Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (โรงเตี๊ยมสังหารบนเส้นทางสายหลัก)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

โรงเตี๊ยมสังหารบนเส้นทางสายหลัก

  • 31/08/2565

ตอนที่ 142

โรงเตี๊ยมสังหารบนเส้นทางสายหลัก

วิกาลคล้อยดึก บรรยากาศวังเวง สายลมพัดโชย โคมประทีปเรืองรองไหววูบ ภายในโรงเตี๊ยมเงียบสงบงัน แขกเหรื่อเข้าห้องพักผ่อนหมดสิ้นแล้ว

หลังโต๊ะเสมียนเก็บเงิน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตรวจสอบนับเงินปิดลิ้นชักไขกุญแจ พอเงยหน้าขึ้นหน้าโต๊ะเก็บเงิน สองสามีภรรยาแซ่เซียวยืนจ้องมองมันอยู่ มันรีบลุกขึ้นกิริยานอบน้อมสำรวมกล่าวถามว่า

“นายท่านทั้งสอง ต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?”

นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวถามว่า

“เถ้าแก่ บอกกล่าวต่อเรามา ขอให้ท่านกล่าววาจาตามความสัตย์ อย่าได้โป้ปดแม้แต่ประโยคเดียว ในโรงเตี๊ยมของท่าน มีแขกเข้าพักทั้งหมดกี่คน และพักอยู่ห้องใดบ้าง?”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแสดงสีหน้าตกใจ รีบส่งเสียงกล่าวถามว่า

“เกิดเรื่องราวใดขึ้น? พวกท่านต้องการทราบเพื่อการใด?”

บัณฑิตประหลาดกล่าวตอบว่า

“คนของเราสี่คนถูกฆ่าตาย ตายภายในโรงเตี๊ยมของท่าน หากท่านไม่ต้องการพบพานความยุ่งยากในภายหลัง รีบตอบคำถามของพวกเรามา”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เถ้าแก่โรงเตี๊ยมใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ ริมฝีปากสั่น มือสั่น จนกระทั่งพวกกุญแจในมือหลุดร่วงหล่นลงสู่พื้น เมื่อก้มลงเก็บพวกกุญแจขึ้นแล้ว กล่าวตอบว่า

“ในโรงเตี๊ยมของข้าพเจ้า นอกจากพวกท่านเจ็ดคนแล้ว ภายในโรงเตี๊ยมมีแขกอีกเพียงห้าท่านเท่านั้นเอง โดยเข้าพักชั้นสองตรงข้ามกับห้องของพวกท่านจำนวนสองห้อง ห้องละสองคน กับสตรีอำพรางใบหน้าอีกผู้หนึ่ง นางเข้าพักยังห้องสุดทางระเบียง นอกจากนี้แล้วไม่มีแขกผู้ใด? เข้าจับจองห้องพักอีก”

“ผู้ที่เข้าออก หรือแม้แต่แวะรับประทานอาหาร ดื่มสุราน้ำชาเล่า? ระยะเวลาวันสองวันที่ผ่านมา มีจำนวนมากน้อยเท่าใด?”

นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวถาม

“โรงเตี๊ยมของข้าพเจ้า เป็นเพียงโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ตลอดทั้งวันมีนักเดินทางแวะเข้ามาเพียงวันละไม่เกินสิบคน ส่วนห้องพักไร้คนจับจองเข้าพักมาหลายวันแล้ว มีเพียงวันนี้ที่มีแขกจับจองห้องพัก รวมถึงพวกท่านด้วย”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าวตอบ บัณฑิตประหลาดกล่าวถามต่อว่า

“แขกที่เข้าพักในค่ำคืนนี้ มีลักษณะเป็นเช่นไร?”

“สี่คนซึ่งพักอยู่สองห้องตรงข้ามกับพวกท่าน คล้ายเป็นพ่อค้าวาณิชย์อยู่บ้าง มิมีลักษณะพิเศษอันใด?”

