล้วส่งเสียงกล่าวว่า
“หากเป็นเช่นนี้ แม่นางเอี้ยวเซียวท่านคงไม่เห็นตัวคนร้ายถูกต้องหรือไม่? ข้าพเจ้าคิดว่าทุกท่านเรามาช่วยกันค้นหาร่องรอยหลักฐานในบริเวณนี้กันก่อนเถิด จากนั้นค่อยให้แม่นางเอี้ยวเซียว นำพาพวกเราไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งเกิดขึ้นกับท่านอาวุโสโอ่ว”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ต่างรีบช่วยกันค้นหาร่องรอยหลักฐานของคนร้าย เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ประสานสายตากับเอี้ยวเซียว เอี้ยวเซียวคล้ายทอประกายสายตาไร้เรื่องราวต่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน คล้ายกับบ่งบอกว่ามิมีสิ่งใดให้ต้องเป็นกังวล ทุกสิ่งทุกประการนางจัดการได้เรียบร้อยสมบูรณ์ดี
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564