“สตรีคลุมหน้าที่ท่านกล่าวเล่า? สตรีห้องสุดทางระเบียง”

นางแอ่นแดงกล่าวสวนถาม

“นางคล้ายเป็นโกวเนี้ยน้อยอายุไม่เกินยี่สิบขวบปี ลักษณะคล้ายชาวยุทธจักรอยู่บ้าง แต่กระนั้นหลังจากเข้าห้องพักปิดประตูแล้ว นางก็ยังมิได้ออกมาสั่งอาหารรับประทาน

“เถ้าแก่ ท่านรีบพาเราทั้งสองไปชมดูห้องนาง”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบก้าวเท้าฉับ ๆ เดินนำหน้า สีหน้ายังไม่คลายอาการหวาดกลัวตกใจ สองสามีภรรยาแซ่เซียวรีบก้าวเท้าติดตามไป

หน้าห้องพักสุดทางระเบียง ภายในห้องพักเงียบสงบไม่มีทางเคลื่อนไหวใด ผู้ที่พำนักอยู่ภายในห้องคงนอนหลับสนิทปานคนตายฉะนั้น

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมส่งเสียงกล่าวถามว่า

“สตรีคลุมหน้าท่านนั้น นางพักอยู่ภายในห้องนี้ ท่านทั้งสองต้องการรบกวนเวลาการนอนหลับของนางหรือไม่?”

บัณฑิตประหลาดกล่าวตอบว่า

“เราทั้งสองเพียงรบกวนนางไม่นานนัก พูดคุยกับนางเพียงไม่กี่ประโยค

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมพยักหน้ารับทราบ ยกมือทำท่าเคาะประตูห้องพัก

“เถ้าแก่ ช้าก่อน!” นางแอ่นแดงส่งเสียงห้ามขึ้นก่อน

“มีอันใดเช่นนั้นรึน้องหญิง?” บัณฑิตประหลาดกล่าวถามต่อนางแอ่นแดง

“มีบางสิ่งบางอย่างมิถูกต้อง” นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวตอบ แล้วหันไปทางเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ส่งเสียงกล่าวถามว่า

“เถ้าแก่ นอกจากท่านกับเสี่ยวเอ้อผู้นั้น ไม่มีคนงานอื่นอาศัยอยู่เช่นนั้นรึ?”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าวตอบว่า “ถูกต้อง ย่อมไม่มีผู้ใดอีกนอกเหนือจากที่ท่านเห็น โรงเตี๊ยมของข้าพเจ้ามิได้ใหญ่โตกระไรนัก ดังนั้นมิจำเป็นต้องจ้างคนงานให้มากหลาย ให้สิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่จำเป็น”

นางแอ่นแดงส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ จากนั้นส่งเสียงกล่าวว่า

“เถ้าแก่ ท่านกลับรู้จักมัธยัสถ์ประหยัดเงินทองถึงเพียงนี้ มีเสี่ยวเอ้อช่วยงานท่านเพียงผู้เดียว ท่านคงต้องออกแรงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยทีเดียว”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมส่งเสียงรับคำดังอืมม์ นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวถามต่อว่า

“เถ้าแก่ เมื่อสักครู่ท่านบอกกล่าวกับเราทั้งสองว่า สตรีในห้องนี้ หลังจากนางเข้าห้องพักปิดประตูแล้ว นางยังมิได้เปิดประตูออกมาสั่งอาหารอันใดรับประทาน ถูกต้องหรือไม่?”

“ถูกต้อง เป็นเช่นนั้นจริง ๆ” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมส่งเสียงกล่าวตอบ

นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวว่า “ประเสริฐ นางกลับรู้จักมัธยัสถ์ถี่เหนียว กลับรู้จักหวงแหนเงินทองเฉกเช่นท่าน นางไม่ออกมารับประทานอาหาร หรือว่ากระเพาะของนางไม่อาจรองรับอาหารอันใดได้?”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแสดงสีหน้าแปลกประหลาดใจ ส่งเสียงกล่าวถามว่า

“ท่านหมายความว่าเช่นไร?” นางแอ่นแดงหันสบตากับบัณฑิตประหลาดแวบหนึ่ง แล้วส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าคาดเดาเอาเท่านั้น สาเหตุที่กระเพาะนางไม่อาจรองรับอาหารอันใดได้ เนื่องด้วยหลอดอาหารบริเวณคอหอยของนาง อาจไม่สะดวกต่อการไหลผ่านของอาหารใด? เพราะอาจมีคนใช้คมดาบปาดหลอดอาหารขาดสะบั้นก็เป็นได้...”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแสดงอาการตระหนกตกใจ น้ำเสียงสั่นระรัวละล่ำละลักกล่าวปานติดอ่างว่า

“ปะ...เป็น...เป็นไปได้เช่นไร? ไฉนจึงมีเหตุการณ์เช่นท่านกล่าวมาได้”

บัณฑิตประหลาดส่งเสียงกล่าวบ้างว่า

“เช่นนั้น ท่านลองเคาะดู เคาะเรียกนางออกมาสอบถามจึงค่อยกระจ่าง”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแสดงสีหน้าลังเลไม่แน่ใจ ก้าวเท้าเข้าไปเกือบชิดบานประตู ยกมือขึ้นเคาะประตูสองคราติด รอคอยอยู่ครู่หนึ่งไม่มีเสียงผู้ใด? ออกมาเปิดประตู

นางแอ่นแดงหันมาทางเถ้าแก่ พร้อมกับกล่าวว่า

“เถ้าแก่ หรือว่าข้อเท้านาง ถูกคมดาบฟันขาดทั้งสองข้าง จึงไม่อาจก้าวย่างออกมาเปิดประตูให้กับท่านได้...”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกลอกกลิ้งดวงตาไปมาเที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า

“แม้นเป็นเช่นท่านว่า หากถูกฟันขาขาด ปากนางใช่ยังใช้การได้ นางคล้ายยังสามารถส่งเสียงร้องเรียกพวกเราได้”

บัณฑิตประหลาดส่งเสียงว่า “ใช่หลอดอาหารกับหลอดลม ต้องอาศัยคอหอยเดียวกันหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นนอกจากกระเพาะของนางไม่อาจรองรับอาหารอันใดแล้ว วาจาทุกประการก็ไม่อาจเปล่งออกมาจากริมฝีปากนางได้...”

นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมว่า

“พวกเราอย่ามัวสิ้นเปลืองเวลาคาดเดากันอยู่เลย เถ้าแก่ท่านรีบเปิดประตูออกดูให้กระจ่างเถิด”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแสดงอาการกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ยังคงยกสองมืออันสั่นเทาทาบกับบานประตู แล้วออกแรงผลัก บานประตูทั้งสองบานพลันเปิดออก สองสามีภรรยาแซ่เซียว ยกมือขึ้นแตะปลายจมูก เนื่องด้วยภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นสาบคาวรุนแรงคละคลุ้ง จะแทบจะอาเจียนออกมา

บนเตียงนอน นอนอยู่ด้วยสตรีนางหนึ่งในชุดนักบู๊สีเขียวเข้ม สตรีนางนั้นมิได้หลับใหลแต่ประการใด? ดวงตาทั้งสองยังคงเบิกโพลง ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย มุมปากปรากฏคราบโลหิตยังไม่แห้งกรังสักเท่าใด? ลำคอขาวผ่องผุดผาดถูกฉาบย้อมด้วยคราบโลหิตแดงฉาน คราบโลหิตเหล่านั้นย่อมทะลักออกมาจากปากบาดแผลบริเวณคอหอยของนางนั้นเอง

แน่นอนนางย่อมมิได้หลับไหล นางแอ่นแดงสันนิษฐานได้ถูกต้อง มิใช่นางมิต้องการรับประทานอาหาร แต่นางมิอาจรับประทานอาหารอันใดได้นั้นเอง

คนเป็นจึงรับประทานอาหาร คนตายไม่อาจรับประทานอาหารอันใด? สตรีนางนั้นแม้มิได้หลับไหล แต่นางก็มิใช่คนเป็น เนื่องด้วยนางไม่หายใจอีกแล้ว

สองสามีภรรยาแซ่เซียว เหลียวมองเถ้าแก่โรงเตี๊ยมแวบหนึ่ง ดูมันยังคงตัวสั่นหวาดกลัว มันส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า

“นางสิ้นใจตายแล้ว นางถูกดาบปาดคอหอยดั่งพวกท่านกล่าวจริง ๆ”

นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวว่า

“เถ้าแก่ ท่านช่างมีสายตาปราดเปรียวยิ่ง ยังมิทันตรวจสอบพิสูจน์ ท่านก็สามารถสรุปทราบได้ ว่านางถูกดาบปาดคอหอยเสียชีวิตแล้ว เช่นนั้นท่านทราบด้วยหรือไม่? ตอนที่นางเข้ามาจองห้องพัก นางพกพาอาวุธใด?”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมละล่ำละลักกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าไม่อาจมั่นใจกระไรนัก ด้วยอาวุธที่นางพกพา ข้าพเจ้าไม่ทันเห็นชัดเจนสักเท่าใด?”

นางแอ่นแดงพยักหน้าคราหนึ่งคล้ายเห็นด้วยกับเถ้าแก่ พร้อมกับส่งเสียงดังอืมม์ แล้วกล่าวว่า

“ย่อมเป็นเช่นนั้น? อาวุธที่นางใช้ขณะพกพานางห่อหุ้มด้วยผ้าผืนหนึ่ง ดังนั้นเถ้าแก่ท่านจึงไม่อาจเห็นชัดเจนจึงถูกต้อง ข้าพเจ้ากล่าวมามิผิด ถูกต้องหรือไม่?”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมพยักหน้าหงึก ๆ รีบกล่าวคำสนับสนุน “ใช่แล้ว สมควรเป็นเช่นนั้น ที่ท่านกล่าวมาครู่คล้ายดั่งตาเห็น”

บัณฑิตประหลาดกล่าวว่า “นางเสียชีวิตแล้ว ดังนั้นนางจึงมิต้องใช้อาวุธ อาวุธของนางจึงหายไป เถ้าแก่ท่านพอทราบหรือไม่? อาวุธของนางสมควรหายไปยังสถานที่ใด?”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมยังมิทันขยับริมฝีปากกล่าววาจา นางแอ่นแดงชิงกล่าวตอบขึ้นก่อนว่า

“ข้าพเจ้าทราบ ทราบว่าอาวุธของนางยังไปก่อเหตุอันใด? และอาวุธนั่นไปก่อกวนยังสถานที่ใด?”

กล่าวจบนางแอ่นแดง พุ่งร่างปราดไปราวนางแอ่นเหิน บัณฑิตประหลาดพลิ้วร่างพุ่งตามติด ร่างทะยานไปดุจอินทรีโฉบฟ้า

พริบตาเดียว นางแอ่นแดง กับบัณฑิตประหลาด บรรลุถึงห้องซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับห้องของจ่านจือ นางแอ่นแดงยกมือผลักบานประตูเข้าไปห้องหนึ่ง บัณฑิตประหลาดผลักประตูเข้าไปอีกห้องหนึ่ง

หน้าต่างหลังห้องทั้งสองบานเปิดอ้าทิ้งไว้ กลิ่นเหม็นรุนแรงคาวคละคลุ้งพุ่งมาแตะปลายจมูก ในห้องทั้งสองนอนเรียงรายอยู่ด้วยซากศพ ห้องละสองศพ สองสามีภรรยาแซ่เซียว ต่างหันมามองเถ้าแก่โรงเตี๊ยม พร้อมกับส่งเสียงกล่าวว่า

“พวกเรารีบรุดไปตรวจตรายังห้องครัว”

กล่าวจบทั้งสองพุ่งร่างวูบวาบลงไปยังห้องครัวชั้นล่างหลังโต๊ะเก็บเงิน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตามติดดุจหมอกควันเบาบางสายหนึ่ง เมื่อถึงบริเวณห้องครัว พบซากศพนอนกองทับกันอยู่ในซอกมุมหนึ่ง มีอยู่ด้วยสามศพด้วยกัน

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมระเบิดเสียงหัวร่อประหลาดพิกล สิ้นเสียงหัวร่อ ส่งเสียงต่อนางแอ่นแดง กับบัณฑิตประหลาดว่า

“ที่แท้พวกท่านทราบ? มิทราบว่าพวกท่านทราบได้เช่นไร? และทราบมาเนิ่นนานเท่าใด?”

“ข้าพเจ้าเองในตอนแรกไม่ค่อยมั่นใจกระไรนัก เป็นโกวเนี้ยน้อยเยี่ยนผิง นางกระตุ้นเตือนเราทั้งสองให้ตื่นตัว ขณะนั่งรับประทานอาหาร นางกล่าวต่อเราทั้งสองว่า โรงเตี๊ยมของท่านสมควรมีปัญหา...”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเลิกคิ้วสูง ส่งเสียงกล่าวว่า

“โกวเนี้ยน้อยนางนั้น บอกกล่าวปัญหาใด? ให้ท่านทั้งสองฟัง”

นางแอ่นแดง กับบัณฑิตประหลาด พากันก้าวเดินออกมาจากห้องครัว โดยมีเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก้าวเท้าติดตามมา นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวต่อมันว่า

“นางบอกต่อทั้งสองว่า โรงเตี๊ยมของท่านตั้งอยู่บนเส้นทางหลัก ในขณะที่พายุฝนกระหน่ำปานนั้น หลังจากพวกเราเหยียบย่างเข้าสู่โรงเตี๊ยมท่าน ยังไม่มีแขกเหรื่อเข้ามาใช้บริการ แม้กระทั่งเข้ามาอาศัยหลบพายุฝนยังไม่มี ดังนั้นมิเพียงแต่ผู้คน มุสิกสักตัวยังไม่มีเข้ามาเพ่นพ่านยังโรงเตี๊ยมท่าน”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ วาจากล่าวว่า

“โกวเนี้ยน้อยนางนี้ช่างมีสายตาปราดเปรียวยิ่ง อีกทั้งยังมีมันสมองเฉลียวฉลาด หลังจากนั้นเล่า? เป็นเช่นไร?”

บัณฑิตประหลาดส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“หลังจากนางกระตุ้นเตือน พลันพวกเรายังเกิดลางสังหรณ์ประหลาดอัปมงคล จึงรู้สึกเป็นห่วงจ่านจือขึ้นมา ซึ่งเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนพักผ่อนอยู่ภายในห้องเพียงผู้เดียว พวกเราจึงได้รีบรุดกลับขึ้นห้องไป”

นางแอ่นแดงกล่าวเสริมขึ้นต่อว่า

“เป็นดั่งที่พวกเราคาดคิด มีคนร้ายลอบเข้ามาภายในห้องของจ่านจือ”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบส่งเสียงกล่าวถามว่า

“มิทราบว่า พวกท่านทราบตัวคนร้าย ซึ่งลอบเข้าไปภายในห้องนั้นหรือไม่?”

นางแอ่นแดงส่งกล่าวตอบว่า

“จากการสอบถามเซี่ยวจือ คนร้ายอำพรางกายในชุดดำ ในตอนแรกพวกเรายังคิดมิออก ว่าสมควรสงสัยผู้ใด?”

“ตอนนี้เล่า? พวกท่านสงสัยผู้ใด?” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมส่งเสียงกล่าวถามอย่างกระตือรือร้น

บัณฑิตประหลาดส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“จวบจนตรวจสอบคนแบกหามเกี้ยวคานอ่อนสี่คนของเรา ซึ่งถูกปาดคอด้วยคมดาบตายอเนจอนาถ พอปะติดปะต่อเรื่องราวของสตรีซึ่งถูกฆ่าตายลักษณะเดียวกัน อาวุธของนางหายไป พวกเราจึงมั่นใจ คนร้ายรายนี้คือสตรีที่อยู่ในห้องพักนั้น เพียงแต่สตรีที่นอนตายอยู่ภายในห้อง เป็นบุคคลอื่นนำมาสวมรอยตายแทนเท่านั้น”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหัวร่อชอบใจดังยาวนาน แล้วส่งเสียงกล่าวถามว่า

“จากนั้นเล่า? พวกท่านทราบได้เช่นไร? ไฉนพวกท่านจึงสงสัยในตัวเรา?”

นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวตอบทันทีว่า

“เรื่องราวเหล่านี้มิได้ลำบากยากเย็นแต่ประการใด? เถ้าแก่เป็นท่านเปิดเผยช่องโหว่ห้าประการ”

“ห้าประการอันใด? เราเปิดเผยช่องโหว่มากมายถึงเพียงนี้ เราเปิดเผยช่องโหว่ใดให้พวกท่านสงสัย?”

“ประการแรก ในโรงเตี๊ยมของท่าน มีเพียงท่านกับเสี่ยวเอ้อผู้หนึ่ง ท่านเองนั่งอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินเกือบตลอดเวลา มีบ้างที่เดินเข้าไปหลังครัว แต่เป็นเพียงเวลาไม่นานนัก เสี่ยวเอ้อทำหน้าที่ยกอาหารพร้อมกับยกสุรา น้ำชามาคอยบริการแขก เสี่ยวเอ้อมิได้ปรุงอาหาร ท่านเองก็มิได้ปรุงอาหาร ดังนั้นอาหารที่เสี่ยวเอ้อยกมาบริการแขก เป็นพ่อครัวที่ใดปรุง”?

“ไฉนพวกท่าน จึงสรุปว่ามิใช่เราเข้าครัวปรุงอาหารเอง ในเมื่อเราเองมีอยู่หลายครา ลุกออกจากโต๊ะเก็บเงินเดินเข้าไปหลังครัว ฝีมือปรุงอาหารของเรายังใช้การได้ทีเดียว”

นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ประการนี้ง่ายดายนิดเดียว เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ท่านสวมใส่ ล้วนสะอาดสะอ้านไม่มีคราบอาหารแปดเปื้อน ทั้งยังไม่มีกลิ่นอาหารติดเสื้อผ้าท่านมาแม้แต่น้อย แต่กระนั้นยังคล้ายมีกลิ่นคาวโลหิตปะปนอยู่บ้าง ดังนั้นท่านย่อมมิได้เป็นพ่อครัวปรุงอาหาร แต่ท่านเป็นคนฆ่าสามคนในห้องครัวนั้น”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหัวร่อปรบมือชมเชย แล้วกล่าวต่อว่า

“ประการที่สามเล่า? เป็นเช่นไร?” นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ตอนที่ท่านทำพวงกุญแจตกพื้น ท่านเป็นเถ้าแก่นั่งหลังโต๊ะเก็บเงิน พวกเราเห็นท่านปิดลิ้นชักใส่กุญแจ ความจริงกุญแจลิ้นชักโต๊ะเก็บเงิน สมควรเป็นท่านเก็บรักษาเพียงผู้เดียว จึงไม่สมควรเก็บรวมกับกุญแจห้องพัก ยิ่งท่านแสร้งแสดงอาการหวาดกลัวทำพวงกุญแจตกพื้น กลับยิ่งเผยร่องรอยพิรุธออกมา”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแค่นเสียงราบเรียบกล่าว

“เป็นเรามิได้เฉลียวใจในเรื่องนี้ กลับเปิดเปิดเผยช่องโหว่อีกช่องหนึ่ง เรื่องราวหลังจากนี้เล่า?”

นางแอ่นแดงกล่าวตอบว่า

“ประการที่สี่ ตอนที่เราทั้งสองให้ท่านพาไปยังห้องสตรีนางนั้น ฝีเท้าท่านแผ่วเบาเกินไป เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกลับมีฝีเท้ายอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เมื่อเข้าไปในห้องสตรีนางนั้น ท่านยังไม่ได้ตรวจสอบ กลับกล่าวสรุปได้รวดเร็วดั่งตาเห็น ดังนั้นพวกเราจึงทดสอบท่านเป็นประการสุดท้าย”

“ประการสุดท้ายเป็นประการใด?” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมส่งเสียงกล่าวถาม

บัณฑิตประหลาดกล่าวตอบว่า “พวกเราทุ่มเทท่าร่างออกมาจากห้องนั้น ท่านกลับยอดเยี่ยม ติดตามหลังพวกเรามาประดุจเป็นเงาตามตัว วิชาตัวเบาของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมกลับมิต่ำทราม ดังนั้นพวกเราจึงทราบว่าเป็นท่าน?”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหัวร่อเยือกเย็น รังสีอำมหิตทวีความรุนแรงทวีคูณ มันเอื้อมมือขึ้นดึงหน้ากากมนุษย์ออกจากใบหน้า สองสามีภรรยาแซ่เซียวจึงเห็นใบหน้าของมันชัดเจน พร้อมกับส่งเสียงร้องพร้อมเพรียงกันว่า

“เอี้ยวค้วง เจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วง”

เจ้าป่าเก้าหยกร้องว่า “เป็นเราเอง เราคือเอี้ยวค้วงเจ้าป่าเก้าหยก พวกท่านกลับมีหูตาปราดเปรียว กลับทราบว่าเป็นเราเอี้ยวค้วง”

นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวว่า “เป็นเราทราบจากปากเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ ในเมื่อท่านเป็นเจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วง เสี่ยวเอ้อผู้นั้นย่อมเป็นเอี้ยวเคียกน้องชายของท่าน ตอนนี้มันหายหน้าไปที่ใด?”

“ฮา ๆ ภารกิจเกือบจะสำเร็จลุล่วง เป็นพวกท่านเข้ามาขัดขวางเอาไว้เสียก่อน ดังนั้นเอี้ยวเคียกจึงต้องหายหน้าไปสักระยะหนึ่ง ไปสานต่อภารกิจให้สำเร็จลุล่วง...”

สองสามีภรรยาแซ่เซียวสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง จ่านจือได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้นมีเยี่ยนผิงคอยดูแล หากเอี้ยวเคียกร่วมมือกับชุดดำผู้ที่ลอบเข้ามาตอนแรก เยี่ยนผิงผู้เดียวจะยังรับมือได้หรือไม่

ม่านราตรีคล้อยดึก นอกหน้าต่างน้ำค้างพร่างพรม ประสานกับความเหน็บหนาวหลังพายุฝนเมื่อตอนหัวค่ำ ก่อเกิดเป็นความหนาวเย็นยะเยียบประหลาดขุมหนึ่ง เสียงแมลงกรีดร้อง เสียงกรีดร้องของพวกมันบาดลึกเสียดแทงเข้าไปในเลือดเนื้อกระดูก

เยี่ยนผิงลุกขึ้น ดึงผ้าห่มกระชับให้กับจ่านจือ เกรงความหนาวเหน็บภายนอก จะชำแรกแทรกผ่านเข้ามาทำร้ายจ่านจือกระนั้น

หน้าประตูห้องปรากฏเงาคนไหววูบวาบ เยี่ยนผิงตื่นตัวมือเอื้อมคว้ากระบี่ พุ่งออกผลักประตูติดตามไปในทันที

ร่างของเยี่ยนผิงพุ่งออกไปนอกประตู ร่างของคนชุดดำทะลวงช่องหน้าต่างเข้ามา เมื่อม้วนตัวกับพื้นห้องรอบหนึ่ง ยืดเอวยืนปราดขึ้น ยกเท้าเพียงสองก้าวบรรลุถึงริมขอบเตียง

สองมือกำดาบวงพระจันทร์แนบแน่น ดาบวงพระจันทร์ซึ่งไม่มีผ้าห่อหุ้มไว้เหมือนในคราวแรก คนชุดดำกำดาบแน่นพร้อมกับยกขึ้นเหนือศีรษะ แล้วออกแรงกดแทงลงมายังตำแหน่งหัวใจของจ่านจือ เสียงสวบพลันดังปานแทงหยวก ดาบวงพระจันทร์จมลึกลงไปเกือบครึ่งเล่ม จมลึกลงไปในตำแหน่งขั้วหัวใจ พอดึงดาบออกคนชุดดำมิต้องพิสูจน์ลมหายใจ ว่าจ่านจือตายแล้วหรือไม่? พุ่งร่างทะลวงบานหน้าต่างออกไปหายลับไปกับความมืดมิด

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

 

 

 

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป